ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 291 ความสามารถแค่นี้ คิดว่าข้าจะหลงกลหรือ?
บทที่ 291 ความสามารถแค่นี้ คิดว่าข้าจะหลงกลหรือ?
“ยาแปลงมารแห่งสำนักสยบมาร!” หนานลัวเริ่มเผยสีหน้าจริงจัง แต่หนานเหยาเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “สิ่งนั้น…สามารถทำให้ร่างกายล่องหนและผ่านไปได้ทุกที่งั้นหรือ?”
“ใช่!” หนานลัวผงกศีรษะรับ
เรื่องนี้ทำให้หนานเหยาตะโกนขึ้นฟ้าว่า “คนขี้ขลาด!”
“รอก่อนเถิด! ข้าจะแก้แค้นแน่นอน!” หลังจากที่องค์ชายรองกล่าวจบ เขาก็หายวับไปบนท้องฟ้า ทว่าคนอื่น ๆ ที่ติดอยู่ในค่ายกลนี้หาได้มีช่วงเวลาที่น่าอภิรมย์ไม่ โดยเฉพาะวังเหมันต์สงัด แดนศักดิ์สิทธิ์เมฆาสงัด รวมไปถึงเหล่าคนขององค์ชายรองต่างก็ล้มลงทีละคน
แต่มีคนผู้หนึ่งที่ซ่อนตัวหัวซุกหัวซุนไปทุกมุม คิดว่าหากทำเช่นนี้ตนจะหลีกเลี่ยงค่ายกลได้ ดังนั้นเขาจึงซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของจวนหนานลัว พลางเอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “ที่นี่ไม่น่าจะหาตัวข้าได้แล้วกระมัง”
แต่ลู่เฉินและหนานเหยากลับมาที่มุมนั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นชายหนุ่มก็จ้องมองไปที่กำแพง “นี่ถือเป็นทักษะประเภทใดกัน? ถึงกับสามารถซ่อนอยู่บนกำแพงได้?”
คนผู้นั้นเริ่มหวาดผวา ก่อนจะปรากฏตัวขึ้น
คนผู้นี้ก็คือหานลั่วสุ่ยนั่นเอง
หานลั่วสุ่ยถูกทรมานอยู่ในค่ายกล ผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง พลางพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ตราบใดที่เจ้าไม่ฆ่าข้า ข้า… ข้าจะทำทุกอย่างตามที่เจ้าบอก!”
หนานเหยาที่อยู่ข้าง ๆ พลันหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนี้ “ไม่ใช่ว่าเจ้าเก่งกล้ามากนักหรือ?”
หานลั่วสุ่ยรู้ว่าเขาไม่สามารถหลบหนีไปได้ และหากต้องการมีชีวิตรอด เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับอย่างขี้ขลาด ดังนั้นเขาจึงพูดอย่างกระวนกระวายว่า “ใช่ พระสนมอู่เป็นคนสั่งให้ข้าทำ!”
“เช่นนั้นเจ้าก็เตรียมตัวตายให้ดี!” หนานเหยาหัวเราะเยาะ ส่วนหานลั่วสุ่ยก็พูดด้วยความตื่นตระหนก “ข้า ข้ายอมรับผิดแล้วจริง ๆ!”
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเปิด ‘ประตูไร้สิ่งสรรพ’ และดูดหานลั่วสุ่ยผู้นี้เข้าไป
หลังจากเห็นประตูนี้แล้ว หนานเหยาก็ถามว่า “อาจารย์ ท่านจะทำอย่างไรกับพวกเขา?”
“ข้าย่อมมีแผนของข้า!” หลังจากที่ลู่เฉินพูดจบ เขาก็บอกให้หนานเหยารออยู่ด้านข้าง ขณะเดินเข้าไปใน ‘ประตูไร้สิ่งสรรพ’
ตอนนี้นอกจากหานลั่วสุ่ยแล้ว ด้านในยังมีโหย่วหลงด้วย ซึ่งโหย่วหลงก็เข้ามารออยู่ระยะหนึ่งแล้ว และเขาได้ลองหาวิธีการต่าง ๆ แต่ไม่สามารถสื่อสารกับโลกภายนอกได้ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกประหม่ามากกว่าหานลั่วสุ่ยเสียอีก
“สองทางเลือก ยอมจำนนหรือตาย เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง” ลู่เฉินมองทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มเย็น
หานลั่วสุ่ยยังคงเหมือนเดิม เขาเอ่ยตอบทันทีว่า “ข้า ข้ายอมจำนน!”
สีหน้าของโหย่วหลงเปลี่ยนไปหลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขากำลังสับสนมาก ลู่เฉินทอดสายตามองไปพลางยกยิ้มให้เขา “อันใดเล่า? อยากได้ทางที่สามอย่างนั้นหรือ?”
