ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 41 พูดเอาดีเข้าตัว!
บทที่ 41 พูดเอาดีเข้าตัว!
“เจ้าคิดว่าข้าล้อเล่นหรือ?” เมื่อมองไปที่ฮวาหลิงมู่ ลู่เฉินก็หัวเราะ
ทว่าฮวาหลิงมู่ยังคงไม่เชื่อ คิดว่าชายหนุ่มไม่กล้าไปจริง ๆ นางจึงท้าทายลู่เฉินว่า “งั้นไป ข้าก็อยากเห็น!”
“นำทางไป!” ลู่เฉินคาดว่าฮวาหลิงมู่น่าจะรู้ว่าสำนักพฤกษาสวรรค์อยู่ที่ใด เขาจึงยิ้มและให้นางเป็นคนนำทาง
“ไปก็ไป!” ฮวาหลิงมู่ก้าวไปข้างหน้าทันที ส่วนลู่เฉินก็เดินตามอย่างช้า ๆ อยู่ด้านหลัง ขณะที่หญิงสาวเหล่านั้นก็ได้แต่มองหน้ากันไปมา ด้วยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
…
ระหว่างทางฮวาหลิงมู่หันไปดูลู่เฉินที่ส่งยิ้มให้ตนเป็นบางครั้งแล้วพึมพำในใจว่า ‘เหตุใดชายคนนี้ถึงเอาแต่ยิ้มให้ข้าหลังจากไปพบท่านปู่!’
ฮวาหลิงมู่ที่ไม่เคยถูกจ้องมองแบบนี้มาก่อนก็รู้สึกขนลุก นางหยุดฝีเท้าและเหลือบมองลู่เฉินแวบหนึ่ง “เจ้าคงไม่คิดจะขายข้าใช่หรือไม่?”
”ขายเจ้า?”
“พวกพี่สาวของข้าถูกกลุ่มโจรจับมา พวกเขาวางแผนที่จะส่งพวกนางไปขายที่หอบุปผา” เห็นได้ชัดว่าฮวาหลิงมู่ฟังเรื่องไร้สาระของสตรีพวกนั้นมาไม่น้อย
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลู่เฉินก็หัวเราะอย่างมีความสุข “ขายให้ใคร? ไม่มีใครขายเจ้าได้ทั้งนั้น!”
“เพราะเหตุใด?” ฮวาหลิงมู่กะพริบตากลมโตของนางปริบ ๆ และถามด้วยความสงสัย
”เพราะข้าเป็นหนี้เจ้า!”
“เป็นหนี้ข้า เจ้าเป็นหนี้อะไรข้า?” ฮวาหลิงมู่งงงวย แต่ลู่เฉินไม่ได้เอ่ยอันใด นางจึงคิดเองเออเอง ก่อนจะอุทานออกมาว่า “นี่เจ้ากำลังชดเชยที่เป็นต้นเหตุให้พวกพี่สาวบาดเจ็บ และที่รัดข้าไว้เมื่อครู่?”
ลู่เฉินรู้ว่าเรื่องบางเรื่องพูดมากเกินไป อีกฝ่ายก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เขาจึงแค่ฉีกยิ้มเล็กน้อย “อาจจะกระมัง”
“อะไรที่เรียกว่าอาจจะ!” ยิ่งฮวาหลิงมู่มองดูลู่เฉินมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกว่าเขามีปัญหาทางจิต
ทว่าลู่เฉินกลับฉีกยิ้มโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อฮวาหลิงมู่เห็นว่าไม่ได้คำตอบอันใด นางจึงทำได้เพียงสาวเท้ายาว ๆ และเร่งฝีเท้า ส่วนลู่เฉินก็เดินตามไปอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ พลันมีเสียงเสียงฆ้องและกลองดังมาจากระยะไกล
ฮวาหลิงมู่หยุดฝีเท้าทันที จากนั้นก็เดินออกจากพุ่มไม้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะร้องว้าวด้วยความตื่นตาตื่นใจ
ลู่เฉินสงสัยว่านางเห็นอันใด เขาจึงเดินออกจากป่าบ้าง ก่อนจะเห็นศิษย์นับไม่ถ้วนตีฆ้องและกลองอยู่ตรงตีนเขาข้างหน้า!
ในเวลาเดียวกันที่ใต้บันไดตีนเขานั้น พรมแดงถูกปูอย่างช้า ๆ และปรากฏดอกไม้โปรยปรายไปทั่ว
ไม่เพียงแค่นั้น หน้าตีนเขายังมีกลุ่มขบวนต้อนรับกลุ่มหนึ่ง
บนขบวนนี้มีเก้าอี้สีแดงสะดุดตา และเกี้ยวที่กำลังถูกยกลงจากบันไดอย่างช้า ๆ
บนบันไดมีชายที่อยู่ในขั้นหลอมแก่นแท้ผู้มีดวงตางดงาม สวมชุดเจ้าบ่าวยืนอยู่ที่นั่น และศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ด้านข้างก็กำลังแสดงความยินดีกับเขา
“ศิษย์พี่ฉิน ยินดีด้วยขอรับ!”
