ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 42 วิชาหมื่นวิญญาณที่ถูกเผยออกมา
บทที่ 42 วิชาหมื่นวิญญาณที่ถูกเผยออกมา
เถียนอวิ๋นเมิ่งระเบิดอารมณ์ออกมาพลางกวาดสายตาไปยังเจ้าบ่าวด้วยความร้อนใจ “ฉินสือ ท่าน… ท่านต้องช่วยข้าจัดการเขา!”
“ไม่ต้องกังวลไป วันนี้เขาจะไม่มีชีวิตรอดออกไปจากที่แห่งนี้แน่!” ชายที่ชื่อฉินสือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
บรรดาศิษย์ของสำนักพฤกษาสวรรค์ต่างก็ส่งเสียงร้องโห่ขึ้นมา
“ลู่เฉิน ถ้าวันนี้เจ้าอยากมีชีวิตรอดออกไป เจ้าจงร้องขอชีวิตดูสักครั้ง ข้าอาจจะพิจารณาดูและไว้ชีวิตเจ้าก็เป็นได้!” เถียนอวิ๋นเมิ่งเอ่ยอย่างเย้ยหยัน
“เดิมทีชีวิตก็เป็นของข้าอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าละเว้น!” ลู่เฉินเอ่ยจบก็นำกระบี่สยบเก้าทิศออกมา และเมื่อฮวาหลิงมู่เห็นว่าลู่เฉินกำลังจะโจมตีอีกฝ่าย นางก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมา
เมื่อบรรดาศิษย์แห่งสำนักพฤกษาสวรรค์เห็นภาพดังกล่าว พวกเขาก็รู้สึกว่ามันชวนขบขันยิ่ง “อวดดีจริง ๆ!”
“อยู่เพียงขั้นกลั่นลมปราณ ยังกล้าผยองขนาดนี้?”
“ข้าว่าสมองเขาน่าจะมีปัญหา!”
ฉินสือสั่งการไปยังศิษย์สำนักพฤกษาสวรรค์ทันที “ไปเอาชีวิตมันมาให้ข้า!”
“ขอรับ!” ศิษย์สำนักพฤกษาสวรรค์ตอบรับเสียงดัง แต่ทันทีที่สิ้นเสียง และยังไม่ทันได้ไหวตัวขยับกาย ปราณกระบี่นับพันของลู่เฉินก็เข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณ!
ผลก็คือ… ศิษย์บางคนที่อยู่ในขั้นสร้างรากฐานถูกโจมตีอย่างจัง บางคนพลังแข็งแกร่งขึ้นมาหน่อยแม้จะไม่ถูกโจมตีแต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บ
ทั่วทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยเสียงร้องระงมในชั่วพริบตา
ฮวาหลิงมู่ถึงกับตกตะลึง “เก่งกาจยิ่งนัก!”
ฉินสือโกรธจัดราวกับเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาในดวงตาทั้งสอง ขณะที่เถียนอวิ๋นเมิ่งนั้นเบิกตากว้าง “เป็นไปได้อย่างไร!”
ในสายตาของเถียนอวิ๋นเมิ่ง ลู่เฉินเป็นเพียงคนไร้รากวิญญาณ ฉะนั้นอย่าแต่ขั้นสร้างรากฐานเลย เพราะแค่ตัวตนในขั้นกลั่นลมปราณธรรมดา ๆ ก็สามารถปลิดชีวิตเขาได้!!
ทว่าบัดนี้… ลู่เฉินกลับทำให้บรรดาศิษย์ขั้นสร้างรากฐานแห่งสำนักพฤกษาสวรรค์บาดเจ็บได้ด้วยเพียงกระบวนท่าเดียว ทำให้ไม่อาจยอมรับความจริงครั้งนี้ได้!
“ใครอยากจะตายก่อนกัน?” ลู่เฉินเอ่ยถามพลางคว้ากระบี่ชี้ไปยังผู้คนที่ล้อมรอบ คนเหล่านั้นจึงพากันหวาดกลัวจนตัวสั้น บ้างก็วิ่งหนี บ้างก็ขาอ่อนจนล้มลง และบ้างก็วิ่งไปหลบหลังฉินสือ
“ศิษย์พี่ฉิน เขา เขาน่ากลัวเกินไป!”
“ศิษย์พี่… ศิษย์พี่ฉิน เขาไม่ใช่คนแน่!”
“ศิษย์พี่ฉิน เขาไม่มีรากวิญญาณไม่ใช่หรือ?”
