ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 40 มีแค้นต้องชำระ!
บทที่ 40 มีแค้นต้องชำระ!
เหล่าผู้ฝึกตนในชุดเขียวหยกพากันใช้ออกด้วยเคล็ดวิชามากมาย เป้าหมายของพวกเขาคือจัดการฮวาหลิงมู่!
ภาพนี้ทำให้หญิงสาวเหล่านั้นตื่นตะหนก พวกนางพากันขยับกายไปขวางเบื้องหน้าฮวาหลิงมู่ และทำหน้าที่เป็น ‘โล่มนุษย์!’
ฮวาหลิงมู่ร้องอย่างกังวล “รีบไปเถอะ!”
เจี่ยลัวทนดูต่อไปไม่ไหว เขารีบวิ่งไปอยู่ตรงหน้าหญิงสาวพวกนั้น ก่อนที่ครู่ต่อมาไอสีเขียวดำจะพ่นออกมาจากปากของเจี่ยลัว เช่นเดียวกับร่างของเขาที่เริ่มกลายสภาพอย่างรวดเร็ว
“ผีดิบซากแห้ง!” ผู้ฝึกตนเหล่านั้นร้องเสียงแหลม
ฮวาหลิงมู่และสตรีทั้งหลายต่างตกใจ พวกนางคิดไม่ถึงว่าเจี่ยลัวคือผีดิบ! ขณะที่ทางฝั่งของเจี่ยลัว เขาไม่ได้สนใจท่าทีคนด้านหลังแม้แต่น้อย เพราะเป้าหมายของตนเองนับว่าประสบความสำเร็จแล้ว นั่นคือการใช้พิษศพในการทำให้คนเหล่านั้นหวาดกลัว!
ทว่ายังไม่ทันจะได้ดีใจไปมากกว่านั้น ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากลุ่มพลันแค่นเสียงหึออกมา “วางค่ายกล!”
ทันใดนั้น! บรรดาผู้ฝึกตนชุดเขียวพวกนั้นก็พากันถอยกลับทีละคน จากนั้นในมือของพวกเขาก็ปรากฏเชือกสีทอง ก่อนที่เชือกนั้นจะทะยานออกและก่อตัวเป็นตาข่ายขนาดใหญ่มัดเจี่ยลัวไว้แน่นหนา!
เมื่อผิวกายของเจี่ยลัวสัมผัสกับเชือกสีทอง เขาพลันกรีดร้องเสียงแหลมออกมาด้วยความเจ็บปวดทันที!
ใบหน้าของฮวาหลิงมู่ถึงกับเปลี่ยนสี “นั่นมันเคล็ดกักทมิฬของสำนักพฤกษาสวรรค์!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หญิงสาวคนอื่น ๆ ในกลุ่มก็หน้าเปลี่ยนสีในพลัน!
ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าหัวเราะอย่างเย็นชา “ผีดิบซากแห้งอย่างเจ้า ยังกล้ากล้าอวดดีต่อหน้าสำนักพฤกษาสวรรค์ของพวกเราหรือ?”
ทว่ายามนั้นเอง… เงาร่างสายหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นและตัดเชือกสีทองออกด้วยกระบี่เดียว จากนั้นก็ยืนอยู่ต่อหน้าผู้คน ก่อนจะสะบัดคมกระบี่ส่งปราณกระบี่นับพันสายพุ่งออกไปในชั่วพริบตา!
ผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานบางคนที่มีขั้นพลังอ่อนแอล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส ในขณะที่ผู้ฝึกตนซึ่งมีขั้นพลังสูงกว่า พวกเขาเพียงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น!
หญิงสาวพวกนั้นตกตะลึงทันที บางคนถึงกับเอ่ยพึมพำว่า
”เขา… ร้ายกาจมาก!”
“คุณชายน้อยผู้นี้ น่ากลัวจัง…”
หญิงสาวเหล่านั้นพากันรู้สึกขอบคุณตัวเองที่เมื่อครู่ไม่ได้ลงไม้ลงมือทำอะไรลู่เฉินรุนแรง ไม่เช่นนั้นพวกนางคงตายไปแล้ว!
“ผู้ใด!” บรรดาผู้ฝึกตนในชุดเขียวตกตะลึง
ส่วนคนที่ปรากฏตัว เขาจะเป็นใครได้อีกเล่า? นอกเสียจาก… ลู่เฉิน!
