ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 4 ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต
บทที่ 4 ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต
การแสดงออกของฉินหลินพลันเคร่งขรึมยิ่งขึ้น “ผู้อาวุโสเฮย เรื่องนี้…”
“อย่าบอกข้าเชียวว่าการที่เจ้าพาเขามาที่นี่ เจ้าไม่ได้คิดถึงความเป็นไปได้ที่เขาจะล้มเหลว หรือถูกพลังสะท้อนกลับจนตาย?” คำพูดที่เย็นชาของผู้อาวุโสเฮยทำให้ฉินหลินถึงกับพูดไม่ออก
ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ลู่เฉินไม่สนใจสิ่งใด เขาเร่งฝีเท้าเดินไปที่กระบี่ดำ
ทุกคนต่างมองหน้ากัน ส่วนผู้เฒ่าอ้วนมองมาที่ฉินหลิน ก่อนจะถามว่า “เจ้าต้องการให้เขาตายจริงหรือ?”
ฉินหลินทำอะไรไม่ถูก เขาแสดงท่าทีลำบากใจขณะกล่าว “เขาเป็นคนเช่นนี้เอง”
ผู้เฒ่าอ้วนได้ยินดังนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจ “ถ้าผู้เป็นบิดามารู้ว่าลูกชายของเขาจะต้องมาตายตกเช่นนี้เพราะเจ้า แล้วเจ้าจะเอาหน้าที่ไหนไปเผชิญหน้ากับพ่อของเขา?!”
ดวงตาของฉินหลินพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เมื่อเขานึกถึงพ่อของลู่เฉิน
ทว่าในขณะนั้น ลู่เฉินได้มายืนอยู่เบื้องหน้ากระบี่สีดำแล้ว ก่อนที่ชายหนุ่มจะยื่นมือข้างหนึ่งออกไป…
และเพียงแค่สัมผัสด้ามของกระบี่ ตัวกระบี่พลันกะพริบแสงสีดำออกมา จากนั้นกระบี่ปราณนับไม่ถ้วนก็ได้ถูกปลดปล่อยออกมาทันที!!
หนึ่ง…
สอง…
สาม!…
ทุกคนต่างตกใจกับภาพตรงหน้า
“สาม!”
แล้วก็ยังมีกระบี่ที่สี่ กระบี่ที่ห้า…
ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนี้ต่างตกตะลึง ขณะที่ผู้อาวุโสเฮยขมวดคิ้ว “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ไป๋อู่จินเองก็แสดงความประหลาดใจออกมาเช่นกัน “ไม่มีรากวิญญาณแท้ ๆ แต่เขากลับสามารถเรียกกระบี่ปราณออกมาได้มากขนาดนี้เชียว?”
“นี่มัน!” ฉินหลินตกตะลึงนิ่งงันไปกับภาพตรงหน้า ในขณะที่ผู้เฒ่าอ้วนส่ายหน้า “เร็วเข้า รีบแต่งตั้งเขาเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์!”
แม้จะเรียกกระบี่ปราณมาได้ถึงห้าเล่มแล้วก็ตาม ทว่าชายหนุ่มยังไม่คิดที่จะหยุดแม้แต่น้อย
และขณะนี้ก็มีกระบี่ปราณปรากฏออกมามากถึงเก้าเล่ม!
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้เห็นภาพตรงหน้า ผู้อาวุโสเฮยกลับกล่าวอย่างเสียดายออกมาว่า “กระบี่ปราณเก้าเล่ม? เช่นนั้นแรงสะท้อนกลับก็จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก!”
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ บรรดาผู้คนโดยรอบต่างตระหนักได้ในทันทีว่ากำลังมาถึงส่วนสำคัญของการทดสอบแล้ว!
ลู่เฉินหลับตาลง ปล่อยให้จิตสำนึกของเขาล่องลอยอยู่ในพื้นที่มืดมิดแห่งหนึ่ง
ในพื้นที่แห่งนี้มีภูตกระบี่อยู่ตนหนึ่ง รูปลักษณ์ของมันค่อย ๆ ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน …กระทั่งเผยให้เห็นชายหนุ่มในร่างโปร่งแสงผู้หนึ่ง!
ชายคนนี้ก็คือวิญญาณกระบี่!
