ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 49 ครั้นสำแดงตาข่ายเทวะ จิตวิญญาณอาวุธก็ยอมสยบ
บทที่ 49 ครั้นสำแดงตาข่ายเทวะ จิตวิญญาณอาวุธก็ยอมสยบ
ลู่เฉินเอ่ยพลางสะบัดมือไปมา “แน่นอน เพราะข้าร้ายกาจ!”
”เจ้ามันหน้าหนาจริง ๆ!” จิตวิญญาณอาวุธดูถูก ทว่าลู่เฉินก็เพียงฉีกยิ้มแล้วมองมัน “เจ้าคิดว่าเจ้ามีทางเลือกหรือ?”
จิตวิญญาณอาวุธไม่มีทางเลือก ดังนั้นจึงกระวนกระวาย “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำเช่นใด?”
“ง่ายมาก ยอมรับข้า แล้วข้าจะช่วยเจ้า มอบอิสระให้เจ้า!” ลู่เฉินมองมันยิ้ม ๆ ทว่าจิตวิญญาณอาวุธกลับหัวเราะเยาะและเอ่ยว่า “เจ้าที่อยู่ในขั้นกลั่นปราณจะให้ข้ายอมรับ?”
“อันใดนะ ดูถูกข้าหรือ?” ลู่เฉินยังคงยิ้ม
ส่วนจิตวิญญาณอาวุธก็พูดอย่างโมโหว่า “ปีนั้นข้าเป็นสมบัติของใต้เท้าเสี่ยโหยวหนึ่งในสิบมารผู้ยิ่งใหญ่แห่งมหาทวีปจิ่วโหยว แล้วข้าจะยอมรับเจ้าที่อยู่ในขั้นกลั่นลมปราณได้อย่างไร?”
หลังจากเห็นท่าทีของอีกฝ่ายแล้ว ลู่เฉินก็หัวเราะ “เช่นนั้น เจ้าไม่คิดจะยอมรับข้าหรือ?”
”ใช่!” จิตวิญญาณอาวุธพูดอย่างหยิ่งผยอง ทว่าลู่เฉินก็เพียงยิ้ม “เชื่อหรือไม่ ว่าข้าสามารถทำให้พลังของผนึกเหล่านี้แข็งแกร่งขึ้นได้ ผลของมันคือการทำให้เจ้าเจ็บปวดมากขึ้น!”
”ตัวประหลาดเฒ่าขั้นก่อกำเนิดห้าคนที่อยู่ข้างนอกก็ทำได้แค่ร้องเรียกข้าเท่านั้น เจ้าคิดว่าเจ้าอยู่เพียงขั้นกลั่นลมปราณจะเก่งกว่าพวกเขาหรือ?”
ลู่เฉินอมยิ้ม “ลองดูไหมเล่า?!”
“ลองก็ลอง คิดว่าข้ากลัวเจ้าหรือ?”
ยามนี้ร่างลู่เฉินที่อยู่ในค่ายกลพลันดึงพลังของราชันย์หมื่นศาสตราจาก ‘แดนหมอกศาสตรา’ ในร่างกายออกมา
จากนั้นเงาของลู่เฉินในศาสตราวุธวิถีมารนี้ก็เริ่มเปล่งแสงวาบดั่งดวงดาวท่ามกลางความมืดมิด
ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อลู่เฉินยื่นมือออกไป ตาข่ายสีดำก็ทะยานเข้าครอบลงบนจิตวิญญาณอาวุธ
จิตวิญญาณอาวุธเห็นดังนั้นก็หัวเราะเยาะ “คิดว่าตาข่ายนี่จะทำให้ข้ายอมสยบหรือ?”
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องตาข่ายเทวะหรือไม่?”
