ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 34 ปิงหลิวหลีปรากฏตัว
บทที่ 34 ปิงหลิวหลีปรากฏตัว
ลู่เฉินไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับเจี่ยลัวที่เกิดหวั่นใจขึ้นมา เพราะซือตู๋เทียนนั้นได้รับขนานนามว่าเป็นผู้ฝึกตนขั้นหลอมแก่นแท้ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์
และเพียงเพราะคำเรียกขานนี้ก็มากพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนจำนวนมากหวาดกลัว!
ซือตู๋เทียนหรี่สายตาลงพลางเอ่ยว่า “เจ้ายังมีโอกาสไตร่ตรอง!”
“ไตร่ตรอง?”
“ใช่!” ซือตู๋เทียนตอบกลับอย่างมั่นใจ
ทว่าลู่เฉินกลับคลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วกล่าวว่า “คนเหล่านี้ทำร้ายคนในตระกูลและบ่าวไพร่ของข้า ถ้าหากเจ้าฆ่ามันทิ้งซะ ข้าก็พร้อมที่จะลองไตร่ตรองดูอีกสักครั้ง!”
สือเซียวได้ยินแล้วก็ร้อนใจขึ้นมา “อาจารย์ เขาก็แค่อยากจัดการข้าเท่านั้น!”
เมื่อซือตู๋เทียนแน่ใจ… ว่าแท้ที่จริงลู่เฉินไม่คิดจะกลับไปยังสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์อีก เขาจึงเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ยอมกลับไปสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นเห็นทีข้าคงต้องเป็นตัวแทนสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์จัดการคนทรยศอย่างเจ้า!”
“พลิกลิ้นเร็วเสียจริง?!” ลู่เฉินยิ้มเย็นชา แต่ซือตู๋เทียนไม่ตอบโต้ใด ๆ หากแต่ตั้งท่าพร้อมที่จะลงมือจัดการลู่เฉินแล้ว!
ชายหนุ่มที่เห็นเช่นนั้นก็เพิ่มการระวังตน เขาโคจรพลังปราณไว้บนมือขวา… พร้อมแล้วที่จะโจมตีใส่อีกฝ่าย!
ทว่าจู่ ๆ ปิงหลิวหลีก็ปรากฏตัวออกมา!
นางยืนอยู่บนหลังคาอาคารแห่งหนึ่งและมองมายังซือตู๋เทียนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ปากก็เอ่ยว่า “ข้าล่ะสงสัยเสียจริงว่าเหตุใดสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์จึงชอบรังแกผู้น้อยกันนะ?”
สิ้นเสียงนั้น ผู้คนต่างหันมองไปยังบนหลังคา ก่อนจะพบกับหญิงนางหนึ่งที่ปรากฏกายขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่ถูกปกปิดไว้ด้วยหน้ากาก
สือเซียวไม่รู้ว่าสตรีนางนี้คือใคร ดังนั้นจึงคิดอาศัยอำนาจของซือตู๋เทียน “ทางที่ดีเจ้าอย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้ มิเช่นนั้นอาจารย์ข้าจัดการเจ้าแน่!”
ปิงหลิวหลีคล้ายกับได้ยินเรื่องขบขัน นางยิ้มหยันพร้อมเอ่ยว่า “ซือตู๋เทียน ศิษย์ของท่านช่างน่าขันยิ่งนัก”
แทนที่จะโต้ตอบวาจา ซือตู๋เทียนกลับวางกระบี่ลงและขมวดคิ้วเข้าหากัน
การกระทำเช่นนี้… ทำให้ผู้คนต่างแปลกใจว่าเหตุใดราชันย์กระบี่ร้อยคมจึงหยุดโจมตีไปเสียง่าย ๆ ก่อนจะเป็นซือตู๋เทียนที่เป็นผู้เฉลย
เขาหันไปมองปิงหลิวหลีแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เจ้าสำนักเก้าสุขสงบผู้สง่างาม เหตุใดเจ้าจึงมาปรากฏกายในที่แห่งนี้ได้?”
