ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 292 วิธีพบราชาหมื่นหน้า นึกถึงคำพยากรณ์เมื่อแสนปีก่อน!
บทที่ 292 วิธีพบราชาหมื่นหน้า นึกถึงคำพยากรณ์เมื่อแสนปีก่อน!
เมื่อได้ยินเสียงเยาะเย้ยของคนเหล่านี้ ลู่เฉินก็พลันยิ้มออกมา “เช่นนั้นพวกเจ้าจงดูให้ดี!”
พูดจบ ชายหนุ่มก็ปลดปล่อยไอปราณทรงกลมออกไปหลายจุด
เมื่อไอปราณเหล่านี้สัมผัสบริเวณโดยรอบ บรรยากาศรอบ ๆ ก็พลันมืดลง จากนั้นก็เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปอีกครั้ง
เห็นเพียงคนเหล่านี้ปรากฏตัวต่อหน้าลู่เฉินในพริบตา
ทั้งสามตกใจยิ่ง จากนั้นก็พยายามที่จะหนีออกไปอีกครั้ง แต่ค่ายกลรอบตัวเปลี่ยนไปแล้ว ทำให้ทั้งสามไร้หนทาง ราวกับว่าพวกเขาติดอยู่ในค่ายกลเสียแล้ว
“เจ้าจะทำอันใด!” คนผู้หนึ่งตะโกนขึ้น
อีกสองคนก็จ้องมองลู่เฉินด้วยความโกรธเช่นกัน ทว่าลู่เฉินมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
ในขณะนี้ พวกเขาทั้งสามรู้แล้วว่าลู่เฉินน่ากลัวเพียงใด เพราะค่ายกลนี้พวกเขาได้ออกแบบอย่างระมัดระวังและวางแผนที่จะหลอกล่อเขา ทว่าเพียงพริบตาเดียว ลู่เฉินก็ทำลายมันไปเสียแล้ว และพวกเขาก็ถูกหลอกให้เข้ามาติดอยู่ในนี้แทน
เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนเงียบไป ลู่เฉินจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าจะยอมจำนนเองหรือไม่? หรือจะให้ข้าลงมือ”
หลังจากที่ทั้งสามประสานสายตากัน พวกเขาก็รวมร่างกลายเป็นยักษ์ที่มีสามหน้า ซึ่งดูแปลกพิสดารยิ่งนัก
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ลู่เฉินพลันขมวดคิ้ว “เคล็ดวิชายักษ์ไร้หน้า!”
“เจ้ารู้ด้วยหรือ?” ทั้งสามรู้สึกอัศจรรย์ใจ แต่ชายหนุ่มพูดอย่างเย็นชาว่า “เป็นวิชาของพระราชวังไร้หน้าของพวกเจ้าหรือ?”
“ใช่แล้ว หนึ่งในคาถาที่ทรงพลังที่สุดในพระราชวังไร้หน้าของเรา!”
“ราชาหมื่นหน้าเกี่ยวอันใดกับวังไร้หน้า?”
“ราชาหมื่นหน้าอันใด?” ทั้งสามคนนี้ไม่รู้ว่าลู่เฉินพูดอันใด และลู่เฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจัดการทั้งสามคนนี้เสียก่อน แต่เมื่อชายหนุ่มโจมตีร่างกายที่ใหญ่โตราวกับยักษา มันก็เป็นเสมือนก้อนแป้งนั่นคือเพียงพริบตาเดียวก็ละลาย
ในขณะเดียวกัน พวกเขาทั้งสามพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าลืมบอกไปว่าคาถาของเราไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนร่างกายทำให้เนื้อเหมือนแป้ง”
ลู่เฉินหยิบธนูเงามารออกมา ก่อนจะโจมตีร่างอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่งแต่ก็ไร้ผล จนอีกฝ่ายหัวเราะเสียงดัง “รู้ถึงความแข็งแกร่งของพวกข้าหรือยัง!?”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ลู่เฉินก็ใช้เคล็ดเถาวัลย์ธรณีเพื่อเกี่ยวรัดคู่ต่อสู้ และยื่นหนามแหลมคมออกมาเจาะเข้าไปในเนื้อ จากนั้นจึงพบว่ามีไอปราณปรากฏออกมา
ไม่เพียงเท่านั้น คู่ต่อสู้ยังกระจัดกระจายไปทั่วราวกับโคลนถล่ม ก่อนจะไปรวมร่างใหม่ที่จุดอื่น พลางพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “เป็นอย่างไรบ้าง กลัวหรือไม่?”