“ศิษย์พี่ฉิน วันนี้เป็นวันสำคัญของท่าน ท่านควรมาดื่มกับพวกเราสักหน่อย!”
“ศิษย์พี่ฉิน คืนนี้ต้องจัดเต็ม!”
ผู้ที่อยู่ในขั้นหลอมแก่นแท้ฉีกยิ้ม “อีกประเดี๋ยว ข้าจะให้ซองแดงแก่ศิษย์น้องทุกคน เป็นอย่างไร?”
ฝูงชนได้ยินเช่นนั้นก็พากันชื่นชมยินดีและโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น
หลังจากที่ฮวาหลิงมู่ได้เห็นผู้คนมากมาย และยังได้เห็นงานแต่งงานที่งดงามเช่นนี้ นางก็พลันเอ่ยถามลู่เฉินด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “นี่หมายความว่ามีคนกำลังจะแต่งงานงั้นหรือ?”
“ใช่” ลู่เฉินกล่าว
“แล้วเจ้าจะยังไปอีกจับตัวคนผู้นั้นหรือ?” เมื่อฮวาหลิงมู่เห็นผู้คนมากมาย นางก็รู้สึกว่างเปล่าเล็กน้อย ส่วนชายหนุ่มเพียงเอ่ยถามเบา ๆ ว่า “เจ้าไม่อยากแก้แค้นหรือ?”
“ข้าอยาก แต่คนมากเกินไป ข้ากลัวว่ากว่าจะหาผู้ชายคนนั้นพบก็คงถูกคนเหล่านี้โยนออกไปก่อน!” ฮวาหลิงมู่รู้สึกหดหู่
ลู่เฉินฉีกยิ้ม “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะทำให้คนอื่นไม่กล้ารังแกเจ้า”
“เจ้าหมายความว่ายังไง?” ฮวาหลิงมู่ไม่รู้ว่าลู่เฉินกำลังจะทำอะไร ทว่าลู่เฉินไม่ตอบ เขาเพียงเดินออกไปทั้งแบบนั้น
ฮวาหลิงมู่เบิกตากว้างทันที “นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?”
ทว่าลู่เฉินเดินออกไปแล้ว ดังนั้นฮวาหลิงมู่จึงทำได้เพียงติดตามไปอย่างรวดเร็ว
ยามนี้ทุกคนกำลังจมอยู่ในเสียงฆ้องและกลอง ส่วนลู่เฉิน กำลังเดินตรงไปที่บันได
เหล่าศิษย์ของสำนักพฤกษาสวรรค์ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงปีติยินดี ทว่าเมื่อเห็นชายแปลกหน้าปรากฏตัวขึ้น ทุกคนก็พากันหันมองด้วยความสงสัย
แต่เมื่อคนเหล่านี้เห็นฮวาหลิงมู่ก็ร้องตะโกนทันทีว่า “ดูสิ นังหนูตัวเหม็นนั่น!”
เห็นได้ชัดว่าฮวาหลิงมู่ถูกคนเหล่านี้ไล่ล่าอยู่ตลอด!
ด้วยเหตุนี้ เมื่อพวกเขาพบเห็นฮวาหลิงมู่อีกครั้งก็ไม่รอช้า ทำทีราวกับเห็นสมบัติล้ำค่า และพากันเข้ามาล้อมนางไว้ บางคนถึงกับยิ้มให้เจ้าบ่าวแล้วเอ่ยว่า “พี่ฉิน วันนี้มีความสุขสองเท่าแล้ว!”
“ใช่ แม้แต่นังหนูตัวเหม็นที่หายากที่สุดคนนี้ก็ยังมาถวายตัวที่หน้าประตู”
ผู้ที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่ฉินหัวเราะ “อย่าให้ข้าเห็นเลือดล่ะ!”
“ไม่ต้องห่วง ไม่มีเลือดแน่นอน!” คนจากสำนักพฤกษาสวรรค์หัวเราะ ในขณะที่คนอื่น ๆ ก็รับปากว่าไม่มีเลือดตกยางออกแน่นอน
เมื่อพวกเขาว่าจบก็พากันเตรียมลงมือ ซึ่งภาพที่เกิดขึ้นก็ทำให้ฮวาหลิงมู่กลัวจนไปซ่อนตัวอยู่ข้างหลังลู่เฉิน และพูดอย่างกังวลว่า “ดูเจ้าสิ ดึงดันจะมา ยามนี้เห็นทีคงรอดยากแล้ว!”
ใครจะรู้ว่าลู่เฉินกลับเหลือบมองผู้คนรอบตัวและพูดอย่างเย็นชา “ใครกล้าแตะต้องนาง?”
