ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 288 ปกปิดเช่นนั้นมีประโยชน์อันใด อีกเพียงไม่นานก็จะถูกเปิดเผยตัวตน!
- Home
- ตำนานจอมราชันย์อหังการ
- บทที่ 288 ปกปิดเช่นนั้นมีประโยชน์อันใด อีกเพียงไม่นานก็จะถูกเปิดเผยตัวตน!
บทที่ 288 ปกปิดเช่นนั้นมีประโยชน์อันใด อีกเพียงไม่นานก็จะถูกเปิดเผยตัวตน!
เฮยเม่ยอดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนหนานลัว
เมื่อพระสนมอู่ได้ฟังก็รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที “ว่าอย่างไรนะ?”
“เจ้าหนุ่มผู้นี้ ช่างแปลกประหลาดนัก” เมื่อเฮยเม่ยหวนคิดเรื่องที่ลู่เฉินนำสมบัติวิญญาณของหานลั่วสุ่ยไปก็มีสีหน้าสงสัยขึ้นมา แต่พระสนมอู่ไม่สนใจ ยามนี้นางกำลังรู้สึกโกรธแค้น “ข้าไม่สนว่าเขาจะใช้วิธีใด ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจัดการเขาให้ข้า!”
“ข้าได้พูดกับเขาไปแล้ว” เฮยเม่ยตอบกลับ
พระสนมอู่โกรธจนเดินวนไปวนมา “ไป! ไปคอยจับตาดูจวนหนานลัวให้ข้า หากเจ้ามีข่าวคราวว่าเจ้าหนุ่มนั่นถูกนำตัวไป จงรีบมารายงานทันที!”
“เจ้าค่ะ!” เฮยเม่ยตอบรับแล้วจากไปทันที
พระสนมอู่ยังคงไม่สบายใจนัก นางจึงเดินวนไปวนมา ส่วนองค์ชายเจ็ดที่รักษาอาการบาดเจ็บอยู่นั้นยิ่งรู้สึกแค้นใจ “เสด็จแม่ หรือว่าจะไม่มีวิธีจัดการเจ้าหนุ่มผู้นี้ได้?”
“คนของแดนศักดิ์สิทธิ์จะต้องมีวิธีแน่นอน” พระสนมอู่ฝากความหวังไว้ที่พวกเขา
ทว่าองค์ชายเจ็ดยังคงกังวลใจ “เพียงผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐาน เหตุใดจึงจัดการยากเย็นเพียงนี้?”
พระสนมอู่เองก็อยากรู้เช่นกัน นางยังคงพึมพำออกมาว่า “ไม่ว่าขั้นพลังใดก็จะต้องจัดการเขาให้ได้!”
…
ขณะนั้นเอง ลู่เฉินยังคงเตรียมตัวอยู่ ส่วนองค์ชายรองและคนอื่น ๆ ที่อยู่ภายในห้องลับก็ได้พบกับโหย่วหลงรวมทั้งหานลั่วสุ่ย
เมื่อเห็นว่าเป็นองค์ชายรองจริง ๆ หานลั่วสุ่ยจึงรู้สึกวางใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่เขายังอดถามขึ้นมาไม่ได้ “ไม่ทราบว่าองค์ชายรอง ได้เตรียมแผนการอันใดไว้หรือ?”
องค์ชายรองปรบมือ จากนั้นชายชุดดำสามคนจึงเดินออกมาจากด้านหลัง พวกเขาสวมหน้ากากหนังที่ปิดบังใบหน้าไว้ ทำให้คนทั้งสามดูราวกับมีชั้นผิวหนังบนใบหน้าอีกชั้น
“นี่คือ?” หานลั่วสุ่ยงุนงง
“คนเหล่านี้คือยอดฝีมือด้านค่ายกลที่ข้าเชิญมา หากมีพวกเขาอยู่ มันก็มากพอที่จะจัดการเจ้าหนุ่มนั่น” องค์ชายรองพูดด้วยความมั่นใจ แต่หานลั่วสุ่ยเอ่ยถามอย่างสงสัย “ยอดฝีมือด้านค่ายกล?”
องค์ชายรองหัวเราะและเอ่ยว่า “ปรมาจารย์ค่ายกลขั้นก่อกำเนิดแห่งจวนตะวันคล้อย สามพี่น้องที่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่สอง บุคคลไร้หน้า! นี่แหละคือพวกเขา!”
หานลั่วสุ่ยเบิกตากว้าง “บุคคลไร้หน้า ก็คือพวกเขา?”
“ใช่ พวกเขามาจากพระราชวังไร้หน้า!” องค์ชายรองพูดด้วยความพึงพอใจ หานลั่วสุ่ยรู้ว่าพระราชวังไร้หน้านั้นคือสำนักที่อยู่อย่างสันโดนสำนักหนึ่ง เพียงแค่เขายังมีข้อสงสัยบางอย่าง “ได้ยินมาว่าคนของพระราชวังไร้หน้านั้นเชี่ยวชาญเรื่องการปลอมตัว เหตุใดจึงกลายเป็นเชี่ยวชาญเรื่องค่ายกลเสียแล้ว?”
“ค่ายกลคือจุดแข็งของพวกเขา ส่วนการปลอมตัวนั้นเป็นผลจากค่ายกลอีกที ที่ทำให้สามารถเปลี่ยนใบหน้าได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นจึงทำให้ผู้คนต่างคิดว่าพวกเขาเชี่ยวชาญเรื่องการปลอมตัว” องค์ชายรองอธิบายออกมา
หานลั่วสุ่ยราวกับเข้าใจทุกอย่าง เขาจึงถามขึ้นมาว่า “เช่นนั้น จะลงมือเมื่อไหร่กัน?”
“คืนนี้!”
หานลั่วสุ่ยพูดอย่างมีความหวังว่า “เมื่อถึงครานั้น ต้องรอดูพวกเขาเสียแล้ว”
“วางใจเถิด คืนนี้ต้องสังหารเจ้าหนุ่มนั่นได้เป็นแน่!” องค์ชายรองพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้น จึงให้ทุกคนไปเตรียมตัว โหย่วหลงจึงกลับเข้าไปภายในห้อง และนำม้วนตำราออกมา จากนั้นจึงส่งพลังเข้าไป บนม้วนตำรานี้จึงเกิดกลุ่มหมอกขึ้นมา
ขณะเดียวกัน บนกลุ่มหมอกนี้ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
น้ำเสียงนี้ก็คือนักบุญหญิงผู้นั้น
“เป็นอย่างไร? จัดการเรียบร้อยหรือไม่?” นักบุญหญิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น โหย่วหลงจึงตอบกลับทันที “เตรียมการเรียบร้อยแล้ว คาดว่าคืนนี้จะเรียบร้อย!”
“ข้าไม่ต้องการการคาดเดา ข้าต้องการคำว่าต้อง!” นักบุญหญิงตอบกลับ
โหย่วหลงจึงกล่าวว่า “คืนนี้ต้องจับเขาได้แน่นอน!”
“ดี หลังจากจับเขาแล้ว รีบส่งกลับไปยังวังเหมันต์สงัดทันที ข้าจะรอดูว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้คือใครกัน!” นักบุญหญิงพูดด้วยความกระตือรือร้น
“ขอรับ!”
ทันใดนั้น นักบุญหญิงก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “มีข่าวคราวของคุณชายเป่ยโหวหรือไม่?”
“เขาได้นำแผนที่กลับไปแล้ว คาดว่าจะมีข่าวคราวในเร็ว ๆ นี้” โหย่วหลงตอบ
“รอจัดการเจ้าหนุ่มนั่น จากนั้นค่อยตามเรื่องคุณชายเป่ยโหวให้ข้าอย่างใกล้ชิด!”
“ขอรับ!”
หลังจากนั้น หมอกหนานก็ค่อย ๆ จางหายไป และม้วนตำรานี้จึงกลายเป็นเพียงม้วนตำราธรรมดาเท่านั้น
โหย่วหลงเก็บม้วนตำราเข้ามาพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินออกไป
…
ฟ้าใกล้จะมืดลงแล้ว จวนหนานลัวก็เป็นดังเช่นปกติ บรรดาคนใช้และเหล่าอารักขานั้นไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ดังนั้นคนเหล่านี้จึงทำงานกันไปตามปกติ
อย่างไรก็ตาม ด้านนอกของจวนหนานลัวนั้นมีผู้คนยืนซุ่มอยู่เต็มไปหมด โดยเฉพาะองค์ชายรองนั้น เพื่อปิดบังผู้อื่น เขาจึงสวมหน้ากากเหล็กสีดำปิดบังใบหน้า ขณะเดียวกัน กลิ่นอายบนร่างกายก็ ‘หายไป’ ทำให้คนอื่น ๆ ต่างก็มองเขาได้ไม่ชัดเจนนัก
องค์ชายรองมองไปยังบุคคลไร้หน้าทั้งสามแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าจงสร้างค่ายกลขึ้นมาเสียก่อน ล้อมจวนหนานลัวไว้ และทำให้คนนอกไม่สามารถสัมผัสภายในนี้ได้”
ทั้งสามขานรับ จากนั้นต่างก็นำธงทั้งสามผืนออกมา ก่อนจะนำไปเสียบไว้ยังทั้งสามสถานที่ที่ต่างกันรอบจวนหนานลัว จากนั้นท้องฟ้ารอบ ๆ จวนหนานลัวพลันเกิดม่านขนาดใหญ่ขึ้นมา และม่านนี้ทำให้คนภายนอกไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในจวนหนานลัวได้
“เรียบร้อย” คนหนึ่งรายงานขึ้นมา องค์ชายรองจึงตอบกลับด้วยความพอใจ “ไป!”
หลังจากนั้น กลุ่มคนจำนวนมากก็เข้ามาทางประตูใหญ่ของจวนหนานลัว ทำให้เหล่าอารักขาบริเวณประตูต่างตกใจ ครั้นคิดจะตะโกนร้องเรียกก็กลับถูกคนเหล่านั้นจัดการเสียก่อน
เมื่อบรรดาคนรับใช้และเหล่าอารักขาในจวนหนานลัวรู้เรื่องต่างก็รีบตะโกนร้องออกมา
แต่เสียงเหล่านี้กลับว่างเปล่า ไม่สามารถดังออกไปภายนอกได้ ดังนั้นผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนถนนใหญ่ด้านนอกต่างก็ไม่สามารถรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายจวนนี้ได้
ไม่เพียงเท่านั้น คนรับใช้และอารักขาบางคนคิดอยากหนีออกไปจากจวนแห่งนี้ แต่รอบ ๆ นั้นมีเขตแดนป้องกัน ทำให้พวกเขาไม่สามารถออกไปได้ และแม้พวกเขาจะตะโกนร้องเรียกเพียงใดก็ไม่เกิดผล
“หากไม่อยากตาย ทุกคนจงยืนนิ่ง ๆ!” เสียงของคนผู้หนึ่งตะโกนขึ้น ทำให้บรรดาคนใช้และเหล่าอารักขาหวาดกลัวขึ้นมา พวกเขาต่างก็ยืนนิ่งตามคำสั่ง จากนั้นจึงจ้องมองไปยังคนเหล่านั้นด้วยสายตาหวาดกลัว
“ค้นหา!” เมื่อองค์ชายรองมองไม่เห็นลู่เฉินและคนอื่น ๆ จึงรีบออกคำสั่งให้ทุกคนออกค้นหา และในขณะนั้นเอง เงาของคนสามคนก็ปรากฏขึ้น
“ไม่ต้องค้นหาแล้ว” หนานเหยาจ้องไปยังองค์ชายรองที่สวมหน้ากากอยู่
องค์ชายรองหลบซ่อนกลิ่นอายของตนเองและยังคงสวมหน้ากากปิดบังอยู่ ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้จักหนานเหยาและคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ตรงนั้น แต่หนานลัวกลับเอ่ยขึ้นมาว่า “องค์ชายรอง ถอดหน้ากากออกเสียเถิด”
องค์ชายรองพลันตกตะลึงขึ้นมา ในขณะที่บรรดาคนรับใช้และเหล่าอารักขาพลันสับสน เพราะพวกเขาต่างก็คิดไม่ถึงว่าองค์ชายรองจะนำผู้คนมาก่อความวุ่นวายถึงที่นี่ได้
องค์ชายรองลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงค่อย ๆ ปลดหน้ากากออก จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มเย็นชา “ท่านเจ้ากรมช่างมีสายตาที่เฉียบแหลมนัก”
“ไม่ใช่ว่าข้ามีสายตาที่เฉียบแหลม แต่เป็นเพราะพวกเรารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าจะมา ดังนั้นจึงเฝ้ารออยู่ที่นี่นานแล้ว!” หนานลัวตอบ องค์ชายรองจึงย้อนถามด้วยความสงสัย “เฝ้ารอ?”
ไม่เพียงแค่องค์ชายรองเท่านั้น คนอื่น ๆ ต่างก็สงสัยเช่นกัน แม้แต่บรรดาคนรับใช้และเหล่าอารักขาต่างก็ไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วเกิดอันใดขึ้นกันแน่