“มันเป็นคาถาแปลก ๆ ของราชาหมื่นหน้าจริง ๆ” เมื่อเห็นเช่นนี้ ลู่เฉินก็พึมพำกับตัวเอง
ทั้งสามคนไม่รู้ว่าลู่เฉินพึมพำอันใด แต่ลู่เฉินเคยพบราชาหมื่นหน้ามาก่อน ทว่าตอนนั้นเขาขังอีกฝ่ายไว้ด้วยกำลังที่แข็งแกร่ง และตอนนี้พลังของเขายังไม่ได้ฟื้นตัวมากนัก
ลู่เฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหยิบไข่มุกหลอมปราณออกมา
ในเวลาเดียวกัน หลังจากเปลี่ยนค่ายกลโดยรอบเล็กน้อยและรวบรวมพลังปราณโดยรอบทั้งหมดลงในลูกปัดนี้ ทำให้มันไร้ซึ่งร่องรอยของพลังปราณหลงเหลือในค่ายกลแห่งนี้ ทั้งสามคนพลันตกใจ “เจ้ากำลังทำอันใด?”
“คาถาของเจ้าจำเป็นต้องใช้พลังปราณมหาศาล แต่ถ้าพวกเจ้าไม่อาจฟื้นตัวในเวลาอันสั้น พวกเจ้าก็จะพ่ายแพ้ต่อตนเอง!” ลู่เฉินมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสามพลันตกใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“ข้ารู้จักผู้คิดค้นคาถาของเจ้า!” ชายหนุ่มตอบ แต่พวกเขาทั้งสามไม่เชื่อ และลู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงราชาหมื่นหน้าผู้นั้น
ราชาหมื่นหน้าผู้นี้เป็นปรมาจารย์แห่งการปลอมตัว ครั้งหนึ่งลู่เฉินเคยจับอีกฝ่ายได้ และให้อีกฝ่ายเข้าร่วมในกองกำลังของเขา แต่อีกฝ่ายปฏิเสธและเลือกที่จะซ่อนตัวจากโลกภายนอก อีกทั้งยังเอ่ยคำทำนายก่อนที่จะจากไป
ลู่เฉินไม่ได้จริงจังกับมันในคราแรก แต่ตอนนี้เมื่อเห็นคาถานี้อีกครั้ง มันก็ทำให้ชายหนุ่มพลันนึกถึงคำทำนายนั้นทันที
เพราะคำทำนายนี้กล่าวว่าหลังจากนี้แสนปี มหาทวีปจิ่วโหยวจะเปลี่ยนไป และแม้แต่วังเหมันต์สงัดก็จะปรากฏขึ้นอีกครั้ง
หนึ่งแสนปีต่อมาก็คือตอนนี้
นี่คือสาเหตุที่ลู่เฉินตกใจ
แต่ทั้งสามคนไม่รู้ และคิดว่าลู่เฉินกำลังพูดเรื่องไร้สาระอยู่ พวกเขาทั้งสามจึงไม่สนใจมากนัก เพียงแค่คิดว่าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไรเท่านั้น
ชายหนุ่มคืนสติกลับมาและมองไปที่พวกเขา “พวกเจ้าออกไปไม่ได้”
ทั้งสามคนไม่ยินยอม แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็หาทางออกไปไม่ได้ ในที่สุดไอปราณก็ไม่สามารถพยุงพวกเขาได้อีกต่อไป พวกเขาทั้งสามจึงแยกร่างกันและกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้ง ลู่เฉินยิ้มให้พวกเขาพลางเอ่ยว่า “ถ้าไม่อยากตาย ก็ยอมแพ้เสีย”
“เจ้า เจ้าต้องการอันใด?” คนหนึ่งเอ่ยตะกุกตะกัก ในขณะที่อีกสองคนก็มองลู่เฉินอย่างประหลาดใจ
“ยอมจำนนต่อข้า และพาข้าไปที่พระราชวังไร้หน้า!” ลู่เฉินจ้องมองคนทั้งสาม ส่วนสามคนนั้นก็พูดพร้อมกันทันทีว่า “ไม่!”
“เพราะเหตุใด?”
“ผู้ใดก็ตามที่กล้าพาคนไปยังพระราชวังไร้หน้าจะถือเป็นโทษร้ายแรง ไม่เพียงแต่เจ้าจะตายโดยไม่เหลือร่างกายเท่านั้น ทว่าพวกเราทั้งหมดจะต้องตายไปด้วย!” คนหนึ่งพูดอย่างกังวล ขณะที่อีกสองคนแสดงออกว่าพวกเขาจะไม่มีทางพาลู่เฉินไปที่นั่น
แต่ลู่เฉินกลับเย้ยหยันว่า “พวกเจ้าไร้ทางเลือก!”