ทว่าชายหนุ่มไม่คิดสนใจคนกลุ่มนี้แม้แต่น้อย เขาเหลือบมองเจี่ยลัวแวบหนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นอันใดหรือไม่?”
“ไม่เป็นไร” เจี่ยลัวเอ่ยเสียงหอบ ลู่เฉินจึงตบไหล่อีกฝ่าย “พักผ่อนสักหน่อยเถอะ”
“อืม” เจี่ยลัวนั่งลงในทันที ส่วนลู่เฉินก็มองตรงไปที่ฮวาหลิงมู่แล้วเผยสีหน้าซับซ้อนออกมา
เห็นได้ชัดว่าฮวาหลิงมู่ยังคงโกรธอยู่เล็กน้อย “เร็ว! รีบปล่อยข้า!”
ลู่เฉินโบกมือคลายเถาวัลย์ ฮวาหลิงมู่จึงใช้โอกาสนี้พุ่งออกในพลัน โดยมีเป้าหมายคือกลุ่มผู้ฝึกตนในชุดเขียว!
ทว่ามีหรือที่อีกฝ่ายจะไม่ระวังตน ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากลุ่มยกมือขวาขึ้นอย่างสบาย ๆ ก่อนจะตบมันลงกลางอากาศ
แรงลมจากฝ่ามือทะยานออกพุ่งตรงเข้าหาฮวาหลิงมู่ทันที!
ทว่าฮวาหลิงมู่ที่กำลังโกรธเคืองไม่สนใจฝ่ามือนั้นแม้แต่น้อย ลู่เฉินจึงได้แต่ก้าวไปข้างหน้าอย่างจนปัญญา เขาคว้าแขนของนางเอาไว้ ก่อนจะลากเด็กสาวตัวน้อยมาหลบอยู่ด้านหลังตน พร้อมใช้ ‘กำแพงพันชั้น’ มาต้านทานฝ่ามือนั้น
ปัง!
ฝ่ามือนี้กระแทกกับกำแพงอย่างแรง ทว่ามันก็ถูกลู่เฉินต้านทานไว้อย่างง่ายดาย ซึ่งภาพที่เกิดขึ้นก็ทำให้สีหน้าของคนในสำนักพฤกษาสวรรค์เปลี่ยนสีไปในทันที!
ฮวาหลิงมู่เองก็ตกตะลึงเช่นกัน ทว่านางก็ยังไม่ละความตั้งใจเดิม คิดจะออกไปต่อสู้กับคนพวกนั้นอีก ลู่เฉินจึงเอ็ดว่า “อยู่เฉย ๆ!”
“ข้าจะแก้แค้น!”
“วางใจ ข้าจะล้างแค้นแทนเจ้าเอง!” เมื่อเอ่ยจบ ชายหนุ่มก็เดินไปหาผู้ฝึกตนเหล่านั้น ทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนถอยร่นไป ก่อนคนชุดเขียวที่อยู่ด้านหน้ากลุ่มจะเอ่ยขู่ขึ้นว่า “เจ้าหนุ่ม ข้า… ข้าเป็นศิษย์ของสำนักพฤกษาสวรรค์ มู่หลง!”
“เจ้าเป็นใครไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเจ้ามาหาเรื่องข้า!” ลู่เฉินกุมกระบี่สยบเก้าทิศไว้แน่น เขาเดินตรงไปไม่แม้แต่จะชะงัก
เมื่อมู่หลงเห็นท่าทีเช่นนี้จึงพูดอย่างกังวลว่า “เจ้า… เจ้าคิดจะเป็นศัตรูกับสำนักพฤกษาสวรรค์ของเราหรือ?”
ลู่เฉินไม่ได้พูดอันใดไร้สาระ เขาเพียงขยับตวัดฟันส่งปราณกระบี่ให้พุ่งทะยานออก!
ครั้นเห็นดังนั้นมู่หลงก็ไม่กล้ารอช้า เขารีบรวบรวมพลังปราณสีเขียวธาตุไม้อย่างรวดเร็วแล้วกล่าวอย่างโมโห “อย่าได้หวังเลย ม่านพลังนี้เจ้าไม่มีทางทะลวงมันได้หรอก!”
“โอ้ มั่นใจขนาดนั้นเลยหรือ?”