เมื่อทุกคนได้ยินว่าผู้มาเยือนเป็นถึงเจ้าสำนักเก้าสุขสงบ พวกเขาก็พากันเบิกตากว้างตกตะลึง!
ส่วนสือเซียวก็ยิ่งหวาดกลัวกว่าใครจนใบหน้าถอดสี “เหตุใดเจ้าสำนักถึงมาได้กัน?”
ปิงหลิวหลีหัวเราะขึ้นมา “เห็นทีตัวข้าคงปิดตัวบ่มเพาะนานไปหน่อย จนสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์หลงลืมข้าไปเสียแล้ว”
ซือตู๋เทียนตอบกลับ “ท่านนี่ตลกจริงเชียว?”
“ตลก? เรื่องนั้นช่างมันเถิด เอาเป็นว่าที่สำคัญก็คือ… ท่านจะลงมือต่อหรือไม่?” ปิงหลิวหลีกล่าวพลางจ้องด้วยสายตาแข็งกร้าว
“หญิงผู้นี้ไม่ใช่ว่าเก็บตัวบ่มเพาะหรอกหรือ? ไฉนจึงมาปรากฏกายที่นี่ได้?” ซือตู๋เทียนพึมพำเสียงเบา
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ซือตู๋เทียนจึงหันไปมองลู่เฉินด้วยความสงสัย จากนั้นก็หันมองปิงหลิวหลีพร้อมเอ่ยออกมา “ดูเหมือนว่าเขาจะสำคัญกับท่านมาก”
“แน่นอนอยู่แล้ว! เขาเป็นถึงบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักเก้าสุขสงบของข้า ข้าก็ควรให้ความสำคัญกับเขามิใช่หรือ?” ปิงหลิวหลีเพียงแค่หาข้ออ้างตอบกลับไปเท่านั้น
เมื่อได้ยินว่าเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักเก้าสุขสงบ สือเซียวก็ปั้นหน้าไม่ถูก แต่ซือตู๋เทียนกลับตอบด้วยแววตาเย็นชา “บุตรศักดิ์สิทธิ์?”
“ใช่”
“งานประลองสิบสำนักอีกครึ่งปีข้างหน้า พวกท่านจะไม่เข้าร่วมกันหรือ?” ซือตู๋เทียนเอ่ยถามอย่างสงสัย แต่ปิงหลิวหลีเพียงแค่ยิ้ม “ไม่ได้เข้าร่วมมานับพันปีแล้ว ทว่าครั้งนี้… เห็นทีพวกข้าคงต้องไปร่วมสนุกด้วยเสียหน่อย”
เมื่อซือตู๋เทียนได้ฟังก็คลายยิ้มเย็นชาออกมา “เมื่อถึงเวลานั้น อย่าพ่ายแพ้จนอับอายก็แล้วกัน”
“แต่ถ้าพวกเจ้าสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้จนอับอายแทนเล่า?” ปิงหลิวหลียิ้มอย่างมีเลศนัย
ซือตู๋เทียนไม่ตอบอะไร เพียงแสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
“สรุปเจ้าจะเอาเช่นไร? อยากสู้หรือไม่?” ปิงหลิวหลีจงใจเอ่ยถาม แต่ซือตู๋เทียนไม่คิดจะเป็นคู่ต่อสู้กับปิงหลิวหลีอยู่แล้ว เพราะระดับขั้นของอีกฝ่ายสูงกว่ามากนัก!
ดังนั้นซือตู๋เทียนจึงเพียงแค่จับสือเซียวขึ้นมา “แล้วพบกันตอนงานประลองสิบสำนัก!”
ครั้นเอ่ยจบ ซือตู๋เทียนก็เหยียบกระบี่บินและจากไปพร้อมกับสือเซียวทันที
ปิงหลิวหลีไม่ได้ไล่ตามไปแต่อย่างใด เพราะแท้จริงแล้วนางยังฟื้นฟูพลังกลับมาได้ไม่เท่าไหร่ หากต้องลงมือจริง ๆ ซือตู๋เทียนก็ถือว่ารับมือไม่ง่ายเลย!
ทว่าเหตุใดลู่เฉินจึงปล่อยให้สือเซียวหนีไปได้ง่าย ๆ เช่นนี้กัน?