โหย่วหลงขมวดคิ้ว “หากมีทางที่สาม ข้าคงเลือกไปนานแล้ว!”
“อ้อ?” ลู่เฉินมองโหย่วหลงด้วยรอยยิ้ม ส่วนโหย่วหลงได้แต่กัดฟัน “ตราบใดที่เจ้าไม่ฆ่าข้า ข้าก็สามารถติดตามเจ้าได้เหมือนเกาจี้และเชียนหลิง”
เมื่อเห็นโหย่วหลงยอมประนีประนอม ลู่เฉินก็สลักอักขระยันต์หุ่นเชิดให้เขาทันที
สีหน้าของโหย่วหลงเปลี่ยนไปหลังจากเห็นอักขระเหล่านั้น “เจ้าใช้อักขระยันต์หุ่นเชิดควบคุมพวกมันจริง ๆ!”
“รู้แล้วก็ดี!”
โหย่วหลงไร้ซึ่งถ้อยคำในทันที ในขณะที่หานลั่วสุ่ยเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก “ข้า ข้าเองก็เต็มใจให้เจ้าควบคุมเช่นกัน!”
ลู่เฉินยิ้มและไม่พูดอันใด แต่ยังคงสลักอักขระยันต์หุ่นเชิดให้หานลั่วสุ่ย
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เขาก็มอบหมายงานอื่นให้กับหานลั่วสุ่ย ซึ่งก็คือให้เขากลับไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์เมฆาสงัด ร่วมมือกับใครบางคนเพื่อกำจัดหนานกงมู่
เมื่อได้ยินนามหนานกงมู่ สีหน้าของหานลั่วสุ่ยพลันเปลี่ยนไปอย่างมาก “หนานกงมู่หรือ?”
“ใช่!”
“สตรีนางนั้นรับมือยากยิ่ง!” หานลั่วสุ่ยพูดด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยว แต่ลู่เฉินถามด้วยความสงสัยว่า “ก็แค่สตรีนางหนึ่ง มีสิ่งใดที่ยากเล่า?”
“นางเป็นที่ชื่นชอบของบุตรศักดิ์สิทธิ์ และนางกำลังฝึกบำเพ็ญอยู่กับบุตรศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใกล้นาง นับประสาอันใดกับการจับตัวนาง!” หานลั่วสุ่ยกล่าวอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลู่เฉินก็ยิ้มออกมา “อย่างไรก็ต้องมีโอกาส!”
“ข้าจะพยายาม” เมื่อเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้า หานลั่วสุ่ยก็พูดอย่างประหม่า
ลู่เฉินมองไปที่โหย่วหลงแล้วเอ่ยว่า “บอกข้ามา นักบุญหญิงแห่งวังเหมันต์สงัดของเจ้าต้องการตามหาสิ่งใดในทิศเหนือของแดนทักษิณา”
โหย่วหลงถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“เป่ยโหว เป็นคนของข้า” ลู่เฉินยิ้ม สีหน้าของโย่วหลงจึงเปลี่ยนไปอย่างมาก “เจ้า…!”
“ทุกการเคลื่อนไหวของเจ้าอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า!” คำพูดของลู่เฉินทำให้โหย่วหลงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเกิดอันใดขึ้น เขาจึงพูดว่า “ทางตอนเหนือมีสุสานอยู่ และนักบุญหญิงได้ยินเกี่ยวกับสุสานนี้มาเล็กน้อยเท่านั้น”
“ได้ยินอันใด?”
“บุคคลจากวังเหมันต์สงัดเมื่อแสนปีก่อน คนผู้นี้กุมความลับมากมายของวังเหมันต์สงัด ดังนั้นนางจึงต้องการตามหาคนผู้นั้น และดูว่าเขาได้ทิ้งสิ่งสำคัญไว้หรือไม่” โหย่วหลงอธิบาย
“หนึ่งแสนปีก่อน คนจากวังเหมันต์สงัดหรือ?” ลู่เฉินสงสัย
“ใช่” โหย่วหลงขานรับ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ถามต่อไปว่า “นักบุญหญิงของพวกเจ้า ตอนนี้ฝึกถึงขั้นใดแล้ว?”
“ข้า ข้าไม่รู้!” โหย่วหลงพูดอย่างประหม่า และลู่เฉินก็มองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ข้ามีงานให้เจ้า!”
“ว่ามา!” โหย่วหลงพูดอย่างกังวลใจ
“ค้นหาว่าร่างที่แท้จริงของนางซ่อนอยู่ที่ไหน!”
หย่วหลงเริ่มตกใจ “ร่างที่แท้จริงของนาง?”
