ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 280 ผู้ควบคุมสถานการณ์หรือ? เจ้าไม่มีคุณสมบัติมากพอ!
บทที่ 280 ผู้ควบคุมสถานการณ์หรือ? เจ้าไม่มีคุณสมบัติมากพอ!
“ที่นี่แหละ!” ลู่เฉินมองไปยังประตูตรงหน้าพลางเอ่ยขึ้น
ชิงเฟิงหมิงซึ่งอยู่ในโลงศพที่ลอยอยู่ข้างหลังพลันพูดแปลก ๆ ว่า “เหตุใดข้าจึงรู้สึกแปลกพิกล?”
“แปลกแล้วอย่างไร?” ลู่เฉินไม่ได้ใส่ใจนัก เขาก้าวไปข้างหน้า ตั้งใจจะผลักประตูด้วยมือทั้งสองข้าง แต่จู่ ๆ ปราณอันเย็นเยือกสายหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่ชายหนุ่ม ทำให้ลู่เฉินกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งไปทันที
ชิงเฟิงหมิงที่เฝ้าดูอยู่นั้นถึงกับตกตะลึง “นายท่าน…”
ชิงเฟิงหมิงคิดว่าลู่เฉินถูกฆ่าตายไปแล้ว เขาจึงร้อนรนขึ้นมา ขณะที่อู่เหยียนหัวเราะอย่างมีชัยขึ้นมาจากด้านหลังของประตู “เป็นอย่างไรบ้าง? ตายเสียแล้ว!”
ทว่าลู่เฉินที่เป็นรูปปั้นน้ำแข็งกลับยิ้มออกมา “เจ้าคิดว่านี่จะทำให้ข้ากลายเป็นน้ำแข็งจริง ๆ งั้นหรือ?”
“ไร้สาระ นี่คือเคล็ดวิชาแช่แข็งวิญญาณ! ไม่เพียงสามารถแช่แข็งกายเนื้อได้เท่านั้น แต่ยังแช่แข็งวิญญาณได้ด้วย!” อู่เหยียนโอ้อวดอย่างเย่อหยิ่ง ส่วนลู่เฉินเพียงตอบกลับไปว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ประเมินข้าต่ำไปแล้วจริง ๆ!”
อู่เหยียนยิ้มเย้ยหยัน “ข้าแน่ใจว่าวันนี้เจ้าจะต้องตาย!”
“ขออภัยที่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง!” หลังจากที่ลู่เฉินพูดจบ ชั้นน้ำแข็งบนร่างชายหนุ่มก็หลุดออก เผยให้เห็นร่างของเขาที่ยังสมบูรณ์ดีทุกประการ อันที่จริงเขาเริ่มยืดเส้นยืดสายแล้วด้วยซ้ำ “เจ้าสิ่งนี้ทำให้ร่างกายไม่สบายเอาเสียเลย”
“เจ้า!” อู่เหยียนกระวนกระวายอยู่หลังประตู
ไม่ใช่แค่อู่เหยียนเท่านั้น แม้แต่ชิงเฟิงหมิงก็ตกใจเช่นกัน และกุ๋ยเจี่ยจื่อเองก็อ้าปากค้างไปแล้ว “นายท่าน นี่… ช่างน่าทึ่งจริง ๆ!”
ในเวลานั้นเอง ลู่เฉินก็ได้ผลักประตูเปิดออก
สิ่งที่ดึงดูดสายตาของลู่เฉินคือปราณเยือกแข็งและการไหลของปราณสีดำ แต่แล้วเขาก็เพิกเฉยต่อปราณเยือกแข็งและเดินเข้าไปทีละก้าว
ชิงเฟิงหมิงที่อยู่ในโลงศพยังคงควบคุมโลงศพให้เคลื่อนไหวตามไป
ทว่าเมื่อเห็นฉากในห้องโถง ชิงเฟิงหมิงก็ถึงกับตกใจ “นี่…!”
เขาเห็นโครงกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่ที่นี่ และสิ่งที่แตกต่างจากข้างนอกคือโครงกระดูกเหล่านี้ ‘ตาย’ โดยไร้ซึ่งกลิ่นอายของชีวิต
คราแรกมันดูไร้ชีวิตชีวา
แต่สิ่งเหล่านี้ลอยได้อย่างไร? นั่นทำให้ชิงเฟิงหมิงรู้สึกประหม่า ส่วนลู่เฉินนั้นได้แต่หัวเราะออกมาด้วยสีหน้าชั่วร้าย “น่าสนใจมาก!”
“นายท่าน… ไม่คิดว่ามันแปลกหรือ?” ชิงเฟิงหมิงรู้สึกงุนงง แต่ลู่เฉินเพียงมองเข้าไปในความมืดอย่างนึกสนุก “ไม่ออกมาหรือ?”
