ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 278 เขาหาใช่ความหวัง แต่เป็นความสิ้นหวังของพวกเจ้า!
บทที่ 278 เขาหาใช่ความหวัง แต่เป็นความสิ้นหวังของพวกเจ้า!
ลู่เฉินยิ้มให้กับโครงกระดูกที่ปรากฏราง ๆ เหล่านี้และหัวเราะลั่น “หากจะบอกว่าใครต้องตายในวันนี้ ก็ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น!”
“ไม่เจียมตัว!” หลังจากอู่เหยียนผู้นี้คำราม เงาโครงกระดูกเหล่านั้นก็พลันทยอยเปล่งแสงสีแดงออกมา แล้วซ้อนทับกันกลายเป็นเงาโครงกระดูกขนาดใหญ่ อีกทั้งพลังอำนาจยังเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
ชิงเฟิงหมิงที่อยู่ในโลงศพตกตะลึง รู้สึกว่าช่างเหลือเชื่อยิ่งนัก
อู่เหยียนคิดว่าลู่เฉินคงจะเกรงกลัว เขาจึงหัวเราะแล้วถามว่า “เป็นอย่างไร? กลัวแล้วหรือ?”
“ไม่ถึงกับกลัวหรอก เพียงแต่ว่ามันช่างน่าสนใจ” ลู่เฉินมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่อู่เหยียนเย้ยหยันว่า “น่าสนใจรึ?”
“มิใช่หรือ?” ลู่เฉินเอ่ยจบก็เริ่มบรรเลงกู่ฉินเพลิงโบราณ ครั้นเสียงหนึ่งผ่านไป เงาโครงกระดูกขนาดใหญ่ก็ถึงกับสั่น จากนั้นพลันมีเสียงกรีดร้องของ ‘คน’ นับไม่ถ้วนในเงาโครงกระดูกเหล่านี้
แม้แต่เสียงของอู่เหยียนก็ยังตะโกนอยู่ที่นั่น
ชิงเฟิงหมิงรู้สึกสับสน ในขณะที่ลู่เฉินยิ้มให้กับโครงกระดูกขนาดใหญ่ “เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือไม่?”
อู่เหยียนกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “เจ้า กู่ฉินนี้ของเจ้า!”
“เสียงกู่ฉินของข้าสร้างขึ้นเพื่อควบคุมภูตผีโดยเฉพาะ” ลู่เฉินยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แต่เมื่ออู่เหยียนได้ยินก็มีโทสะทันที “รนหาที่ตาย!”
หลังจากพูดจบ โครงกระดูกขนาดใหญ่ก็พ่นไฟออกมา เปลวไฟเหล่านี้เป็นสีแดงตัดกับสีขาว สีขาวกับสีดำ ดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
ไม่เพียงเท่านั้น ทันทีที่เปลวไฟพุุ่งออกมา มันก็พุ่งใส่ร่างของลู่เฉินทันที ไม่ให้เขามีโอกาสได้หลบหนีแม้แต่น้อย
ชิงเฟิงหมิงสูดหายใจเข้าแล้วตะโกนขึ้นว่า “วิญญาณอัคคีสามชั้นสวรรค์!”
กุ๋ยเจี่ยจื่อไม่รู้ว่าวิญญาณอัคคีสามชั้นสวรรค์คืออะไร เขาจึงถามชิงเฟิงหมิงที่อยู่ภายในโลงศพด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “อะไรคือวิญญาณอัคคีสามชั้นสวรรค์?”
“ก็คือภูตอัคคีสามชั้นซ้อนทับกัน แล้วกลายเป็นสีสันที่แตกต่างกันสามสี”
“ร้ายกาจหรือไม่?” กุ๋ยเจี่ยจื่อไม่รู้ว่ามันทรงพลังขนาดไหน ชิงเฟิงหมิงจึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “มันสามารถเผาวิญญาณของขั้นก่อกำเนิด และทำให้เขาพิการได้ในทันที”
กุ๋ยเจี่ยจื่อได้ยินแล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึก
ทางด้านอู่เหยียนนั้นเอ่ยอย่างได้ใจว่า “เจ้าหนุ่ม เป็นอย่างไร? ทรมานละสิ”
“วิชาผีอะไรล้วนไร้ประโยชน์กับข้า” ลู่เฉินมองไปที่อู่เหยียนด้วยรอยยิ้ม ทว่าอู่เหยียนไม่เชื่อ และยังคิดว่าลู่เฉินกำลังโอ้อวด เขาจึงตวาดออกมาว่า “เจ้าอย่าอวดดีนัก ไม่มีประโยชน์!”
“อวดดี?”