“ข้าเคยสนทนากับคนในวังเหมันต์สงัดของเจ้าแล้ว เขากล่าวว่านางอยู่ในวังหิมะ แต่คนอื่นไม่เคยไปที่นั่น แต่เจ้าดูเหมือนจะเคยเข้าไป!” ลู่เฉินจ้องไปที่โหย่วหลง
โหย่วหลงพูดอย่างหมดหนทางว่า “ข้าเคยเข้าไป แต่ที่นั่น… ข้าได้ยินเพียงเสียงของนาง แต่ข้าไม่เคยเห็นกายเนื้อของนางเลย!”
“ดังนั้น งานนี้จึงมอบให้เจ้า”
“ข้าจะลองดู!” โหย่วหลงไม่รู้ว่าเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ตอบตกลงไปเสียก่อน ส่วนลู่เฉินเพียงยกยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ย่อมได้ ตามนี้ไปก่อน!”
เมื่อชายหนุ่มเดินออกมาจาก ‘ประตูไร้สิ่งสรรพ’ หนานเหยาก็เอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “อาจารย์ เสร็จแล้วหรือ?”
“อืม แต่ว่าต้องประกาศให้ภายนอกได้รู้ว่าพวกมันหนีไปแล้ว!” ลู่เฉินรู้ว่าพวกมันยังมีประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถบอกให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้ว่าพวกมันถูกเขาควบคุมแล้ว
หนานเหยาพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
ส่วนลู่เฉินนั้น เขาออกจากค่ายกลไปก่อน แล้วจึงปล่อยพวกเขาไป จากนั้นจึงกลับไปที่จวนของหนานลัว
ในยามนี้หนานลัว บ่าวรับใช้ รวมไปถึงผู้อารักขาบางคนกำลังเก็บศพอยู่ที่นั่น
เห็นได้ชัดว่าหนานเหยาบอกหนานลัวถึงสิ่งที่ลู่เฉินต้องการจะสื่อแล้ว และหลังจากได้ยินว่าโหย่วหลงและหานลั่วสุ่ยหนีไปแล้ว หนานลัวก็รู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย “ถึงกับปล่อยให้มันหนีไปได้!”
ลู่เฉินมองไปรอบ ๆ “ชายไร้หน้าสามคนนั้นเล่า อยู่ที่ใด?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หนานลัวก็รู้สึกวิงเวียน “หลังจากสามคนนี้เปลี่ยนหน้าไป เราก็ไม่สามารถหาพวกมันพบได้อีก!”
ชายหนุ่มกล่าวต่อไปว่า “ไม่ใช่ว่าพวกเขาหาไม่เจอ แต่พวกมันฆ่าคนของท่าน แล้วพวกเขาก็ปลอมตัวเป็นสามคนนั้น!”
สีหน้าของหนานลัวเปลี่ยนไปอย่างมาก “เจ้าว่าอย่างไรนะ!”
“เดี๋ยวข้าจะไปพบพวกเขา!” หลังจากพูดจบ ลู่เฉินก็เดินไปด้านข้าง มีองครักษ์กลุ่มหนึ่งอยู่ที่นั่น และพวกเขากำลังจัดการกับศพบางส่วน
เมื่อเขาเดินเข้ามา องครักษ์ทุกคนก็แสดงความเคารพต่อลู่เฉินทันที
หนานลัวรู้สึกฉงนใจ “ท่านหมายถึงพวกมันสามคน แฝงตัวในอยู่ในกลุ่มพวกเขาหรือ?”
หนานเหยาเองก็เฝ้าดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน ขณะที่ลู่เฉินมองกลุ่มคนด้วยรอยยิ้ม “เจ้าจะออกมาด้วยตัวเอง หรือว่าจะให้ข้าจับเจ้าทั้งสามคนออกมา”
องครักษ์เหล่านี้ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ดังนั้นแต่ละคนจึงดูสับสนงุนงง
ทว่าในเวลานี้เอง พลันมีหมอกเกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวของลู่เฉิน หลังจากที่ม่านหมอกจางลง ชายหนุ่มก็เห็นตัวเองยืนอยู่ในสวนแห่งหนึ่ง และสวนรอบ ๆ ก็ไร้ซึ่งผู้คน
“เจ้าหนุ่ม เจ้าหลงกลแล้ว!” เสียงหัวเราะดังมาจากรอบข้าง และอีกสองเสียงก็พากันหัวเราะตาม
ลู่เฉินเอ่ยเสียงเรียบ “ก็แค่ค่ายกลลวง เจ้าคิดว่าข้าจะหลงกลหรือ?”
“นี่ไม่ใช่ค่ายกลทั่วไป แต่เป็นค่ายกลที่กระทบจิตสำนึกของเจ้าโดยตรง ทำให้เจ้าไม่สามารถออกไปจากมันได้!”
ลู่เฉินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “พวกเจ้าประเมินข้าต่ำไปจริง ๆ!”
ทั้งสามต่างก็คิดว่าลู่เฉินเพียงแค่พูดเกินจริง ดังนั้นจึงยังคงหัวเราะเยาะต่อไป