”ตาข่ายเทวะ คืออันใดกัน?” จิตวิญญาณอาวุธไม่รู้ว่าลู่เฉินกำลังพูดอะไร แต่ลู่เฉินกลับฉีกยิ้มอย่างชั่วร้าย “ตาข่ายเทวะ คือสิ่งที่สามารถดูดซับพลังจิตวิญญาณอาวุธทั้งหมดเข้าไปในตาข่ายได้ และมันจะไม่หยุด… จนกว่าจิตวิญญาณอาวุธจะสลายหายไปหรือจนกว่าข้าจะสั่ง!”
เมื่อจิตวิญญาณอาวุธได้ยิน มันก็หัวเราะลั่นทันที “เจ้าหนุ่ม เรื่องหลอกเด็กของเจ้า ข้าไม่เชื่อหรอก!”
”เช่นนั้นเจ้าก็รอดูแล้วกัน!”
ชายหนุ่มเอ่ยจบ ตาข่ายเทวะก็เริ่มเปล่งแสงวาววับท่ามกลางความมืดมิด ส่วนจิตวิญญาณอาวุธก็สัมผัสได้ถึงพลังที่ไหลออกจากร่างกายทันที ซึ่งทำให้มันทั้งหวาดกลัวและพูดอย่างตกตะลึงว่า “เจ้า… เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”
”เจ้ามีแค่หนทางเดียว ยอมติดตามข้าสิ” ลู่เฉินแสยะยิ้ม
ตอนนี้เองที่จิตวิญญาณอาวุธตระหนักได้ว่าลู่เฉินน่ากลัวเพียงใด มันจึงเริ่มกังวลขึ้นมา “เจ้าหยุดคุยกันดี ๆ ก่อนได้หรือไม่!”
”เจ้าเลือกเอา” ลู่เฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าจิตวิญญาณอาวุธนี้จะไม่เต็มใจนัก แต่มันก็ไม่มีทางเลือกอื่น สุดท้ายก็จำใจต้องประนีประนอม “ได้! ข้ายอมรับเจ้าก็ได้!”
”ดีมาก!”
หลังจากที่ลู่เฉินเอ่ยจบ เขาก็เก็บตาข่ายทันที ส่วนจิตวิญญาณอาวุธที่เห็นดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อเรื่องตาข่ายจบไป จิตวิญญาณอาวุธพลันมองไปที่ผนึกจองจำ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าปลดผนึกพวกนี้ได้?”
”ใช่!”
“เจ้าแน่ใจหรือ?” จิตวิญญาณอาวุธยังคงไม่แน่ใจ ทว่าลู่เฉินกลับหัวเราะ “ในเมื่อเจ้ายอมรับข้าแล้ว …แน่นอนว่าข้าย่อมช่วยเจ้าได้!”
จิตวิญญาณอาวุธรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทันใดนั้นจิตสัมผัสของลู่เฉินก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าผนึกจองจำ ก่อนเขาจะใช้ตาข่ายเทวะครอบผนึก และสั่งการให้มันดูดซับพลังของผนึกจองจำอย่างบ้าคลั่ง!
“แบบนี้ก็ได้หรือ?” จิตวิญญาณอาวุธตาเบิกกว้าง
”ความจริงแล้วผนึกจองจำเหล่านี้ก็คือสมบัติล้ำค่าชนิดหนึ่ง และเมื่อมันมีจิตวิญญาณ ตาข่ายเทวะก็ย่อมดูซับได้!” ลู่เฉินพูดหลายสิ่งหลายอย่างที่จิตวิญญาณอาวุธไม่เข้าใจ
แต่ในเวลานั้นเอง ตาข่ายเทวะก็ทำงานอย่างหนัก มันสูบกลืนจิตวิญญาณของผนึกจองจำจนกระทั่งหมดไป ทำให้จิตวิญญาณอาวุธของศาสตราวุธวิถีมารฟื้นคืนอิสรภาพ!