“ไร้สาระ!” อู่เหยียนเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง ในขณะที่ลู่เฉินพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ลองดู!”
ลู่เฉินเอ่ยจบก็บรรเลงกู่ฉินเพลิงโบราณ เสียงกรีดร้องดังมาจากเงาโครงกระดูกอีกครั้ง และอู่เหยียนก็ยิ่งก่นด่าอย่างทรมาน “ข้าจะเอาชีวิตเจ้า!”
ชายหนุ่มมองดูอู่เหยียนที่เพิ่มระดับความแข็งแกร่งขึ้นมา
แต่ไม่ว่าอย่างไรอู่เหยียนผู้นี้ก็ไม่สามารถทำอะไรลู่เฉินได้ ทำให้อู่เหยียนเริ่มกระวนกระวาย “เป็นไปไม่ได้ เจ้า เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกขั้นสร้างรากฐานเท่านั้น เจ้าจะต้านทานวิญญาณอัคคีสามชั้นสวรรค์ของข้าได้อย่างไร!”
“วิญญาณอัคคีสามชั้นสวรรค์นั้นทรงพลังยิ่ง แต่เจ้าอ่อนแอเกินไป” คำพูดของลู่เฉินทำให้อู่เหยียนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “เจ้าว่าใครอ่อนแอ!”
“เป็นเจ้า!”
อู่เหยียนได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มคลั่ง “ข้า ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้!”
เงาโครงกระดูกพุ่งตรงเข้ามาที่ร่างของลู่เฉินในพริบตา ชิงเฟิงหมิงเองก็ยังตกใจ “แย่แล้ว เขาถูกสิงแล้ว!”
กุ๋ยเจี่ยจื่อถามอย่างกระวนกระวายทันทีว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าถูกสิง?”
“ผลที่ตามมาของการถูกสิงคือ สติจะถูกทำลาย และร่างกายจะถูกควบคุม” ชิงเฟิงหมิงพูดอย่างเป็นกังวล แต่กุ๋ยเจี่ยจื่อดูลังเล “นายท่านคนนี้สามารถควบคุมเราด้วยอักขระหุ่นเชิด เช่นนั้นวิญญาณของเขาก็คงไม่อ่อนแอ ส่วนจิตวิญญาณ มันยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถูกทำลายง่าย ๆ”
“เช่นนั้นก็พูดได้ยาก” ชิงเฟิงหมิงเริ่มวิตก
และในตอนนี้เอง เงาโครงกระดูกก็พลันลอยอยู่ในพื้นที่จิตวิญญาณขนาดใหญ่ของลู่เฉิน
“เป็น เป็นไปได้อย่างไร!” อู่เหยียนตกตะลึงเมื่อเขาเห็นพื้นที่จิตวิญญาณขนาดใหญ่ของลู่เฉิน แต่ชายหนุ่มเพียงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เจ้านะเจ้า ไปที่ใดไม่ไป แต่ดันมาหาข้า”
อู่เหยียนรีบสั่งให้เงาโครงกระดูกโจมตีทุกทิศทาง แต่เมื่อโจมตี มันก็เหมือนกับเข้าสู่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น
ทว่าลู่เฉินกลับเอ่ยขึ้นในความมืดว่า “อย่าเสียแรงเปล่าเลย”
“เจ้า เจ้าเป็นใครกันแน่!” อู่เหยียนเริ่มกระวนกระวาย แต่ลู่เฉินมองเขาด้วยรอยยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าคิดว่าคำถามนี้ พวกเราค่อย ๆ คุยกัน”
หลังจากพูดจบ จิตวิญญาณของลู่เฉินก็สว่างวาบในพื้นที่ของจิตวิญญาณของเขา และในขณะเดียวกัน ลู่เฉินก็ร่ายคำสาปแห่งการปราบภูตผี
พันธนาการนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าพัวพันเงาโครงกระดูก เงาโครงกระดูกเหล่านั้นเกิดจากการหลอมรวมของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนและส่วนหนึ่งจากจิตวิญญาณของอู่เหยียน ดังนั้นในขณะที่มัน ‘ถูกจับได้’ เสียงเหล่านี้ก็กรีดร้องครั้งแล้วครั้งเล่า
ลู่เฉินมองดูโครงกระดูกด้วยรอยยิ้มแล้วถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือไม่?”
“รอก่อนเถอะ! คนจากสำนักภูเขาภูตจะต้องมาฆ่าเจ้าแน่!” อู่เหยียนขู่ แต่ลู่เฉินกลับเย้ยหยันว่า “วันนี้ ไม่ว่าใครมาก็ไร้ประโยชน์!”