เดิมทีทุกคนไม่สนใจลู่เฉินที่อยู่ในขั้นกลั่นลมปราณ แต่เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของลู่เฉินก็พากันมองอย่างสงสัย และบางคนถึงกับหัวเราะออกมา “เจ้าไม่มีตาหรือ?”
“เจ้าหนุ่ม เจ้าอยากตายหรือ? เหตุใดจึงกล้าพูดกับเราเช่นนั้น?”
ยามนี้เอง สตรีที่อยู่ในเกี้ยวพลันเปิดม่านออกด้วยความสงสัย แต่เมื่อนางเห็นลู่เฉินยืนอยู่ตรงนั้น หญิงสาวผู้นั้นก็พลันเผยท่าทางประหลาดใจออกมา “ลู่เฉิน!”
สิ้นเสียงพูด ทุกคนก็พากันทยอยหันไป แม้แต่เจ้าบ่าวก็หันไปด้วย
ส่วนลู่เฉิน เมื่อเขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคยก็หันไปมอง ก่อนจะพบว่าสตรีในเกี้ยวเจ้าสาวไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคุณหนูใหญ่จากตระกูลเถียน เถียนอวิ๋นเมิ่ง!
นางเป็นพี่สาวของเถียนซินเมิ่ง และเป็นอดีต ‘คู่หมั้น’ ของลู่เฉิน
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เถียนอวิ๋นเมิ่งกำลังเข้าใจผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เห็นลู่เฉิน นางก็อดหัวเราะไม่ได้ “อันใดนะ? เจ้าคิดจะชิงตัวเจ้าสาวหรือ?”
“ชิงตัวเจ้าสาว?” ลู่เฉินไม่รู้ว่าสมองของอีกฝ่ายคิดอย่างไรกันแน่
ขณะที่เจ้าบ่าวรู้สึกตื่นเต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้ยินชื่อลู่เฉิน ดวงตาของเขาเป็นประกาย “อวิ๋นเมิ่ง นี่คือคนไร้ค่าที่เจ้าพูดถึงหรือ?”
“ใช่ เขาคือคนที่ขโมยเคล็ดวิชาของสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์และถูกกำจัดรากวิญญาณจนกลายเป็นคนไร้ค่า!” เถียนอวิ๋นเมิ่งยิ้มขณะนั่งอยู่ในเกี้ยว
“โอ้ น่าสนใจ!” เจ้าบ่าวป้ายแดงหัวเราะ และเหล่าศิษย์สำนักพฤกษาสวรรค์ก็เคยได้ยินชื่อลู่เฉินมาเช่นกัน
ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงหัวเราะ
“ที่แท้ก็เป็นคนไร้ประโยชน์ของตระกูลลู่!”
“เป็นหัวขโมย!”
“หนุ่มน้อย เจ้า? คิดจะมาชิงเจ้าสาวหรือ?”
“เจ้าคู่ควรแล้วหรือ?”
ลู่เฉินไม่สนใจคนเหล่านี้ ทว่าฮวาหลิงมู่ที่มองไปยังลู่เฉินด้วยความประหลาดใจก็ได้กล่าวว่า “ไม่มีทาง เจ้ามาที่นี่เพื่อชิงเจ้าสาวหรือ?”
ลู่เฉินยิ้มและมองไปที่ฮวาหลิงมู่ “ข้ายกเลิกการหมั้นกับนางนานแล้ว!”
“หมั้น? เจ้ามีสัญญาหมั้นกันหรือ?” ฮวาหลิงมู่สูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง ส่วนลู่เฉินพลันฉีกยิ้ม “ปีที่แล้วข้าตาบอด ดังนั้นถึงได้มีสัญญาหมั้นนี้!”
หลังจากที่ฮวาหลิงมู่หายตกตะลึง นางก็มองไปที่เถียนอวิ๋นเมิ่งอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เถียนอวิ๋นเมิ่งมีความสุข สีหน้าดูดีอย่างมาก แต่ตอนนี้ใบหน้าของนางซีดขาวทันทีและยังถลึงตาใส่อีกฝ่าย “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ปีที่แล้วหากเจ้าไม่ได้ทำทุกอย่างเพื่อให้ข้าเซ็นสัญญาหมั้นกับเจ้า เจ้าคิดว่าข้าจะตกหลุมเจ้าหรือ?” ลู่เฉินถามกลับ
เถียนอวิ๋นเมิ่งเริ่มหงุดหงิด “เจ้าพูดอีกครั้งซิ!”
“วันหลังอย่าไปบอกคนอื่นอีกว่าข้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้า ไม่เช่นนั้นคนอื่นจะเข้าใจผิดว่าข้าตาบอดโง่เขลา ถึงได้ชอบคนแบบเจ้าลง!” ลู่เฉินตอกหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด