ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 290 เตรียมตัวมาหนึ่งวัน เหตุใดจึงปล่อยให้พวกเขาหนีไปเช่นนี้?
- Home
- ตำนานจอมราชันย์อหังการ
- บทที่ 290 เตรียมตัวมาหนึ่งวัน เหตุใดจึงปล่อยให้พวกเขาหนีไปเช่นนี้?
บทที่ 290 เตรียมตัวมาหนึ่งวัน เหตุใดจึงปล่อยให้พวกเขาหนีไปเช่นนี้?
เพียงไม่นาน ภายในจวนหนานลัวก็มืดครึ้ม เสียงสายลมดังสนั่น รวมทั้งยังเกิดสายฟ้าสว่างวาบขึ้นมา
“นี่…” ทุกคนพลันตกตะลึง
บุคคลไร้หน้าทั้งสามตะโกนขึ้นมาว่า “ที่นี่มีค่ายกลสายฟ้า!”
“ระวัง!”
“แย่แล้ว!”
บึ้ม!
เสียงสายฟ้าฟาดดังขึ้น ผู้คนจำนวนมากทั้งองค์ชายรอง และคนของแดนศักดิ์สิทธิ์เมฆาสงัด รวมถึงคนของวังเหมันต์สงัดล้มลงทันที
ถึงแม้จะมีบางคนที่ยังไม่ล้มลงไป แต่ก็คงต่อต้านขัดขืนอยู่
องค์ชายรองตะโกนขึ้นมาว่า “ไป!”
แต่ผู้คนที่วิ่งไปยังประตูใหญ่นั้นกลับพบว่าไม่มีทางออก และบนท้องฟ้ารอบด้านยังเต็มไปด้วยหมอกหนา ทำให้พวกเขาไม่สามารถออกไปได้ ดังนั้นจึงมีคนพูดด้วยความร้อนใจขึ้นมาว่า “องค์ชายรอง ไม่มีทางออก!”
“ว่าอย่างไรนะ?” องค์ชายรองตกตะลึงขึ้นมา ลู่เฉินจึงหัวเราะพลางเอ่ยออกมาว่า “วันนี้ข้าเตรียมตัวมาทั้งวัน เหตุใดจึงจะต้องปล่อยพวกเจ้าให้ออกไปง่าย ๆ กัน?”
คำพูดดังกล่าวทำให้องค์ชายรองบันดาลโทสะ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกข้าจะมา?”
“ข้าย่อมมีวิธีอยู่แล้ว” ลู่เฉินยิ้มหยัน องค์ชายรองจึงรู้สึกไม่พอใจนัก หันไปตะโกนต่อบุคคลไร้หน้าทั้งสาม
“พวกเจ้าสามารถปลอมกายได้ไม่ใช่หรือ?”
คำพูดดังกล่าวราวกับเป็นการเตือนสติคนทั้งสาม
ว่าแล้วทั้งสามก็พุ่งตัวเข้าไปยังเหล่าบรรดาคนรับใช้และผู้อารักขา ก่อนที่ทั้งสามจะปลอมกายเป็นเหมือนคนเหล่านั้น
องค์ชายรองพึงพอใจขึ้นมาทันที “เจ้าหนุ่ม ตอนนี้เจ้าคงไม่รู้แล้วว่าพวกเขาอยู่ที่ใด?”
“พวกเขาอยู่ที่ใดนั้น ข้าไม่สนใจนัก เพียงเจ้าหนีไม่พ้นก็พอ” ลู่เฉินยิ้มพลางมองไปยังองค์ชายรอง ทำให้องค์ชายรองกังวลใจขึ้นมา
หนานเหยาพูดติดตลกออกมาว่า “รอให้จัดการพวกเจ้าเสียก่อน ค่อยกลับไปหาทั้งสามคนนั้นก็ยังได้”
เมื่อองค์ชายรองได้ยินจึงมีสีหน้าไม่ดีนัก เขาเริ่มพูดจาข่มขู่ลู่เฉิน “เจ้าหนุ่ม ข้าคือองค์ชายรอง พวกเจ้าไม่สามารถทำร้ายข้าได้!”
ใครจะคิดว่าลู่เฉินกลับนำแผ่นป้ายชิ้นหนึ่งออกมา “แผ่นป้ายสังหารแดนทักษิณา…”
เหล่าอารักขาและคนรับใช้ที่อยู่ในที่แห่งนี้ต่างก็ตกตะลึงขึ้นมา ส่วนหนานลัวคิดไม่ถึงว่าแผ่นป้ายนี้จะอยู่ในมือของลู่เฉิน จึงแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา
ส่วนองค์ชายรองนั้นกังวลใจขึ้นมา “ข้า ข้าคือคนของแดนศักดิ์สิทธิ์สยบมาร! และอาจารย์ของข้า คือผู้อาวุโสแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สยบมาร!”