“ข้าไม่ออก!” อู่เหยียนตะคอกใส่
ลู่เฉินยิ้มโดยไม่พูดอะไร หลักจากนั้นก็วุ่นวายอยู่รอบ ๆ ในขณะที่ชิงเฟิงหมิงอยากรู้ว่าลู่เฉินกำลังคิดจะทำอะไร
อู่เหยียนตะโกนออกมาจากความมืดอีกครั้งว่า “เจ้าหนุ่ม เจ้าทำอะไรอยู่?”
“ไม่ต้องรีบร้อน” ลู่เฉินยิ้มคล้ายไม่ยิ้มอยู่ที่นั่น
คำพูดเหล่านี้ทำให้อู่เหยียนเยาะเย้ยว่า “อย่าคิดว่าเจ้าแกล้งทำเป็นลึกลับแล้วข้าจะกลัวเจ้า!”
ลู่เฉินไม่เอ่ยตอบ เขายังคงทำงานของตัวเองต่อไป จนกระทั่งครึ่งชั่วยามต่อมา เขาก็ปรบมือขึ้น “น่าจะพอประมาณแล้ว”
ชิงเฟิงหมิงรู้สึกสงสัย “นายท่าน นี่ท่าน…”
“เตรียมค่ายกลเพื่อที่เขาจะได้ไม่สามารถหลบหนีไปได้” ลู่เฉินยิ้ม และแล้วชิงเฟิงหมิงก็ตระหนักได้ในทันที แต่ก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา “สร้างค่ายกลได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้เชียวหรือ?”
ทว่าอู่เหยียนกลับหัวเราะเยาะ “เจ้าหนุ่ม เจ้าจะใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามในการสร้างค่ายกลเพื่อจัดการกับข้างั้นหรือ?”
“เพื่อจัดการกับเจ้า ค่ายกลนี้นับว่าเพียงพอแล้ว” ลู่เฉินพูดอย่างมั่นใจ
อู่เหยียนจึงเย้ยหยันต่อไปและไม่สะทกสะท้านใด ๆ “เช่นนั้นรอดูว่าใครจะจัดการใคร!”
พริบตานั้นเอง อากาศโดยรอบเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ กระทั่งเหล่าโครงกระดูกซึ่งลอยอยู่นั้นแข็งตัวขึ้นมาทันทีและหายไปอย่างกะทันหัน
และในขณะที่ ‘ทุ่งหิมะ’ ปรากฏขึ้นรอบ ๆ มนุษย์และอสูรจำนวนมากก็ปรากฏตัวขึ้นบนทุ่งหิมะแห่งนี้
มนุษย์และอสูรเหล่านี้จ้องมองมายังลู่เฉิน
ชิงเฟิงหมิงถึงกับตื่นตระหนก “นายท่าน เหตุใดที่นี่ถึงมีคนมากมายเพียงนี้!”
“แค่ภาพลวงตา!” ลู่เฉินไม่ได้จริงจังกับสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย แต่อู่เหยียนกลับยิ้มแปลก ๆ “ภาพลวงตา? เจ้าแน่ใจหรือ?”
ลู่เฉินเพียงแค่ยิ้ม จากนั้นเขาก็หยิบกู่ฉินเพลิงโบราณออกมา เล่นวนไปมาสองสามครั้ง เสียงกู่ฉินกระทบไปรอบ ๆ และโครงกระดูกเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทว่าในเวลาเดียวกันนั้น มนุษย์และอสูรร้ายเหล่านั้นก็พลันหายไป
ชิงเฟิงหมิงตกใจเมื่อเห็นความสงบรอบตัวเขา “น่าทึ่งมาก!”
อู่เหยียนเริ่มกระวนกระวายเล็กน้อย “เจ้า…มีความสามารถอยู่เหมือนกันนี่!”
“หากรู้ว่าข้ามีความสามารถ เช่นนั้นเจ้าก็จงออกมา มิฉะนั้นหากรอให้ข้าหาเจ้าพบ ถึงตอนนั้นเจ้าแย่แน่!” ลู่เฉินหัวเราะ แต่อู่เหยียนกลับคำรามว่า “เจ้าเลิกคิดว่าจะหาข้าพบไปได้เลย!”
“โอ้? มั่นใจขนาดนั้นเลย?”
“ไร้สาระ!” อู่เหยียนพูดอย่างมั่นใจ
ลู่เฉินเผยยิ้มแปลก ๆ จากนั้นก็โบกมือ ทันใดนั้นโครงกระดูกทั้งหลายก็เคลื่อนเข้าหากันทีละชิ้น ก่อนจะเรียงซ้อนกันเป็น ‘บ้าน’
ชิงเฟิงหมิงรู้สึกสับสนทันที “โครงกระดูกกลายเป็นบ้าน?”
