ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 44 ทุกสรรพสิ่งล้วนมีจิตวิญญาณ วิชาคุมจิตวิญญาณ!
บทที่ 44 ทุกสรรพสิ่งล้วนมีจิตวิญญาณ วิชาคุมจิตวิญญาณ!
เงาของลู่เฉินและฮวาหลิงมู่พลันหายไป
เถียนอวิ๋นเมิ่งที่เห็นดังนั้นจึงพึมพำออกมาว่า “เหตุใดเขาจึงได้น่ากลัวถึงเพียงนี้?!”
ในเวลานั้น ผู้อาวุโสจื่อเดินไปหาฉินสือที่กำลังบ้าคลั่งอยู่ ก่อนจะซัดฝ่ามือออกไปจนทำให้ฉินสือหมดสติไป จากนั้นจึงหันมองเหล่าศิษย์ที่อยู่รอบกายและสั่งว่า “พาเขาขึ้นเขาไป”
เหล่าศิษย์ต่างช่วยกันแบกร่างของฉินสือขึ้นไปบนภูเขา ส่วนผู้อาวุโสจื่อหันไปมองเถียนอวิ๋นเมิ่งที่ร้องไห้ “ไป เจ้าเองก็ขึ้นเขาไปกับเขาเถอะ”
“ผู้อาวุโสจื่อ ท่านต้องช่วยจัดการมันให้ข้า!” เถียนอวิ๋นเมิ่งกล่าวด้วยดวงตาที่แดงก่ำและเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใส
แน่นอนว่าผู้อาวุโสจื่อย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ ชายชราขาเป๋ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “วางใจเถอะ ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ร้องขอ ข้าก็ต้องแก้แค้นแทนศิษย์ของข้าอยู่ดี!”
พูดจบ ผู้อาวุโสจื่อก็สั่งให้คนขึ้นเขาไปพร้อมกัน โดยระหว่างนั้น เถียนอวิ๋นเมิ่งก็พลันเผยให้เห็นประกายเย็นชาเหี้ยมโหดผุดแวบขึ้นในเสี้ยวอึดใจก่อนจางหายไป เช่นเดียวกับที่ในใจของหญิงสาวอัดแน่นไปด้วยคำสาปแช่งและความเกลียดชัง “ลู่เฉิน ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดไปอีกได้นานแค่ไหน!”
…
ขณะนั้นเอง ลู่เฉินได้พาฮวาหลิงมู่มายังถ้ำแห่งหนึ่งที่มีค่ายกลป้องกันแน่นหนา
ภายในนั้นอัดแน่นไปด้วยหีบสมบัติ กล่องไม้ ขวดแก้วและขวดกระเบื้องเคลือบมากมาย
“นี่มัน?” ฮวาหลิงมู่สงสัยว่าที่นี่คือที่ใดกัน แต่ลู่เฉินกลับทำเพียงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ “เมื่อครู่ขณะที่ใช้วิชาหมื่นวิญญาณ ข้าสัมผัสได้ว่าที่แห่งนี้มีพลังปราณหนาแน่น ดังนั้นที่นี่น่าจะเป็นที่ที่พวกเขาเก็บของมีค่าไว้”
“ของมีค่า?” ฮวาหลิงมู่ตกใจ
ลู่เฉินเพียงยิ้ม “ถ้าหากมีสิ่งใดที่เจ้าชอบ หยิบไปได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ!”
“หยิบได้ตามต้องการจริงหรือ?” ฮวาหลิงมู่สับสนเล็กน้อย สิ่งนี้ราวกับฝันไป นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะสามารถเข้ามายังคลังเก็บของล้ำค่าของสำนักพฤกษาสวรรค์ได้ง่ายดายเพียงนี้!
“ใช่ หยิบเถอะ!”
ฮวาหลิงมู่ที่ได้ยินคำกล่าวย้ำนั้นพลันรู้สึกชอบใจ นางรีบหยิบของมีค่ามากมาย ส่วนลู่เฉินนั้นเขาเลือกหยิบเพียงบางสิ่งเท่านั้น เพราะที่แห่งนี้มีของล้ำค่าเยอะเกินไป ทำให้แม้จะมีถุงสุญญะญาณถึงสองสามถุงก็ยังไม่อาจบรรจุของพวกนี้ได้มากพอ
อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่สามารถเอากลับไปได้ทั้งหมด แต่ลู่เฉินก็ยังคงสามารถใช้ทุกอย่างที่มีในถ้ำนี้อย่างคุ้มค่า
เมื่อเห็นลู่เฉินเริ่มจัดวางค่ายกลบริเวณรอบ ๆ และแม้กระทั่งเปลี่ยนรูปแบบค่ายกลที่ล้อมอยู่ภายนอก ฮวาหลิงมู่ที่เฝ้ามองอยู่ก็พลันเกิดความสงสัย “พี่ใหญ่ประหลาด ท่านกำลังทำอันใด?” ฮวาหลิงมู่เอ่ยถาม
พี่ใหญ่ประหลาด คือนามที่ฮวาหลิงมู่ใช้เรียกลู่เฉิน และมันก็เกิดจากความประทับใจในฝีมือของชายหนุ่ม!