“ไร้สาระ! ม่านปราณของข้าเป็นหนึ่งในม่านพลังที่ทรงพลังที่สุดในสำนักพฤกษาสวรรค์!” มู่หลงโอ้อวด และศิษย์สำนักพฤกษาสวรรค์เหล่านั้นก็พากันกล่าวเสริมกันทีละคน
“เจ้าหนุ่ม รู้ไว้เถอะว่าม่านปราณพฤกษาแฝดของศิษย์พี่มู่นั้นทรงพลังเพียงใด!”
“ใช่แล้ว ม่านพฤกษาแฝดจะสร้างม่านพลังปราณขึ้นมาสองชั้น นอกเสียจากจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นหลอมแก่นแท้ระดับต้นโจมตี ก็อย่าหวังเลยว่าจะทำลายมันได้!”
ลู่เฉินคล้ายไม่ได้กังวลกับคำขู่เหล่านี้แม้แต่น้อย เขาควบบีบปราณกระบี่จนเหลือสิบสาย จากนั้นจึง…. โจมตีออกไป!
ปัง ปัง!
ม่านปราณสองชั้นแตกเป็นเสี่ยง ๆ ในทันที
หลังจากปราณกระบี่ทั้งสิบปะทะม่านปราณ มันก็ยังคงเหลือปราณกระบี่อีกสองสามเล่มที่อยู่ในสภาพดี และมันก็เป็นปราณกระบี่สองสามเล่มนี้นี่แหละที่พุ่งทะยานเข้าหามู่หลงที่ไร้ซึ่งการป้องกันตัวอย่างดุดัน!
ปัง ปัง!
มุมปากมีโลหิตจำนวนมากปรากฏขึ้น เช่นเดียวกับกระดูกภายในร่างที่แตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้มู่หลงจำต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด “อ๊ากก!”
คนอื่น ๆ ต่างตกใจจนตัวสั่น พากันหันกายไปทีละคนเพื่อคิดจะหลบหนี!
ทว่ามีหรือที่ชายหนุ่มจะปล่อยพวกเขาไป? ดวงตาของลู่เฉินเปล่งประกายเย็นชา เคล็ดเถาวัลย์ธรณีพันรอบตัวพวกเขา ไม่คิดจะเปิดโอกาสให้หลบหนีแม้แต่น้อย!
หลังจากนั้นลู่เฉินก็ฟาดกระบี่ออก จัดการคนพวกนั้นทีละคน เพียงแต่ไม่ได้สังหาร หากแต่ใช้ส่วนคมแทงเข้าทำลายตันเถียนของพวกเขาแทน!
“อ๊าก!” มู่หลงคำรามอย่างโกรธเคือง ทว่าลู่เฉินไม่สนใจ เขาหันกายหาฝูงชนที่ตกตะลึงแล้วกล่าวว่า…
“พวกเจ้า ไปล้างแค้นได้!” เมื่อลู่เฉินเอ่ยจบ หญิงสาวพวกนั้นก็คล้ายตื่นจากภวังค์ พวกนางวิ่งเข้าหาเป้าหมายทันที!
ทว่าในจังหวะนั้นเอง มู่หลงกลับถือโอกาสนี้หยิบก้อนกลมบางอย่างออกมา ก่อนจะโยนมันลงพื้น ทำให้ทั่วบริเวณปกคลุมไปด้วยควันขาว ก่อนที่เจ้าตัวจะหายไป ทิ้งไว้เพียงศิษย์ในชุดเขียวคนอื่น ๆ ที่โชคร้าย ทำให้พวกเขาตกเป็นเป้าระบายโทสะของเหล่าหญิงสาวและถูกพวกนางทรมานจนตาย!
ลู่เฉินมองไปยังกลุ่มควันสีขาวนั้น “แม้แต่ยาลูกกลอนลี้ธรณีก็ยังมี”
ฮวาหลิงมู่กล่าวด้วยความโมโหว่า “ให้ข้าไปจับมัน ข้าจะฆ่ามัน!”
ลู่เฉินได้สติกลับมาทันที เขามองไปที่ฮวาหลิงมู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วกล่าวว่า “หากไม่สังเกตให้ละเอียดก็คงมองไม่ออกจริง ๆ แต่พอมองดี ๆ แล้วพบว่าเจ้านี่มีโครงร่างคล้ายกับนางนัก!”