เมื่อต้องเผชิญกับคำถามจากผู้อื่น ฉินสือก็ปั้นหน้าไม่ถูก ทำได้เพียงตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ว่าเขาจะมีหรือไม่มีรากวิญญาณ วันนี้! ข้าจะกำจัดเขาแน่นอน!” กล่าวจบก็เดินออกไปทันที
ระยะห่างของฉินสือและลู่เฉินนั้นห่างกันประมาณห้าก้าว ฉินสือเพ่งสายตาไปยังลู่เฉินและเอ่ยเสียงกร้าว “หากสำนึกผิดตอนนี้ยังทันนะ!”
“ไร้สาระ!” สิ้นเสียงของลู่เฉิน ปราณกระบี่นับพันก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง จากนั้นเงากระบี่พลันบีบตัวรวมกันจนเหลือเพียงสิบเล่มเท่านั้น!
ครั้นเห็นปราณกระบี่ทั้งสิบเล่ม ฉินสือกลับเอ่ยอย่างไม่รู้สึกหวั่นเกรงว่า “ข้าอยู่ในขั้นหลอมแก่นแท้ระดับต้น เจ้าคิดว่าลำพังแค่ปราณกระบี่ของเจ้าจะทำอะไรข้าได้หรือ?”
ทันทีที่เขาเอ่ยจบ รอบกายของฉินสือก็ปรากฏแสงสีน้ำตาลออกมา ก่อนจะรวมตัวเป็นม่านปราณสีน้ำตาลแดง
ศิษย์สำนักพฤกษาสวรรค์เห็นภาพดังกล่าวก็รู้สึกคะนองใจขึ้นมา
ในขณะที่ฮวาหลิงมู่ที่อยู่ด้านหลังลู่เฉินเมื่อเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกกังวล “เขาอยู่ขั้นหลอมแก่แท้ ยากที่จะรับมือแน่!”
“ขั้นหลอมแก่นแท้ แล้วอย่างไรเล่า?” ลู่เฉินไม่กังวลแม้แต่น้อย เขายังคงพุ่งกระบี่ออกไป ปราณกระบี่ที่ถูกบีบอัดเหลือเพียงสิบเล่มปะทะกับม่านปราณสีเพลิงอย่างจัง!
ม่านปราณสีเพลิงที่ปกคลุมอยู่มีรอยร้าวเพียงเล็กน้อย ทว่าไม่นานก็ฟื้นฟูกลับมาดังเดิมราวกับว่าไม่เคยเกิดอันใดขึ้นมาก่อน
ฉินสือรู้สึกพอใจ “เห็นหรือยังว่าขั้นหลอมแก่นแท้กับขั้นกลั่นลมปราณมันต่างกันเพียงใด!”
ผู้คนในสำนักพฤกษาสวรรค์จึงถือโอกาสนี้หัวเราะขึ้นมา
แม้แต่เถียนอวิ๋นเมิ่งยังเผยรอยยิ้มเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “ลู่เฉิน เห็นหรือยัง นี่คือเหตุผลที่ข้าเลือกเขา และไม่ตัดสินใจเลือกท่าน!”
“เจ้าจะเลือกใครก็ไม่เกี่ยวกับข้า”
“ถ้าเช่นนั้นท่านมาเพื่อทำให้ตัวเองอับอายทำไม?” เถียนอวิ๋นเมิ่งเอ่ยพลางหัวเราะ
ทว่าลู่เฉินกลับมองไปยังฮวาหลิงมู่และถามว่า “เจ้าคิดว่าคนพวกนี้ควรจะโดนปลิดชีวิตด้วยวิธีใด”
“ปลิดชีวิต?” ฮวาหลิงมู่คิดว่าลู่เฉินเพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น แต่ชายหนุ่มกลับตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ใช่ เจ้าอยากให้คนพวกนี้ตายด้วยวิธีใด บอกข้ามา ข้าจะได้จัดการให้ถูก”
“จัดการ?” ฮวาหลิงมู่รู้สึกสับสน ในขณะที่ลู่เฉินเพียงยิ้มและกล่าวว่า “ช่างเถอะ พูดกับเจ้าตอนนี้ก็คงไม่เข้าใจ แต่เจ้าจงเบิกตาให้กว้างแล้วตั้งใจดูซะ”
ฮวาหลิงมู่ได้ยินแล้วก็ยังคงรู้สึกสับสน
จากนั้นลู่เฉินก็ควบคุมกระบี่ให้พุ่งสู่พื้นดิน ร่างของเขาปรากฏแสงสีเขียวส่องสว่างขึ้นมา
ขณะนั้นผู้คนต่างแปลกใจกับภาพที่เห็น ทั่วทั้งผืนป่า หรือแม้กระทั่งเหล่าพฤกษาภายในภูเขาสำนักพฤกษาสวรรค์พลันแผ่พลังปราณธาตุไม้ที่แข็งแกร่งออกมา
เหล่าพลังปราณธาตุไม้ต่างพุ่งไปรวมกันที่ร่างของลู่เฉิน
ฮวาหลิงมู่ฉงนใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ตกตะลึงขึ้นมา “วิชาหมื่นวิญญาณ!”