ลู่เฉินยิ้มพลางมองไปยังองค์ชายรอง “แดนศักดิ์สิทธิ์เมฆาสงัด ข้ายังไม่สน แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะสนแดนศักดิ์สิทธิ์สยบมารอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้า!” องค์ชายรองคิดไม่ถึงว่าลู่เฉินผู้นี้ จะไม่สนใจต่อแดนศักดิ์สิทธิ์สยบมาร
ลู่เฉินคลี่ยิ้มออกมา “ยังมีเวลาว่างมาต่อรองกับข้าเช่นนี้ สู้เอาเวลากลับไปคิดว่าจะต่อต้านค่ายกลนี้เช่นไรดีกว่า”
องค์ชายรองกระวนกระวายใจขึ้นมา จึงหันไปตะโกนสั่งคนทั้งสามที่แฝงกายอยู่ท่ามกลางผู้คน “พวกเจ้ามีความรู้เรื่องค่ายกลไม่ใช่หรือ? รีบทำลายค่ายกลนี้ให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
ทั้งสามต่างก็ต้องการเช่นนั้น แต่การจะทำลายค่ายกลนั้นจำเป็นต้องใช้เวลา ยิ่งเจอกับค่ายกลที่แปลกประหลาดของลู่เฉิน มันก็ยิ่งทำให้ทั้งสามไม่รู้ว่าควรจะเริ่มทำลายจากที่ใด ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงซ่อนตัวเองอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน แสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น
องค์ชายรองโมโหจนก่นด่าออกมา “เจ้า พวกเจ้า!”
หนานเหยายิ้มออกมา “องค์ชายรอง อย่าเรียกต่อไปเลย มันไม่มีประโยชน์!”
“เจ้า พวกเจ้าอย่าดีใจเกินไปนัก!” องค์ชายรองโมโหจนกัดฟันกรอด
จากนั้นองค์ชายรองจึงมองไปยังโหย่วหลงและหานลั่วสุ่ย “พวกเจ้ามีวิธีใดหรือไม่?”
สมบัติวิญญาณของหานลั่วสุ่ยถูกลู่เฉินนำไปแล้ว ทำให้เขาไม่สามารถเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายได้ เขาจึงมีสีหน้าลำบากใจ “ไม่ใช่ว่าเจ้าขอให้พวกข้ามาอย่างนั้นหรือ? เหตุใดจึงมาถามพวกข้า!”
องค์ชายรองก็ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ ดังนั้นจึงมองไปยังโหย่วหลง “เจ้าล่ะ?”
โหย่วหลงขมวดคิ้วมุ่น “เคล็ดวิชาเหมันต์อำพรางของข้าถูกเขามองออก ดังนั้น…”
“เจ้า พวกเจ้า!” องค์ชายรองคาดไม่ถึงว่าเขาพาผู้คนมามากมายเช่นนี้ แต่กลับไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะลู่เฉินได้ โหย่วหลงนั้นก็ไม่คิดจะอยากตายอยู่ที่นี่ ดังนั้นเขาจึงตะโกนไปยังคนของวังเหมันต์สงัดว่า “แสดงเคล็ดวิชาเหมันต์สงัด!”
คนของวังเหมันต์สงัดจึงมีสีหน้าเปลี่ยนไป
“หากไม่อยากตาย จงทำเดี๋ยวนี้!” โหย่วหลงเอ่ยเพียงสั้น ๆ ทำให้คนของวังเหมันต์สงัดต่างก็ต้องยอมทำตาม
คนของวังเหมันต์สงัดค่อย ๆ กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งทีละคน จากนั้นจึงกลายเป็นกระแสอากาศและค่อย ๆ จางหายไป แต่กลิ่นอายบนร่างของโหย่วหลงนั้นกลับยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
หนานเหยารู้สึกแปลกใจ “อาจารย์ เขาเป็นอันใด?”
“เคล็ดวิชาเหมันต์สงัด สามารถดูดซึมซับพลังของผู้อื่นมายังร่างกายของตนได้ และสามารถระเบิดพลังออกมาได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่หลังจากนั้น ผู้ที่มอบพลังให้จะกลายเป็นคนอ่อนแอ”
“วังเหมันต์สงัดนี้ เหตุใดจึงมีเคล็ดวิชาลึกลับแปลก ๆ มากมายเช่นนี้!” หนานเหยาสงสัย ลู่เฉินจึงหวนคิดถึงบางอย่างขึ้นมา “วังเหมันต์สงัดมีเคล็ดวิชาลึกลับมากนัก บางทีอาจจะมาจากของสิ่งนั้น”
“ของสิ่งใดกัน?” หนานเหยาแปลกใจ แต่ลู่เฉินไม่ได้พูดอันใด กลับดึงสติกลับมา “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว”
หนานเหยารู้สึกว่าอาจารย์ของตนนั้นราวกับกำลังปิดบังอันใดบางอย่างอยู่ แต่เมื่อลู่เฉินดึงสติกลับมา สายตาทั้งสองกลับจ้องไปยังโหย่วหลงพลางเผยยิ้ม “เจ้าคิดว่าเช่นนี้จะสามารถเอาชนะข้าได้อย่างนั้นหรือ?”