“คล้ายอะไร? ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าข้าไม่ขอบคุณเจ้าหรอกนะ!” หลังจากเห็นดวงตาแปลก ๆ ของลู่เฉิน ฮวาหลิงมู่ก็ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวทันที แต่ปากก็อดที่จะเอ่ยไม่ได้
ทว่าหญิงสาวพวกนั้นกลับทยอยกันก้าวไปข้างหน้าเพื่อขอบคุณลู่เฉิน
”ขอบใจนะคุณชายน้อย”
“คุณชายน้อย เจ้าคือผู้ช่วยชีวิตของเราจริง ๆ!”
“หนูน้อย เจ้าต้องขอบคุณเขานะ” สตรีคนหนึ่งพูดกับฮวาหลิงมู่ ส่วนฮวาหลิงมู่ก็พูดอย่างไม่พอใจว่า “ถ้าเขาไม่มัดข้าไว้ ข้าคงหนีไปได้ตั้งนานแล้ว และคงไม่ทำให้พี่สาวได้รับบาดเจ็บ!”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างปลอบโยน “วางใจ ความแค้นนี้ ข้าจะช่วยเจ้าชำระเอง!”
“ล้างแค้น? ล้างแค้นอย่างไร? พวกเขาคงหนีกลับไปสำนักพฤกษาสวรรค์แล้ว!”
“ข้าจะไปสำนักพฤกษาสวรรค์แล้วจับผู้ชายคนนั้นมา” ลู่เฉินสาบาน แต่ฮวาหลิงมู่คิดว่าลู่เฉินพูดเล่น ดังนั้นจึงพูดอย่างประหลาดใจว่า “เจ้ากำลังล้อเล่นอยู่หรือ?”
ลู่เฉินกำลังจะพูด แต่ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชรากลับดุฮวาหลิงมู่ว่า “สุภาพกับเขาหน่อย”
หญิงสาวเหล่านั้นพลันตกใจ พวกนางคิดไม่ถึงว่าต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราจะดุฮวาหลิงมู่ ส่วนฮวาหลิงมู่ก็มีสีหน้าเสียใจทันที “ท่านปู่…”
“เขาเป็นผู้มีพระคุณของข้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องสุภาพกับเขาเหมือนที่เจ้าทำกับข้า” ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชรากลัวว่าฮวาหลิงมู่จะทำอะไรที่ดื้อรั้น ดังนั้นเขาจึงรีบตำหนิทันที
แต่หญิงสาวพวกนั้นกลับตกตะลึง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮวาหลิงมู่พลันพูดด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มว่า “ด้วยความสามารถของเขา จะไปจับคนของสำนักพฤกษาสวรรค์ได้อย่างไร?”
“เมื่อตอบว่าได้ แน่นอนว่าเขาย่อมมีวิธีของเขา” ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชรายังคงเชื่อในลู่เฉิน แต่ฮวาหลิงมู่กลับรู้สึกว่าลู่เฉินพูดเกินจริง ดังนั้นใบหน้าของนางจึงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ “สำนักพฤกษาสวรรค์ ข้าเคยไปมาแล้วหลายครั้ง มียอดฝีมือมากมาย ไม่มีทางเข้าใกล้ได้ อย่าว่าแต่จับคนเลย”
“เจ้าไม่ต้องยุ่งก็พอ” ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราออกคำสั่ง ส่วนฮวาหลิงมู่ก็พูดอย่างโกรธเคือง “เช่นนั้นตอนที่จะไป ก็ให้ข้าติดตามไปด้วย ข้าจะดูว่าเขาจะจับมันได้อย่างไร!”
ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชรากล่าวว่า “เจ้าไม่กลัวความตายหรือ?”
“เขาไม่กลัว ข้าจะกลัวทำไม?” ฮวาหลิงมู่เอ่ยอย่างดื้อรั้น
ส่วนลู่เฉินก็หันไปกล่าวกับเจี่ยลัวว่า “เจ้าอยู่ที่นี่ อยู่กับพวกนาง ส่วนข้าจะพาแม่หนูตัวน้อยไปที่สำนักพฤกษาสวรรค์กันสักรอบ”
เจี่ยลัวพยักหน้า
ขณะที่ฮวาหลิงมู่เมื่อได้ยินว่าลู่เฉินจะพาตนไปที่สำนักพฤกษาสวรรค์ นางก็เอ่ยว่า “เจ้า จะไปจริง ๆ หรือ?”