สำหรับลู่เฉินแล้ว แม้จะรู้สึกว่านามนี้แปลก ๆ อยู่บ้าง แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ “ข้าเปลี่ยนรูปแบบค่ายกลเล็กน้อย ทำให้มันกลายเป็นดั่งกำแพงขวางกั้น จนไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถเข้ามาได้”
ฮวาหลิงมู่ได้ฟังแล้วจึงสูดหายใจไปหนึ่งเฮือก “พี่ใหญ่ประหลาด แท้จริงแล้วท่านเป็นใครกันแน่? เหตุใดถึงได้เชี่ยวชาญค่ายกลถึงเพียงนี้?!”
“ข้าหรือ? ข้าก็เป็นเพื่อนเก่าของท่านปู่เจ้า” ลู่เฉินยิ้ม แต่ฮวาหลิงมู่ยังคงสงสัย “ท่านปู่ของข้าไม่เคยออกไปภายนอกเลย จะมีเพื่อนได้อย่างไร”
ลู่เฉินถามกลับด้วยความตกใจเล็กน้อย “เขาไม่เคยไปที่ใดเลย?”
“ท่านปู่บอกว่าต้องรอผู้ใดอะไรสักอย่าง แต่ท่านไม่ได้บอกว่ารอใคร” ฮวาหลิงมู่แสดงสีหน้าเบื่อหน่าย แต่ลู่เฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา “เขากำลังรอ… คนคนนั้น”
“คนคนนั้น? ใครกัน?” ฮวาหลิงมู่สงสัย
“นางพญา”
“ ‘นางพญา’ งั้นหรือ เก่งมากหรือไม่? แล้วเหตุใดท่านปู่ของข้าจึงต้องรอนาง?” ฮวาหลิงมู่รู้สึกสนใจขึ้นมา แต่ลู่เฉินไม่ต้องการให้ฮวาหลิงมู่รู้ไปมากกว่านี้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงทำเพียงแค่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “นางเก่งกาจยิ่ง แต่ว่าคือใครนั้น… เดี๋ยวโอกาสหน้าเจ้าก็จะรู้เอง”
“โอกาสหน้า? ข้าว่าท่านปู่ไม่คิดบอกเรื่องใด ๆ เกี่ยวกับนางแน่นอน!”
“โอ้? เจ้าเคยถามหรือ?”
“ทุกครั้งที่ข้าถาม ท่านปู่ก็จะตำหนิข้า ทั้งยังคอยไล่ข้าให้ไปฝึกฝน คอยแต่จะพูดว่าถ้าหากวันหนึ่งท่านไม่อยู่แล้ว ข้าต้องดูแลตัวเองให้ดี” ฮวาหลิงมู่ตัดพ้อขึ้นมา
ลู่เฉินได้ฟังแล้วจึงยิ้มออกมา “เขาหวังดีกับเจ้า”
“ข้าไม่คิดเช่นนั้น!” ฮวาหลิงมู่ฉุนเฉียวเล็กน้อย แต่ลู่เฉินยิ้มพลางเอ่ยถาม “ที่แห่งนี้มีสิ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์พอดี …หรือว่าข้าจะสอนเจ้าฝึกฝนบ่มเพาะดีหรือไม่?”
“สอนข้าบ่มเพาะ?” ฮวาหลิงมู่ถามกลับ
“ใช่”
“วิชาหมื่นวิญญาณ? หรือว่าค่ายกล? แต่ข้ารู้สึกว่ามันยากเกินไป!” ฮวาหลิงมู่ตัดพ้อ
ลู่เฉินรู้ดีว่าการฝึก ‘วิชาหมื่นวิญญาณ’ และค่ายกลนั้นเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา “ไม่ใช่ แต่เมื่อกลับไป ข้าจะมอบวิธีการฝึก ‘วิชาหมื่นวิญญาณ’ ให้เจ้า เพียงแค่เจ้าขยันเสียหน่อย อีกไม่นานย่อมต้องเข้าใจและใช้มันได้เอง”
“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ท่านจะสอนอะไร?” ฮวาหลิงมู่เอ่ยถาม
“วิชาวิถีวิญญาณวิชาหนึ่ง”
“วิชาวิถีวิญญาณ?”
“ก็คล้ายกับวิชาหมื่นวิญญาณ แต่สำหรับเจ้าแล้วมันมีประโยชน์มากกว่า” ลู่เฉินกล่าวพลางยิ้ม แต่ฮวาหลิงมู่ยังคงไม่เข้าใจ “คือสิ่งใด?”
“วิชาคุมจิตวิญญาณ!”
“วิชาคุมจิตวิญญาณ?” ฮวาหลิงมู่สงสัย แต่ลู่เฉินกลับมองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยว่า “ทุกสรรพสิ่งล้วนมีจิตวิญญาณ ขอเพียงฝึกวิชาคุมจิตวิญญาณ ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามจะสามารถกลายเป็นอาวุธในมือของเจ้าได้!”