“ไร้สาระ!” โหย่วหลงตะโกนขึ้นมา มวลพลังดูแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ลู่เฉินนำไข่มุกหลอมปราณออกมาพลางเอ่ยว่า “ของสิ่งนี้ น่าจะสามารถทำให้เจ้าปวดศีรษะได้!”
เมื่อโหย่วหลงมองไปยังไข่มุกหลอมปราณ เขากลับตะโกนขึ้นมา “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าข้า!”
ลู่เฉินยิ้มเย็นชา จากนั้นจึงเริ่มใช้ไข่มุกนี้ ส่วนหานลั่วสุ่ยนั้นคิดอยากจะควบคุมมัน แต่กลับพบว่ามันไม่ฟังการควบคุมของเขา ทำให้เขาทำได้เพียงก่นด่าในใจว่า ‘เจ้าหนุ่มผู้นี้สมควรตาย!’
เมื่อโหย่วหลงเห็นว่าตนรวบรวมพลังได้มากพอแล้ว จึงกางมือทั้งสองออก จากนั้นมวลอากาศหนาวมากมายกลายเป็นเงากระบี่ขนาดใหญ่หมายจะพุ่งไปยังลู่เฉิน แต่ลู่เฉินกลับเผยรอยยิ้มประหลาดออกมา และบนร่างกายของเขายังปรากฏกำแพงเก้าสิบเก้าชั้น
แต่ครั้งนี้ ด้วยไข่มุกหลอมปราณ ลู่เฉินจึงทำให้กำแพงนี้น่ากลัวมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเมื่อกระบี่ขนาดใหญ่นั้นพุ่งโจมตีมายังลู่เฉิน กำแพงของลู่เฉินก็ถูกทำลายไปเพียงหกสิบกว่าชั้นเท่านั้น
นี่จึงทำให้องค์ชายรองและคนอื่น ๆ ต่างสับสน เหล่าคนรับใช้และอารักขาต่างก็ตกตะลึงขึ้นมา
โหย่วหลงไม่พอใจจึงลองอีกครั้ง แต่ลู่เฉินกลับนำกระบี่สยบเก้าทิศออกมา จากนั้นจึงใช้ไข่มุกหลอมปราณผนวกเข้ากับพลังของตนเอง ทำให้เมื่อปราณกระบี่พุ่งออกไป โหย่วหลงจึงกระเด็นออกจากตรงนั้นทันที
จากนั้นพลังของโหย่วหลงและคนอื่น ๆ ก็ค่อย ๆ กระเด็นออกไป และแต่ละคนพลันหมดสติไปทีละคน
โหย่วหลงหวาดกลัวขึ้นมา “เจ้า!”
ลู่เฉินยิ้มพลางมองไปยังโหย่วหลง “ยังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่?”
โหย่วหลงมีสีหน้าไม่ดีนัก ในขณะที่ลู่เฉินเผยรอยยิ้มออกมา “ในเมื่อไม่มีแล้ว เช่นนั้นก็จะจัดการเจ้าเสียก่อน!”
เพียงไม่นาน สายฟ้าก็ฟาดลงมายังร่างของโหย่วหลง โหย่วหลงเจ็บปวดจนกรีดร้องออกมา จู่ ๆ ลู่เฉินก็มาอยู่ด้านหลังเขา ก่อนจะใช้ประตูไร้สิ่งสรรพเพื่อดึงเขาเข้ามา ทำให้องค์ชายรองและคนอื่น ๆ ต่างหวาดกลัวขึ้นมา
โดยเฉพาะองค์ชายรองที่ยังหันไปเอ่ยถามหานลั่วสุ่ยว่า “ไม่มีวิธีอื่นจริง ๆ แล้วหรือ?”
“จะมีได้อย่างไรกัน!” หานลั่วสุ่ยตอบด้วยความกังวล
ลู่เฉินเผยรอยยิ้มออกมา “ถึงตาพวกเจ้าแล้ว!”
จากนั้นสายฟ้าก็พลันปรากฏขึ้น ในขณะที่องค์ชายรองบันดาลโทสะขึ้นมา สุดท้ายต้องนำเม็ดยาออกมาก่อนจะกลืนมันลงไป จากนั้นทั้งร่างก็กลายเป็นเพียงร่างโปร่งแสงและหายไปกลางอากาศ
หนานเหยาถามออกมาว่า “เขากินสิ่งใดเข้าไป?”
หนานลัวขมวดคิ้วมุ่น “คงไม่ใช่เม็ดยานั่นหรอกนะ?”
หนานเหยาถึงกับสงสัย “เม็ดยาอันใดกัน?”