”ในที่สุดข้าก็เป็นอิสระ!” จิตวิญญาณอาวุธกล่าวอย่างยินดี
”อย่ารีบร้อนไป”
”เพราะเหตุใด?” จิตวิญญาณอาวุธรู้สึกงงงวย ส่วนลู่เฉินก็มองมันยิ้ม ๆ “มาคุยกันเรื่องของเจ้าดีกว่า”
“ข้า?” จิตวิญญาณอาวุธไม่รู้ว่าลู่เฉินต้องการถามอะไร
ลู่เฉินจึงยิ้มให้ “บอกมา เจ้ามีนามว่าอะไร และเหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่”
”ข้าคือสมบัติล้ำค่าของใต้เท้าเสี่ยโหยว ข้ามีนามว่าเสี่ยขวง และหลังจากที่ใต้เท้าเสี่ยโหยวตายจากไป ข้าก็เร่ร่อนอยู่ในมหาทวีปจิ่วโหยว ก่อนในที่สุดเมื่อพันปีก่อน… คนของสำนักพฤกษาสวรรค์ก็ได้ตัวข้าไป และผนึกข้าไว้ที่นี่”
“เหตุใดต้องผนึกเจ้า?” ลู่เฉินงงงวย
”เพราะพวกเขาต้องการกำจัดข้า! เพื่อที่จะได้ควบคุมศาสตราวุธวิถีมารโดยสมบูรณ์!”
”ผู้ฝึกตนพวกนั้นจะต้องการศาสตราวุธวิถีมารไปเพื่ออันใด?”
”ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” เสี่ยขวงตอบอย่างหดหู่ ส่วนลู่เฉินก็ถามต่ออีกว่า “แล้วสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ทำอันใดได้”
”พัดโลหิตขจรนี้ทำให้ใช้เคล็ดวิถีมารสร้างการโจมตีเป็นรูปพัดได้ มันทรงพลังและให้ผลเป็นวงกว้าง” เสี่ยขวงอธิบาย
หลังจากที่ลู่เฉินเข้าใจ เขาก็เอ่ยพึมพำออกมา “ดูเหมือนว่าเถียนอวิ๋นเมิ่งจะอยากได้สมบัติล้ำค่านี้เพราะระยะการโจมตีที่กว้างของมัน”
เสี่ยขวงไม่รู้ว่าลู่เฉินพึมพำอะไร แต่มันก็ได้เอ่ยอย่างกระวนกระวายว่า “ตอนนี้เจ้าควบคุมพัดได้หรือยัง?
”ได้! ทว่าอีกเดี๋ยวพวกเขาต้องหาทางกักเจ้าอย่างแน่นอน ดังนั้นหลังจากที่เข้าควบคุมศาสตราวุธวิถีมารแล้ว เจ้าจงไปยังที่แห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว เมื่อเจ้าไปถึงที่นั่นแล้วเจ้าจะปลอดภัย” ลู่เฉินกำชับ
“ที่ใด?”เสี่ยขวงถามอย่างกังวล
หลังจากที่ลู่เฉินบอกถ้ำที่ตนอยู่ มันก็ส่งเสียงอือขานรับแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ข้าจะเริ่มแล้ว!”
ครั้นเอ่ยจบ เสี่ยขวงก็เริ่มชิงการควบคุมพัดโลหิตขจร
ครู่ต่อมาตัวพัดก็พลันเปล่งแสงสีม่วงสว่างวาบ ทำให้ดวงตาของอาวุโสสูงสุดทั้งห้าเบิกกว้างและตะโกนขึ้นว่า “แย่แล้ว!”
แต่มันก็สายไปแล้ว! ศาสตราวุธวิถีมารบินออกมาจากปากถ้ำและรีบไปยังที่ซ่อนตัวของลู่เฉิน
เมื่อผู้อาวุโสจื่อและคนอื่น ๆ ที่เฝ้าอยู่นอกค่ายกลเห็นพัดบินเข้าไป พวกเขาทั้งหมดก็ตกตะลึง
ทันใดนั้น ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งห้าก็ปรากฏตัวขึ้น
เมื่อทุกคนเห็นพวกเขาก็ทยอยกันทำความเคารพทักทาย ก่อนจะเป็นผู้อาวุโสจื่อที่ถามขึ้นว่า “เหล่าผู้อาวุโส เหตุใดพวกท่านถึงออกมา?”