วิชาหมื่นวิญญาณ เป็นเคล็ดวิชาชนิดหนึ่งที่สามารถดูดเอาพลังปราณรอบตัวออกมาได้ในทันที เดิมทีวิชานี้เป็นวิชาลับของเผ่าต้นไม้วิญญาณ แต่ลู่เฉินเคยเรียนวิชานี้มาจากนางพญาพฤกษาวิญญาณมาเมื่อหนึ่งแสนปีก่อน
สำหรับฮวาหลิงมู่ นางเคยได้เห็นต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราแสดงวิชาเหล่านี้มาก่อน แต่นางกลับไม่เคยทำได้เลยสักครั้ง
ทว่าตอนนี้.. ลู่เฉินกลับสามารถแสดงวิชานี้ได้ ฮวาหลิงมู่จึงได้แต่ตกตะลึง!
ลู่เฉินเอ่ยพลางยิ้มออกมา “ใช่ นี่คือวิชาหมื่นวิญญาณ!”
ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักว่าวิชาหมื่นวิญญาณคือสิ่งใด แต่เมื่อเห็นร่างของลู่เฉินดูดปราณเข้าไปอย่างมหาศาล ทุกคนต่างก็รู้ว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นต่อไปคงจะต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่ แต่ฉินสือกลับพูดติดตลกขึ้นมาว่า “นี่มันปาหี่ชัด ๆ!”
เขาเอ่ยจบก็ยกมือขวาขึ้นควบคุมหินมหึมาก้อนหนึ่ง จากนั้นก็ขยับและบงการให้มันลอยอยู่เหนือหัวของลู่เฉิน ก่อนที่จะตบฝ่ามือลงมา!
ทุกคนต่างคิดว่าลู่เฉินต้องเร่งหลบหนีอย่างแน่นอน ทว่าชายหนุ่มกลับทำเพียงยืนนิ่งไม่ขยับกาย เพราะการปล่อยวิชาหมื่นวิญญาณนั้นไม่สามารถขยับกายได้ตามใจ มิฉะนั้นพลังปราณภายในจะตีกลับได้!
ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ขยับกาย เขารอเพียงให้พลังปราณภายในกายสะสมได้ถึงห้าเท่า เป็นจังหวะเดียวกับที่หินมหึมาก้อนนั้นตกลงมาอย่างแรง!
เมื่อฮวาหลิงมู่เห็นว่าลู่เฉินไม่หลบซ่อน นางก็รู้สึกกังวลพลางร้องเตือนขึ้นมา “รีบไปสิ!”
ทว่าลู่เฉินเพียงแค่หยิบกระบี่ขึ้นมาและถอยไปอีกด้านหนึ่งด้วยความเร็ว จากนั้นก็รวบรวมพลังปราณส่งไปยังกระบี่สยบเก้าทิศ ก่อนจะแสดงเคล็ดวิชากระบี่เก้าสุขสงบออกมา!
ครั้งนี้จำนวนปราณกระบี่เพิ่มขึ้นเป็นห้าเท่า
เมื่อปราณกระบี่นับพันสำแดงออกมา ครานี้มันกลับดูต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อเกิดการบีบอัดจนปราณกระบี่เหลือเพียงสิบสาย และพุ่งทะยานไปหาฉินสือที่เป็นเป้าหมาย!
อีกด้านหนึ่ง ฉินสือยังคงคิดว่าใช้เพียงแค่ม่านปราณก็คงเพียงพอที่จะจัดการ
และคนอื่น ๆ เองก็คิดว่าฉินสือสามารถรับมือครั้งนี้ได้อย่างง่ายดาย ทว่าผลลัพธ์กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง! …
ปราณกระบี่ในครั้งนี้สามารถทะลวงม่านปราณที่อีกฝ่ายเรียกออกมาได้อย่างง่ายดายราวกับว่ามันพุ่งทะลุกระดาษเปียก และยังคงเหลือพลังมากพอที่จะพุ่งทะยานไปตัดแขนของฉินสืออีกด้วย!