หลังจากพูดจบ ลู่เฉินก็เพิ่มระดับพลังของตน
ไม่นานนัก เงาของโครงกระดูกก็พลันกระจัดกระจาย และดวงวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนก็ลอยไปรอบ ๆ จิตวิญญาณของอู่เหยียนฉวยโอกาสนี้ซ่อนตัวที่ดวงวิญญาณดวงหนึ่ง โดยคิดว่าทำเช่นนี้จะสามารถหลบเลี่ยงลู่เฉินได้
เพียงแต่หลังจากลู่เฉินหัวเราะเยาะออกมา วิญญาณทั้งหมดก็ถูกบังคับให้จนมุมและถูกทำลายไปทีละดวง
สุดท้ายก็เหลืออยู่เพียงดวงเดียวที่หลบหนีไปทุกทิศทาง
“เจ้าคิดว่าถ้าเจ้าซ่อนตัวที่วิญญาณดวงนี้แล้วข้าจะหาเจ้าไม่เจอหรือ?” ลู่เฉินจ้องมองเงาของดวงวิญญาณที่หนีไปรอบ ๆ อย่างโง่งม พลันเสียงของอู่เหยียนก็ดังขึ้นว่า “เจ้า เจ้าหาข้าพบได้อย่างไร?”
“ความสามารถของข้าแข็งแกร่งกว่าที่เจ้าคิด แค่จะหาตัวเจ้าก็ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ!” ลู่เฉินยิ้มอย่างมั่นใจ
แต่อู่เหยียนไม่เชื่อ เขายังคงคำรามว่า “รอก่อนเถอะ! เจ้าสำนักภูเขาภูตได้นำปรมาจารย์กลุ่มใหญ่มาที่นี่แล้ว!”
“ไม่ว่าพวกเขาจะมากันมากแค่ไหน มันก็เหมือนเดิม” หลังจากที่ลู่เฉินพูดจบ เขาก็ใช้คำสาปแห่งการปราบภูตผีเพื่อลากวิญญาณและจิตวิญญาณของอู่เหยียนมายังกู่ฉินเพลิงโบราณโดยตรง และหลังจากที่ลู่เฉินรู้สึกตัว เขาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งทะยานเข้ามาจากท้องฟ้า
ชิงเฟิงหมิงที่อยู่ในโลงศพถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าลู่เฉินสบายดี แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงคนเหล่านั้นก็พลันตกใจ “แย่แล้ว! เจ้าสำนักมาแล้ว!”
เมื่อมองไปที่ผู้นำ ลู่เฉินก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่ง
เห็นเพียงชายคนนั้นสวมเสื้อคลุมสีดำและล้อมรอบไปด้วยแสงสีดำ อีกฝ่ายกำลังนั่งอยู่บน ‘ม้า’ แต่แทนที่จะเป็นม้า มันกลับเป็นโครงกระดูกสีขาวของม้าเสียมากกว่า
สิ่งนี้ทำให้ลู่เฉินนึกถึงทูตของชุมนุมภูตผีในเหวลึกของสนามวิญญาณ นั่นก็เป็นกลุ่มม้าโครงกระดูกเช่นกัน
หลังจากสำรวจดูไปสักพัก ลู่เฉินก็ถามกลับด้วยรอยยิ้มว่า “ชุมนุมภูตผีนี้ก็ไม่ใช่พลังที่พวกเจ้าฝึกฝนด้วยใช่หรือไม่?”
เจ้าสำนักถามกลับมาอย่างเย็นชา “เจ้ารู้จักชุมนุมภูตผีได้อย่างไร?”
เมื่อเห็นว่าการคาดเดาของเขาถูกต้อง ลู่เฉินก็หัวเราะออกมา “ก่อนหน้านี้ข้าเพิ่งไปที่นั่นมา”
“เจ้าเป็นใครกันแน่! เจ้ามาสร้างปัญหาที่นี่เพื่อเหตุใด?” เจ้าสำนักถามอย่างเย็นชา แต่ลู่เฉินถามกลับไปด้วยรอยยิ้ม “อู่เหยียนไม่ได้บอกเจ้าหรือ?”
“เขาคือผู้สืบทอดของกระดูกศักดิ์สิทธิ์! เป็นความหวังในอนาคตของสำนักภูเขาภูตของพวกเรา!” เจ้าสำนักกล่าว แต่ลู่เฉินกลับเย้ยหยันว่า “หากเจ้าไม่ต้องการให้สำนักภูเขาภูตถูกทำลาย ข้าแนะนำให้เจ้าอย่าออกหน้าแทนเขา มิฉะนั้นเขาจะมิใช่ความหวัง แต่เป็นความสิ้นหวังของพวกเจ้า!”