อันที่จริงลู่เฉินได้แอบบีบอัดปราณกระบี่ขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ ในเสี้ยวอึดใจ และในจังหวะที่ซือตู๋เทียนขึ้นกระบี่บินจากไป เขาก็ใช้จังหวะนั้นควบคุมปราณกระบี่นับสิบ และส่งให้มันพุ่งไปยังร่างของสือเซียว!
ผู้คนต่างก็ตกตะลึง
และเมื่อสือเซียวส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ทุกอย่างก็สายเกินแก้แล้ว!!
“บัดซบ!” ซือตู๋เทียนสบถด้วยความโกรธทันทีที่รู้ตัว ก่อนจะรีบหยิบเม็ดยารักษาให้สือเซียวกิน จากนั้นก็พากันบินหายไปอย่างรวดเร็ว
ปิงหลิวหลีเหงื่อตกพลางหันไปพูดกับลู่เฉินว่า “เจ้าไม่กลัวซือตู๋เทียนย้อนกลับมาจัดการเจ้าหรือ?”
ลู่เฉินไม่ตอบอะไร
และเมื่อปิงหลิวหลีตวัดมือเพียงครั้งเดียว ผู้คนในจวนเจ้าเมืองต่างก็หวาดกลัว ก่อนจะพากันถอยห่างออกไปไกล
ในจังหวะนั้นเอง ลู่เฉินหันมองกลับไปยังเถียนเฟิงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ปล่อยตัวคนตระกูลลู่ทั้งหมด”
“ปล่อย ย่อมต้องปล่อย” เถียนเฟิงหวาดกลัวยิ่ง ถึงขนาดเจ้าตัวรีบเร่งออกคำสั่งให้คนไปพาตัวคนตระกูลลู่ที่เหลือทั้งหมดออกมาอย่างร้อนรน
เมื่อท่านปู่ของลู่เฉินออกมาและได้เห็นเข้ากับซากศพกระจัดกระจายเกลื่อนไปทั่วพื้นที่ ใบหน้าของชายชราก็พลันกลายเป็นซีดเผือด แต่เมื่อเห็นว่าลู่เฉินไม่ได้รับอันตรายใด ๆ อีกฝ่ายก็รีบเดินเข้าไปลูบบ่าทั้งสองอย่างเบามือ “เจ้า เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“ข้าปลอดภัยดี” ด้วยความห่วงใยของอีกฝ่าย ทำให้ความเกรี้ยวกราดของลู่เฉินค่อย ๆ สงบลง
ปิงหลิวหลีที่อยู่อีกด้านค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมา “ข้าคิดว่าควรออกไปจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ข้ารับใช้เหล่านี้ คงต้องทำการฝังเสียก่อน” ลู่เฉินมองไปยังศพที่อยู่รอบ ๆ พลางขมวดคิ้ว
“ไม่ต้องห่วง ข้าสั่งการให้สหายที่อยู่ในเมืองเฟิงเฉิงมาจัดการให้แล้ว” จบคำของปิงหลิวหลี ทันใดนั้นก็มีกลุ่มคนไม่ทราบนามเข้ามา คนเหล่านี้ต่างนำคนบาดเจ็บไปรักษา ส่วนคนที่ตายก็นำร่างไปฝัง
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นลู่เฉินก็ยังคงไม่ขยับไปไหน เขาเพียงบอกให้ปิงหลิวหลีพาท่านปู่และอวิ๋นซานที่หมดสติออกไปนอกจวน
ปิงหลิวหลีหันมาถามด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าจะทำอะไรกันแน่?”