ผู้อาวุโสเหล่านี้ต่างตีหน้าขรึม หนึ่งในนั้นจึงเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง
เมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมด ผู้อาวุโสจื่อก็โกรธจัด “เจ้าหนุ่มนั่นต้องเป็นคนทำแน่ ๆ!”
“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” ชายชราผมสีเขียวซักถาม ส่วนอาวุโสจื่อก็ตอบด้วยความเคารพ “อาจารย์ เกิดเรื่องนิดหน่อยขอรับ!”
“เกิดอะไรขึ้น?” ชายชราผมเขียวเอ่ยถาม
ผู้อาวุโสจื่อทำได้เพียงอธิบาย ส่วนชายชราผมเขียวเมื่อได้ฟังก็เอ่ยด้วยความโกรธว่า “สำนักพฤกษาสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ คาดไม่ถึงว่าจะถูกพวกเจ้าทำลายเพราะเรื่องเช่นนี้!”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าพวกเขาทุกคนก็เปลี่ยนสี
หลังจากนั้น ชายชราผมเขียวก็ทะยานออกไปคนแรก เขาพุ่งโจมตีค่ายกลอย่างหนัก ทว่าค่ายกลนี้ทรงพลังยิ่งนัก มันสามารถต่อต้านการโจมตีของผู้อาวุโสผมเขียวได้!
นี่จึงทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดหลายคนหน้าเปลี่ยนสี ซึ่งเมื่อการณ์เป็นเช่นนี้ พวกเขาก็หันไปปรึกษากันเป็นการส่วนตัว
“ขั้นกลั่นลมปราณ… มีปรมาจารย์ค่ายกลที่อัจฉริยะเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
”ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!”
“หรือเป็นคนจากสามดินแดนศักดิ์สิทธิ์?”
”สามดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขามีคนเช่นนี้ด้วยหรือ?”
ยามนี้ทุกคนเริ่มสงสัยฐานะของลู่เฉิน ก่อนจะเป็นชายชราผมเขียวที่กล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า “ข้าขอถามหน่อย เกิดอันใดขึ้นกันแน่”
ผู้อาวุโสผมเขียวมองไปยังผู้อาวุโสจื่อ “เด็กคนนี้มีที่มาอย่างไร?”
”เป็นคนจากตระกูลลู่แห่งเมืองเฟิงเฉิง และยังเป็นหัวขโมยจากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์”
“หัวขโมย?” ชายชราผมเขียวสงสัย แต่หลังจากที่ผู้อาวุโสจื่ออธิบายให้ฟัง ชายชราผมเขียวก็พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม “เช่นนั้น เขาก็ไม่ใช่คนจากสำนักใหญ่โตหรือแดนศักดิ์สิทธิ์อันใด?”
ผู้อาวุโสจื่อตอบเสียงหนักแน่นว่า “ไม่ใช่!”
ชายชราผมเขียวจึงโล่งใจในพลัน แลยังจ้องมองไปที่ลู่เฉินซึ่งอยู่ในค่ายกล “เจ้าหนุ่ม ข้าคิดว่าเจ้ามีพรสวรรค์ไม่เลว ตราบใดที่เจ้าเข้าร่วมสำนักพฤกษาสวรรค์ของข้า หลังจากนี้เมื่อเจ้าอยากได้สิ่งใด ขอเพียงแค่บอกมา!”
บรรดาลูกศิษย์สำนักพฤกษาสวรรค์พลันสับสน พวกเขาคิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสสูงสุดจะดึงลู่เฉินมาเป็นพวก
ทว่าใครจะรู้… ว่าคำพูดของลู่เฉินเกือบจะทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดเหล่านี้ตกใจแทบตาย!