แต่สิ่งที่ทำให้ชิงเฟิงหมิงตกใจที่สุดก็คือ หลังจากที่โครงกระดูกเหล่านี้กลายเป็น ‘บ้าน’ เขาก็เห็นร่างหนึ่งนั่งไขว่ห้างอยู่ในบ้านหลังนั้น และบุคคลนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก อู่เหยียน
เขามองเห็นว่าอู่เหยียนมีไอภูตผี และในขณะเดียวกันก็มีเปลวไฟสีแดงลุกโชนอยู่
นอกจากนี้ยังมีเงากระดูกสีขาวลอยอยู่ข้างหลังอู่เหยียน
เงากระดูกสีขาวนี้มีหกนิ้วบนฝ่ามือทั้งสอง และมันเปล่งแสงสีขาวออกมาซึ่งดูแล้วน่าพิศวงเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว ชิงเฟิงหมิงก็พลันตกใจ “นายท่าน นี่คือกระดูกศักดิ์สิทธิ์!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลู่เฉินก็จ้องมองไปที่มันและพบว่ามันมี ‘เจ้านาย’ อยู่เบื้องหลัง เพราะนี่เป็นเพียงโครงกระดูกที่ถูก ‘อัญเชิญ’ ไม่ใช่โครงกระดูกที่แท้จริง
ลู่เฉินจึงกล่าวว่า “มันถูกผู้อื่นอัญเชิญมา”
“อัญเชิญ? เป็นไปได้อย่างไร!?” ชิงเฟิงหมิงไม่เชื่อ เพราะเขาเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับวัตถุอัญเชิญ แต่ทั้งหมดเป็นการอัญเชิญในระยะสั้น หรือมากสุดก็ไม่เพียงไม่นานแล้วก็เกินขีดจำกัดไป
และเขาเคยเห็นกระดูกศักดิ์สิทธิ์นี้ที่ทางเข้าภูเขาภูตผีมาหลายปีแล้ว ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้
ลู่เฉินรู้ว่าคุยกับอีกฝ่ายไปก็คงไม่เข้าใจ ดังนั้นเขาจึงพูดสั้น ๆ ว่า “โครงกระดูกนี้ไม่มีจิตวิญญาณของมันเอง มีแต่อักขระโครงกระดูก”
“อักขระโครงกระดูก?”
“คล้ายกับอักขระยันต์หุ่นเชิด นั่นคือมีผู้อื่นแอบควบคุมมันในที่ลับ” ลู่เฉินอธิบาย แต่ชิงเฟิงหมิงรู้สึกสับสน
ในขณะที่ฟันบนและฟันล่างของกระดูกศักดิ์สิทธิ์กำลังกระทบกัน มันก็ส่งเสียงประหลาดออกมา ราวกับว่าพวกมันกำลังจะบอกอะไรบางอย่าง
อู่เหยียนสัมผัสได้จึงพูดอย่างยินดีว่า “เอาล่ะ ข้าจงฆ่าเขาเดี๋ยวนี้!”
เมื่ออู่เหยียนกางสองมือออก โครงกระดูกเหล่านั้นก็สลายหายไป และกลายเป็นแสงสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนไหลเข้าสู่ร่างกายของอู่เหยียน ทำให้พลังของอู่เหยียนพุ่งสูงขึ้น และทำให้เขากลายเป็นผู้ฝึกตนขั้นก่อกำเนิดระดับสมบูรณ์พร้อม ซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่าขั้นก่อกำเนิดโดยทั่วไป
“เจ้าหนุ่ม คงกลัวแล้วสินะ?” อู่เหยียนพูดอย่างโอ้อวดหลังจากรู้สึกได้ถึงพละกำลังที่ท่วมท้นของตนเอง
ลู่เฉินยืนเอามือไพล่หลังมองอู่เหยียนด้วยรอยยิ้ม “จงพูดมาว่าผู้ใดต้องการซื้อรากวิญญาณของข้า แล้วคนผู้นี้ติดต่อเจ้าได้อย่างไร?”
อู่เหยียนหัวเราะเมื่อเห็นอีกฝ่ายถามเขาด้วยคำถามนี้ “นี่เจ้าไม่เข้าใจสถานการณ์ของเจ้าเลยงั้นหรือ?”
“สถานการณ์?”
“ไร้สาระ ตอนนี้ข้าคือผู้คุมสถานการณ์ ดังนั้นไม่ว่าเจ้าอยากจะตายหรือมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอารมณ์ของข้า!” อู่เหยียนพูดอย่างเย่อหยิ่ง แต่ลู่เฉินส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้แล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่มีคุณสมบัติมากพอ!”
คำพูดของเขาทำให้อู่เหยียนเดือดดาล “เจ้าพูดอะไร?!”
“ข้าบอกว่าเจ้าไม่มีคุณสมบัติมากพอ!”