“ไปเถอะ” ลู่เฉินไม่อธิบายใด ๆ ปิงหลิวหลีจึงทำได้เพียงพาทั้งสองจากไป
แต่ท่านปู่ลู่กลับเป็นห่วงหลานชายของตนยิ่งนัก จึงมีท่าทีคล้ายไม่อยากไป ทว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องยอมจากไปหลังจากโดนเกลี้ยกล่อมจากปิงหลิวหลี
ลู่เฉินนำตัวเถียนเฟิงไปขังไว้ในคุก และมันก็ทำให้เถียนเฟิงได้แต่ร้องขอด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ค… คะ… คุณชายลู่ ข้า… ข้าเพียงแค่ถูกผู้อื่นยุยง ข้าไม่ได้ต้องการจะทำร้ายคนตระกูลลู่ของท่านจริง ๆ”
“ได้ยินว่าบ้านตระกูลลู่ถูกรื้อค้นทรัพย์สินไปหมด มันอยู่ไหน?”
“อยู่นี่” เถียนเฟิงรีบนำถุงสุญญะญาณออกมามอบให้ลู่เฉิน
คิ้วทั้งสองข้างของชายหนุ่มพลันขมวดเข้าหากันทันทีที่เห็นสิ่งของภายในถุง “มีเท่านี้?”
“ยังมีอีก ผู้ ผู้ตรวจการหลู่นำไป”
ครั้นได้ยินดังนั้น ลู่เฉินพลันหันไปสำรวจที่ร่างของหลู่หยวน และเมื่อเห็นถุงสุญญะญาณของอีกฝ่าย เขาจึงหยิบมันขึ้นมาก่อนมองไปยังเถียนเฟิง ทำให้เถียนเฟิงละล่ำละลักออกมาด้วยความหวาดกลัวไม่หยุด “ปล่อยข้าไปเถอะ”
“เจ้าทำเรื่องเลวร้ายมากมายขนาดนี้ …ให้ข้าปล่อยเจ้าไป เช่นนั้นมันคงง่ายเกินไปแล้ว!”
“เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“เจ้าเป็นถึงเจ้าเมือง ตำแหน่งเจ้าในราชสำนักคงใหญ่พอควรสินะ”
“เพียงขุนนางเล็ก ๆ เท่านั้น” เถียนเฟิงหวาดกลัวจนเหงื่อตก
“ถ้าไม่อยากจบชีวิต เช่นนั้นก็นั่งลงแล้วหันหลังไปซะ” ลู่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ แต่เถียนเฟิงก็รีบถามอย่างลนลานขึ้นมาทันทีเช่นกันว่า “เจ้า เจ้าจะทำอะไร?”
“เจ้าอยากเป็นหรือตาย?” ลู่เฉินถามกลับ
เถียนเฟิงกลัวจนรีบทำตามที่ลู่เฉินสั่ง เขานั่งลงและหันหลังให้ชายหนุ่ม หากแต่ปากยังคงพึมพำไม่หยุด “ข้า ข้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายตระกูลลู่ของเจ้า ข้าถูกบังคับทั้งนั้น!”
ทว่าลู่เฉินไม่สนใจ เขาชี้นิ้วไปที่ลำคอของเถียนเฟิง ก่อนจะปล่อยพลังจิตวิญญาณออกไป
พลังจิตวิญญาณนี้แผ่กระจายเป็นแสงสีดำ และไปหยุดอยู่บริเวณศีรษะของเถียนเฟิง
อึดใจถัดมาเถียนเฟิงก็หมดสติไป
ลู่เฉินเอามือทั้งสองไปวางเหนือศีรษะของเถียนเฟิง ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง และส่งกลุ่มก้อนพลังจิตวิญญาณสีดำเข้าปกคลุมทั่วร่างของเถียนเฟิง!
ไม่เพียงเท่านั้น มวลพลังเงาดำเหล่านี้ยังกลายเป็นเงาสีดำร่างเล็กร่างหนึ่ง
เงาเหล่านี้ราวกับกระดาษบาง ๆ แต่เพียงแค่มีสีดำเท่านั้น
เมื่อมันใช้เวลาผสมผสานกันสมบูรณ์แล้ว เงานั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “นายท่าน!”
“ไปหล่อรวมกับจิตวิญญาณเขา!”
“ขอรับ!” คนกระดาษตัวเล็กนี้กลายเป็นกลุ่มพลังสีดำเข้าไปสู่ร่างของเถียนเฟิง ทำให้เจ้าเมืองผู้นี้ตกใจและพลันฟื้นขึ้นมาจากอาการหมดสติ!