ทั้งสามคิดว่าพวกเขายังสามารถต่อสู้ได้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ถูกลู่เฉินกำราบ หลังจากที่ลู่เฉินได้สลักอักขระยันต์หุ่นเชิดแล้ว ก็พาพวกเขาเข้าไปใน ‘ประตูไร้สิ่งสรรพ’ และทำลายค่ายกลโดยรอบทันที
หนานเหยาที่อยู่ในจวนหนานลัวถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากที่เห็นลู่เฉินกลับมา “อาจารย์ ท่านน่ากลัวจริง ๆ”
หนานลัวรู้สึกสงสัย “แล้วสามคนนั้น?”
“จัดการแล้ว!” ลู่เฉินตอบ หนานลัวจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางเอ่ยว่า “ข้าจะพาทหารยามเกราะดำไปที่จวนขององค์ชายรองเดี๋ยวนี้!”
ลู่เฉินรู้สึกงงงวย “จวนองค์ชายรอง?”
“เมื่อครู่นี้ ข้าได้รายงานต่อองค์จักรพรรดิแล้ว และพระองค์รับสั่งให้ข้านำคนไปจับกุมองค์ชายรองที่จวน” หนานลัวตอบ
ลู่เฉินพยักหน้ารับพลางเอ่ยว่า “ตกลง ไปกันเถอะ”
หลังจากพูดจบ ลู่เฉินก็ปลดค่ายกลในจวนหนานลัว แล้วหันไปพูดกับหนานเหยาว่า “ข้าจะไปสักพัก เจ้าไม่ต้องตามข้ามา!”
หนานเหยาตกใจขึ้นมาทันที “อาจารย์ ท่านจะไปที่ใด?”
“ไปหาผู้ที่ต้องการพบตัว!” หลังจากที่ลู่เฉินกล่าวจบ เขาก็ไม่ได้พูดอันใดอีก และออกจากจวนไปทันที
หนานเหยาสับสนเล็กน้อย “อันใดกันที่ทำให้อาจารย์กังวลเช่นนั้น?”
หนานลัวเองก็ไม่อาจทราบได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเรียกหาทหารยามเกราะดำ และพาหนานเหยาไปที่จวนขององค์ชายรองเพื่อบุกค้นไปด้วยกัน
…
เฮยเม่ยอยู่ใกล้กับจวนหนานลัว หลังจากเห็นว่าลู่เฉินและคนอื่น ๆ ต่างก็ไม่มีใครเป็นอันใดสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างมาก นางจึงส่งคนไปตรวจสอบ
หลังจากรู้ว่าองค์ชายรองพ่ายแพ้ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป จากนั้นจึงรีบรุดไปหาพระสนมอู่
หลังจากเห็นเฮยเม่ยปรากฏตัว พระสนมอู่ก็ถามอย่างตื่นเต้นว่า “เป็นอย่างไรบ้าง เรียบร้อยดีหรือไม่?”
“ยังเจ้าค่ะ และ…” สีหน้าของเฮยเม่ยดูย่ำแย่
“แล้วอย่างไรต่อ?” สีหน้าของพระสนมอู่เปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ทันที ในขณะที่เฮยเม่ยมีสีหน้าจริงจัง “องค์ชายรองถูกเปิดโปง แต่หลบหนีไปได้ ส่วนหานลั่วสุ่ยก็แอบหนีไปด้วย ทว่าองค์จักรพรรดิทรงทราบแล้ว พระองค์จึงสั่งให้ผู้อาวุโสนำทหารยามเกราะดำไปจับกุมองค์ชายรองเจ้าค่ะ!”
“อันใดนะ?” พระสนมอู่งุนงง
เฮยเม่ยกังวลขึ้นมา “ไม่รู้ว่าองค์จักรพรรดิจะเสด็จมาหาเราหรือไม่!”
พระสนมอู่ส่ายหัว “บิดาของข้าเป็นผู้อาวุโสแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เมฆาสงัด เขาว่าคงไม่กล้าสร้างปัญหาให้ข้าอย่างโจ่งแจ้ง!”
“แต่องค์ชายรองมาจากสำนักสยบมาร หากองค์จักรพรรดิตำหนิเขาจริง ๆ ข้าเกรงว่าพระองค์คงจะไม่สนแดนศักดิ์สิทธิ์เมฆาสงัด” เฮยเม่ยกังวล พระสนมอู่กำลังจะพูดอันใดบางอย่าง ทว่าเซวียจินพลันเข้ามารายงานว่า “พระสนมอู่ องค์จักรพรรดิเชิญท่านไปสนทนาด้วย!”
สีหน้าของเฮยเม่ยเปลี่ยนไปอย่างมาก ขณะที่พระสนมอู่พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “มาเถิด ข้าก็อยากจะรู้ว่าองค์จักรพรรดิต้องการทำอันใด!”