ย้อนกลับไปในตอนนั้น จิ่วโหยวได้ขอให้ลู่เฉินตั้งชื่อวิญญาณกระบี่ตนนี้
และเนื่องจากกระบี่เล่มนี้ได้รับการขัดเกลาโดยลู่เฉิน ชายหนุ่มจึงขนานนามมันว่า ‘สวีปิง’
เมื่อสวีปิงเห็นร่างจิตสำนึกของลู่เฉิน วิญญาณกระบี่ตนนั้นก็พลันแสดงท่าทีตื่นเต้น และทักทายเขาว่า “ผู้อาวุโส!”
“หนึ่งแสนปีมาแล้ว ทว่าเจ้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย!” ลู่เฉินมองดูพลางยิ้มออกมาเล็กน้อย
สวีปิงที่ได้ยินดังนั้นก็ตอบกลับด้วยความหวาดกลัว “ผู้อาวุโส ท่านเองก็ไม่เปลี่ยนแปลงเลยเช่นกัน!”
“ข้าหรือ? ไม่เลย ข้าอ่อนแอนัก! ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้ข้าอยู่เพียงขั้นกลั่นลมปราณระดับห้าเท่านั้น?” ลู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่น
วิญญาณกระบี่พลันพูดอย่างกังวลว่า “ผู้อาวุโส นี่มันเกิดอันใดขึ้น?”
ลู่เฉินไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับการฝึกฝน
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ สวีปิงก็กล่าวอ้อนวอน “ผู้อาวุโส ท่านพาข้าไปได้หรือไม่?”
“พาเจ้าไป?” ลู่เฉินไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร
สวีปิงที่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย “ตลอดแสนปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีใครรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของข้าเลยสักคน…”
ลู่เฉินสัมผัสได้ถึงความเหงาของอีกฝ่าย จึงกล่าวว่า “เช่นนั้น เจ้าก็ตามข้าไปก่อนแล้วกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สวีปิงก็พลันตอบรับด้วยความตื่นเต้น “ขอรับ!”
“ตกลง! เช่นนั้นข้าจะออกไปก่อนแล้วกันนะ!” หลังจากที่ลู่เฉินกล่าวจบ จิตสำนึกของเขาก็กลับเข้าร่าง และลืมตาขึ้นอีกครา
ในขณะที่ลู่เฉินยืนอยู่ตรงนั้นคล้ายกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าทุกคนในที่นี้ต่างพากันตะลึงงันกับภาพตรงหน้า
เพราะเมื่อลู่เฉินเหยียดมือออก กระบี่ปราณทั้งเก้าพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง
พวกมันค่อย ๆ ผสานรวมกัน ก่อนที่สิ่งของมายาจะกลายเป็นของจริง หลอมรวมกันเป็นกริชเล่มเล็กร่วงหล่นลงมาสู่กลางฝ่ามือของชายหนุ่มอย่างนิ่มนวล!
“น… นะ…. นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นถึงกับตะลึง และสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
เช่นเดียวกันกับทางฝั่งผู้อาวุโสเฮย เขาเองก็ประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน “เจ้าหนู เจ้าทำอันใดกับกระบี่สยบเก้าทิศ?”
“กระบี่เล่มนี้ยอมรับข้าเป็นนายแล้ว มีปัญหางั้นหรือ?” ลู่เฉินกล่าวพลางมองผู้อาวุโสเฮย
และเมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็หันมาสบตากัน
“ยอมรับเป็นนาย กระบี่เล่มนี้ยอมรับเขาเป็นนายจริงหรือ?!”
“เป็นไปได้อย่างไร?!”
“กระบี่เล่มนี้ไม่จำเป็นต้องขัดเกลา ก็สามารถยอมรับเป็นนายได้เลยหรือ?”
มีคำถามผุดขึ้นมามากมาย
แม้แต่ฉินหลินเองก็ยังสงสัย ทว่าไป๋อู่จินก็ได้ไขข้อข้องใจให้กับทุกคน
”แท้จริงแล้ว มีสองวิธีด้วยกันที่จะทำให้กระบี่ยอมรับคนผู้นั้นเป็นนาย หนึ่งคือการขัดเกลา และสองคือการที่วิญญาณของอาวุธชิ้นนั้น …ยอมรับคนผู้นั้นเป็นนายด้วยตนเอง! ทว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา ข้ากลับไม่เคยเห็นผู้ที่ทำสำเร็จด้วยวิธีที่สองมาก่อน!!!”