ภาพนี้ทำให้ผู้คนในสำนักพฤกษาสวรรค์พากันหวาดกลัว และเถียนอวิ๋นเมิ่งที่นั่งอยู่ภายในเกี้ยวก็ตกตะลึงเช่นกัน!
ฮวาหลิงมู่ส่งเสียงออกมาด้วยความตื่นเต้น “ร้ายกาจยิ่ง!”
ขณะนั้นลู่เฉินรู้สึกอ่อนแรงลงเล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อครู่ที่ระเบิดพลังปราณเหล่านั้นออกมาจนหมด เขาถอนหายใจและกล่าวออกมาว่า “แน่นอนอยู่แล้ว!”
หลังจากที่ฉินสือได้รับบาดเจ็บ ผู้คนในสำนักพฤกษาสวรรค์ต่างหวาดกลัวจนต้องร้องตะโกนออกมา “ขึ้นไป รีบขึ้นไปบนภูเขาเร็ว!”
ผู้คนในสำนักพฤกษาสวรรค์ต่างก็มุ่งไปยังภายในภูเขา ภาพดังกล่าวมองแล้วไม่ต่างไปจากฝูงมดที่หนีน้ำท่วม เห็นเพียงเงาคนและเสียงวุ่นวายที่ขยับไหวจากด้านล่างขึ้นสู่ด้านบนอย่างแตกตื่น ก่อนที่จะมีค่ายกลถูกกางออก!
“คนพวกนี้… ไม่ใช้ว่ากำลังอยากให้โอกาสข้าลงมือหรอกหรือ?” เมื่อลู่เฉินเห็นความเขลาของคนเหล่านั้น เขาก็ยิ้มเยาะที่มุมปาก จากนั้นจึงนั่งทอดกายอย่างสบายใจ
เมื่อฮวาหลิงมู่เห็นค่ายกลที่ถูกเปิดออก นางก็เอ่ยขึ้นว่า “ดูเหมือนว่าจะจับใครไม่ได้แล้ว”
“ไม่ต้องห่วง ข้าบอกว่าจะจับคนพวกนั้นก็ต้องจับให้ได้!” ลู่เฉินเอ่ยพลางเติมพลังปราณที่สูญเสียไปเพื่อฟื้นฟู ทว่าฮวาหลิงมู่ยังคงกังวล “แต่ข้ากลัวพวกเขา”
“เจ้าไม่ต้องกังวล ตราบใดที่มีข้าอยู่ …เจ้าไม่มีอะไรต้องกลัว!” ลู่เฉินเอ่ยจบก็ค่อย ๆ หลับตาลง
ทันใดนั้น พลังปราณรอบกายพลันหล่อหลอมเข้าสู่ร่างของลู่เฉินอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่ภายในค่ายกล คนทั้งหลายต่างพากันวิตกกังวลจนตรอกกันไปหมด บางคนก็มองไปยังฉินสือที่ได้รับบาดเจ็บ “ศิษย์พี่ฉิน ท่านไม่เป็นอะไรมากใช่หรือไม่?”
ขาดแขนไปหนึ่งข้างย่อมเป็นเรื่องยากที่ฉินสือจะรับได้ แต่สิ่งที่เขารับไม่ได้มากที่สุดคือเขาพ่ายแพ้ให้ลู่เฉิน! นี่เป็นเรื่องที่เขายอมรับไม่ได้จริง ๆ “ข้าต้องกำจัดมันให้ได้!!!”
ส่วนเถียนอวิ๋นเมิ่งก็ได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้นมา “ท่านคิดว่าสภาพของท่านตอนนี้สามารถเอาชนะเขาได้หรือ?”
ฉินสือเป็นคนที่หวงภาพลักษณ์ของตนเอง เมื่อถูกเถียนอวิ๋นเมิ่งพูดจาแทงใจดำเช่นนี้ เขาจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “วางใจได้ ขอเพียงข้าได้พักผ่อนสักนิด ไม่นานก็สามารถออกไปต่อสู้กับเขาได้”
ทว่าราวกับเถียนอวิ๋นเมิ่งได้หมดความอดทนลงแล้ว “ทางที่ดี ข้าว่าให้อาจารย์และผู้อาวุโสในสำนักพฤกษาสวรรค์ของท่านเข้ามาจัดการเถอะ ไม่เช่นนั้นเขาคงหนีไปเสียก่อน!”