ฮวาหลิงมู่แปลกใจเล็กน้อย “ร้ายกาจขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“ดูให้ดี!” ลู่เฉินเพียงโบกมือก็มีกระบี่พุ่งออกมาจากชั้นวาง ฮวาหลิงมู่มองแล้วจึงเอ่ยถาม “แล้วมันแตกต่างกับการควบคุมอาวุธเช่นไร?”
“วิชาควบคุมอาวุธ แท้จริงจำเป็นต้องขัดเกลาอาวุธชิ้นนั้นเสียก่อน ทว่าวิชาคุมจิตวิญญาณไม่จำเป็นต้องขัดเกลาก็สามารถใช้ได้!”
ฮวาหลิงมู่เบิกตากว้าง “จริงหรือ?”
“ดูให้ดีแล้วกัน!” เมื่อลู่เฉินกล่าวจบก็โบกกระบี่ขึ้นไป ก่อนจะส่งมันให้โจมตีไปรอบทิศ!
ไม่เพียงเท่านั้น ปราณกระบี่ที่โจมตีออกมาก็มีพลังมากยิ่งขึ้น
ฮวาหลิงมู่ตกตะลึงขึ้นมา “นี่มัน!”
“วิชาคุมจิตวิญญาณมีสิบระดับ ระดับที่หนึ่งสามารถทำให้สิ่งของที่ควบคุมสำแดงพลังออกมาได้หนึ่งเท่า ถ้าเป็นระดับที่สองสำแดงได้สองเท่า ระดับที่สิบก็จะถึงสิบเท่า!”
ลู่เฉินค่อย ๆ อธิบาย
“สิบเท่า? แล้วเมื่อครู่ตอนที่จัดการคนพวกนั้น ท่านได้ใช้วิชานี้หรือไม่?” ฮวาหลิงมู่เอ่ยถาม
ลู่เฉินสามารถบีบอัดปราณกระบี่นับพันจนเหลือเพียงสิบ ถ้าหากเทียบแล้วมันย่อมทรงพลังกว่าการสำแดงพลังสิบเท่า ดังนั้นตัวเขาจึงไม่จำเป็นต้องใช้วิชาคุมวิญญาณด้วยซ้ำ!
ทว่าสำหรับฮวาหลิงมู่ การบีบอัดปราณกระบี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ลู่เฉินจึงคิดจะถ่ายถอดวิชาคุมจิตวิญญาณให้นาง
ชายหนุ่มมองนางพลางยิ้มออกมา “ข้าไม่ได้ใช้ เพราะข้ามีวิชาที่ดีกว่านั้น”
“ถ้าเช่นนั้นท่านสอนวิชานั้นแก่ข้าสิ”
“มันช้าเกินไป และยังต้องอาศัยประสบการณ์ที่สูงกว่านี้ ฉะนั้นเจ้าเรียนวิชาคุมจิตวิญญาณเสียก่อน รอเวลาที่ฝึกถึงระดับสิบเมื่อใด ข้าจะถ่ายทอดวิชาอื่นให้” ลู่เฉินอธิบาย
ฮวาหลิงมู่กึ่งเชื่อกึ่งสงสัย “วิชาคุมจิตวิญญาณนี้ เก่งกาจเหมือนที่ท่านบอกจริงหรือ?”
“เมื่อครู่ข้าพูดไปแล้ว วิชาคุมจิตวิญญาณสามารถคุมสรรพสิ่งได้ แม้แต่เถาวัลย์ที่เจ้าเรียกออกมาก็สามารถคุมได้”
“จริงหรือ?”
“เจ้าลองเรียกเถาวัลย์ออกมา”
ฮวาหลิงมู่รีบเรียกเถาวัลย์ออกมา และลู่เฉินก็ใช้วิชาคุมจิตวิญญาณมาคุมเถาวัลย์นี้ ทำให้เถาวัลย์เปลี่ยนเป็นใหญ่ขึ้นในทันที
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ฮวาหลิงมู่พลันตกตะลึง นางกล่าวอย่างคาดไม่ถึงว่า “มันดูแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก!”
“นอกจากควบคุมสิ่งของแล้ว วิชานี้ยังมีผลกับเม็ดยา เพราะการใช้วิชาคุมจิตวิญญาณ… สามารถทำให้พวกมันสัมฤทธิ์ผลดีขึ้นมากกว่าเดิมได้!”
ฮวาหลิงมู่ยิ่งฟังยิ่งตื่นเต้น “ข้าอยากเรียน!”
“นั่นย่อมได้ ต่อไปข้าจะจัดรูปแบบการฝึกให้เจ้า จากนั้นเจ้าต้องอยู่ภายในนี้เป็นเวลาสามวัน ทำตามการฝึกฝนที่ข้าบอก เพียงเท่านี้เจ้าก็จะสามารถไปถึงระดับที่หนึ่งได้!”
ฮวาหลิงมู่ขานรับโดยไม่ลังเล “มา มาเลย~”