“อะไรนะ” ทุกคนตกตะลึง
ผู้เฒ่าอ้วนก้าวไปข้างหน้าและชมเชย “นับว่าเป็นโชคของสำนักเราอย่างแท้จริง!”
ฉินหลินเองก็ได้กล่าวเสริมออกมาอย่างมีความสุขเช่นกัน “ด้วยการทดสอบนี้ อย่าว่าแต่ตำแหน่งบุตรศักดิ์สิทธิ์เลย แม้แต่จะขึ้นครองตำแหน่งที่เหนือกว่าผู้นำสำนักก็ยังไร้ปัญหา!”
เหนือกว่าผู้นำสำนัก? นั่นคือตำแหน่งอะไรกัน?
ศิษย์ทั้งหลายต่างตกใจ โดยเฉพาะผู้ที่เคยเยาะเย้ยลู่เฉิน บัดนี้พวกเขากลัวอย่างยิ่งว่าลู่เฉินจะสร้างปัญหาให้กับพวกเขาในอนาคต แต่ละคนจึงมีอาการประหม่าขึ้นมา
ในขณะที่ผู้อาวุโสเฮยกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ “ตามกฎแล้ว การทดสอบกระบี่นี้เป็นเพียงขั้นแรก ขั้นที่สองต่างหากเล่าที่สำคัญ!”
“ยังมีขั้นที่สองอีกหรือ?” ฉินหลินตกตะลึง ขณะที่รอยยิ้มของผู้เฒ่าอ้วนค่อย ๆ หายไป และกล่าวว่า “ผู้อาวุโสรอง พวกเราไม่ทำการทดสอบขั้นที่สองได้หรือไม่?”
“ตามกฎของสำนัก เมื่อมีผู้ใดเรียกกระบี่ปราณได้เกินเจ็ดเล่ม คนเหล่านั้นจะต้องรับการทดสอบขั้นที่สอง!” ผู้อาวุโสเฮยหยิบบันทึกกฎเกณฑ์ของสำนักเก้าสุขสงบออกมา
ผู้เฒ่าอ้วนขมวดคิ้ว “แต่นั่นมันเมื่อหลายหมื่นปีที่แล้ว และในยุคสมัยนี้ ข้าก็ไม่เคยเห็นผู้ใดรับการทดสอบนี้มาก่อน!”
“นั่นเป็นเพราะไม่มีใครสามารถเรียกกระบี่ปราณได้เกินเจ็ดเล่มมาก่อน!” ผู้อาวุโสเฮยอ้างเหตุผลที่ทำให้ผู้เฒ่าอ้วนวิตกกังวล และฉินหลินก็ถึงกับขมวดคิ้ว เนื่องจากไม่อาจโต้แย้งข้อเท็จจริงเรื่องนี้ได้เลย
ทว่าลู่เฉินกลับยังคงสงบนิ่ง “การทดสอบขั้นที่สองคืออะไร?”
“นำสำนักเก้าสุขสงบผงาดขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแห่งแดนทักษิณา!” ผู้อาวุโสเฮยจ้องที่ลู่เฉิน ไม่มีทีท่าของการลดราวาศอก
ทุกคนตกใจเมื่อได้ยินคำว่า ‘อันดับหนึ่งแห่งแดนทักษิณา’
เนื่องจากแดนทักษิณาเป็นพื้นที่ทางตอนใต้ของจิ่วโหยว อีกทั้งยังมีสำนักและสำนักฝึกตนไม่น้อย อย่างเช่นสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ทว่าถึงแม้สำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์จะเป็นอันดับหนึ่งในบริเวณนี้ แต่ก็ถูกจัดให้อยู่เพียงร้อยอันดับแรกของแดนทักษิณาเท่านั้น!
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่สำนักเก้าสุขสงบจะถือครองอันดับหนึ่ง และขึ้นเป็นผู้นำของแดนทักษิณา
หลังคิดได้เช่นนั้น ฉินหลินและผู้เฒ่าอ้วนจึงเริ่มโต้เถียงกับผู้อาวุโสเฮย ทว่าอีกฝ่ายเพียงแค่นำบันทึกลายลักษณ์อักษรของสำนักมาเปิดออก พร้อมกับอธิบายสิ่งที่เขียนอยู่ภายใน ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงสิ้นข้อโต้แย้ง
แต่ในเวลานี้เอง ไป๋อู่จินกลับกล่าวขึ้นว่า “การผงาดขึ้นมาเป็นสำนักอันดับหนึ่งของแดนทักษิณา หาใช่ที่จะทำได้ภายในชั่วข้ามคืน ดังนั้นตามกฎแล้ว ข้าคิดว่าเขาต้องเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน!”
หลังจากที่ฉินหลินได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสไป๋ เขาก็เห็นด้วยทันที “ใช่แล้ว สิ่งที่ผู้อาวุโสใหญ่พูดนั้นถูกต้อง!”
ผู้เฒ่าอ้วนเองก็เห็นด้วย “ใช่!”
ส่วนผู้อาวุโสเฮยกำลังกังวล “ท่าน…”
“ก็ดั่งเช่นที่เจ้าบอกไว้ก่อนหน้า การเรียกกระบี่ปราณได้เจ็ดเล่ม มันหมายถึงตำแหน่งเจ้าสำนัก …ไม่ใช่หรือไร?” ไป๋อู่จินกล่าว
เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการบอกผู้อาวุโสเฮยว่า หากลู่เฉินจะขึ้นเป็นเจ้าสำนักก็ย่อมเป็นได้!
เมื่อผู้อาวุโสเฮยถึงกับตกใจ …หากลู่เฉินกลายเป็นผู้นำสำนักจริง ๆ ตัวเขาจะต้องเผชิญกับคราวเคราะห์เป็นแน่! ดังนั้นหลังจากคิดดูแล้ว จึงจำใจเอ่ยว่า “เช่นนั้น ก็ให้เขาเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ก่อนแล้วกัน!”
ตอนนั้นเองที่ไป๋อู่จินหันมองลู่เฉิน “แล้วเจ้าเล่า เจ้ามีความคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร?”
ลู่เฉินมาที่นี่เพื่อเอาวัตถุดิบบางอย่างเท่านั้น เขาไม่สนใจที่จะกลายเป็นผู้นำอันดับหนึ่งแห่งแดนทักษิณา แต่พอใจกับสถานะ ‘บุตรศักดิ์สิทธิ์’ เขาจึงตอบไปว่า “ไม่มีปัญหา!”
ไป๋อู่จินพยักหน้า “ตามกฎของสำนัก ผู้ที่กลายเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์จะต้องเตรียมตัวให้ดี และเข้าร่วมงานประลองสิบสำนัก!”
งานประลองสิบสำนักคืออันใด?
ลู่เฉินไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ทว่าฉินหลินกลับตกใจ เขารีบเอ่ยแย้งทันที “ผู้อาวุโส งานประลองจะจัดขึ้นในครึ่งปีหน้าแล้ว! …ข้าเกรงว่าสำหรับเขา มันจะไม่ทันการณ์เกินไป!”
ทว่าไป๋อู่จินต้องการเห็นความสามารถที่แท้จริงของลู่เฉิน จึงกล่าวว่า “…นี่เป็นกฎ!”
ผู้อาวุโสเฮยฉวยโอกาสนี้ในการกล่าวเสริม “ใช่แล้ว …นี่คือกฎ!”
ไป๋อู่จินหันมองผู้เฒ่าอ้วน ก่อนจะสั่งว่า “การฝึกฝนของเขาในช่วงหกเดือนข้างหน้านี้ …มอบให้กับเจ้าแล้วกัน!”
หลังจากพูดจบ ไป๋อู่จินก็พลันหันหลังจากไป เช่นเดียวกับผู้อาวุโสเฮยที่กลับไปพร้อมรอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้า
ลู่เฉินไม่ชอบความวุ่นวายนัก เขาจึงรีบออกมาจากฝูงชน โดยให้ผู้เฒ่าอ้วนและฉินหลินเดินนำ จนกระทั่งมาถึงเส้นทางที่ไม่มีคนอาศัยอยู่
“ข้าว่า เจ้าควรไปเสีย” จู่ ๆ ฉินหลินก็พูดขึ้น
เช่นเดียวกับผู้เฒ่าอ้วนที่ถอนหายใจ “เขาจะเข้าร่วมงานประลองสิบสำนักโดยไม่มีรากวิญญาณได้อย่างไร!”
“งานประลองสิบสำนักคืออะไร?” ลู่เฉินถามด้วยความสงสัย