ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 277 เขาเป็นผู้สืบทอดกระดูกศักดิ์สิทธิ์!
บทที่ 277 เขาเป็นผู้สืบทอดกระดูกศักดิ์สิทธิ์!
ชิงเฟิงหมิงกลัวเกินกว่าจะต่อต้านอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงพูดอย่างกระวนกระวายว่า “สำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ เป็นสำนักที่สำนักภูเขาภูตสร้างขึ้นในแดนทักษิณา”
“สำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ถูกสร้างขึ้นโดยสำนักภูเขาภูต?” ลู่เฉินเริ่มสงสัย
ชิงเฟิงขานรับ “ใช่”
“แล้วพื้นที่ต้องห้ามตรงข้ามกับหน้าผาภูตเล่า?”
“ตราบเท่าที่เจ้าได้รับอนุญาตเป็นพิเศษจากกระดูกศักดิ์สิทธิ์ เจ้าถึงจะสามารถเข้าสู่พื้นที่ต้องห้ามได้ โดยทั่วไปแล้วล้วนเป็นว่าที่เจ้าสำนักคนต่อไปของสำนักภูเขาภูต” ชิงเฟิงหมิงอธิบาย
ลู่เฉินไม่คาดคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกี่ยวกับสำนักภูเขาภูต เขาจึงถามต่อไปว่า “แล้วเรื่องเกี่ยวกับอู่เหยียน เจ้ารู้มากแค่ไหน?”
“เขาเป็นเจ้าสำนักน้อยของสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ มีเจ้าสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้แนะนำมา หลังจากได้รับการประเมินจากเจ้าสำนักของพวกเราแล้ว ต่อมาเขาก็ได้รับการประเมินจากกระดูกศักดิ์สิทธิ์ และได้เข้าสู่พื้นที่ต้องห้ามในที่สุด”
ลู่เฉินจึงสงสัยทันทีว่า “ถ้าเช่นนั้น เจ้าไม่รู้ที่มาและสิ่งที่เขาเคยทำเลยหรือ?”
“เรารู้แค่ว่าเขามาจากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ อย่างอื่นข้าไม่รู้จริง ๆ” ชิงเฟิงหมิงพูดอย่างหดหู่ใจ
“ดูเหมือนว่ากระดูกศักดิ์สิทธิ์ของสำนักเขาภูตจะน่าสนใจไม่น้อย”
“กระดูกศักดิ์สิทธิ์ แปลกไปจริง ๆ”
“มันมีที่มาอย่างไร?”
“ข้า ข้าไม่รู้” ชิงเฟิงหมิงส่ายหัว แต่ลู่เฉินถามต่อ “ไม่รู้จริงหรือ?”
“ข้าไม่รู้!” ชิงเฟิงหมิงย้ำ
ชายหนุ่มจมสู่ห้วงแห่งความคิดทันที แต่ จู่ ๆ เสียงกรีดร้องก็ดังมาจากด้านนอก
ลู่เฉินรีบออกจากโลงศพหิน และได้เห็นคนที่กำลังนั่งขัดสมาธิจากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ตื่นขึ้นมาทีละคน แต่ร่างกายของคนเหล่านี้ปรากฏเพียงเลือนราง ประเดี๋ยวมีกายเนื้อ ประเดี๋ยวเป็นเพียงโครงกระดูก
ในเวลาเดียวกัน ดวงตาของคนเหล่านั้นเป็นประกายสีโลหิต และภายในประกายแสงนั้น สามารถมองเห็นเงาของโครงกระดูกได้
เมื่อเห็นลู่เฉิน กุ๋ยเจี่ยจื่อก็พลันปรี่เข้ามาในสภาพบาดเจ็บสาหัส “นายท่าน! พวกมันน่ากลัวยิ่งนัก”
ลู่เฉินมองไปที่กุ๋ยเจี่ยจื่อ เขาพบว่าอีกฝ่ายมีบาดแผลปกคลุมไปทั่วร่าง เขาจึงบอกกับอีกฝ่ายว่า “เจ้าเข้าไปในโลงศพหินก่อน”
หลังจากพูดจบ เขาก็ขอให้ชิงเฟิงหมิงพากุ๋ยเจี่ยจื่อเข้าไป และหลังจากที่กุ๋ยเจี่ยจื่อหายไป ชิงเฟิงหมิงก็เตือนลู่เฉินว่า “นี่คือสิ่งที่ข้าบอกเจ้า วิชากระดูกผี”
ลู่เฉินมองไปที่ร่างกายของพวกเขาก่อนจะพบว่าในร่างกายเหล่านั้นยังคงมีจิตสำนึกอยู่ เพียงแต่จิตสำนึกนี้ไม่ใช่ของตนเอง ทว่ากลับดูเหมือนมีใครบางคนที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาและกำลังควบคุมคนเหล่านี้
ลู่เฉินจึงจ้องไปที่คนเหล่านั้นและพูดขึ้นว่า “วิชากระดูกผี ก็แค่ถูกควบคุมจากผู้อื่นที่อยู่เบื้องหลัง”
แต่คนเหล่านี้พูดพร้อมกันว่า “งั้นหรือ?”
เสียงนั้นเหมือนกันทุกประการ ชิงเฟิงหมิงได้ยินแล้วก็พลันตกใจ “ใช่ มันคือเสียงของกระดูกศักดิ์สิทธิ์!”
ชายหนุ่มมองไปที่คนเหล่านี้แล้วยิ้มออกมา “กระดูกศักดิ์สิทธิ์?”
“ลู่เฉิน เจ้ามันบ้ามาก เจ้ากล้ามาที่สำนักภูเขาภูตเพื่อสร้างปัญหาหรือ!” เสียงของอีกฝ่ายเริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง และเสียงนี้ลู่เฉินคุ้นเคยเป็นอย่างดี มันคือเสียงของอู่เหยียน ศิษย์สำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่เคยใส่ร้ายเขาว่าเป็นคนขโมยตำรา แล้วยังพาชายชุดดำมาชิงรากวิญญาณของเขาไป
ลู่เฉินเอ่ยเย้ยหยันว่า “เจ้าเป็นผู้ควบคุมพวกมันหรือ?”
“ข้าคือผู้สืบทอดกระดูกศักดิ์สิทธิ์! ดังนั้นตอนนี้กระดูกศักดิ์สิทธิ์ก็คือข้า และข้าคือกระดูกศักดิ์สิทธิ์!” อู่เหยียนเริ่มมีท่าทีหยิ่งยโส ทว่าลู่เฉินเพียงแสยะยิ้ม “ผู้สืบทอด?”
“ถูกต้อง!”อู่เหยียนเอ่ยอย่างเย็นชา
ชายหนุ่มยิ้มประหลาดออกมาทันที “ถ้าเช่นนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามาทำอะไรที่สำนักภูเขาภูต”
“มาหาข้า?”อู่เหยียนถามราวกับว่าเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่ลู่เฉินพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าเคยใส่ร้ายข้า และทำให้รากวิญญาณของข้าถูกชิงไป ถ้าเจ้าบอกว่าข้าไม่ได้มาเพื่อเจ้า แล้วข้าจะมาที่นี่เพื่อการใดเล่า?”
อู่เหยียนจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูถูก “รากวิญญาณของเจ้า ข้าก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงมีคนต้องการซื้อมัน”
“ซื้อ?”
“ใช่ มีคนต้องการมันมาก ดังนั้นข้าจึงให้ความร่วมมือกับสถานการณ์นี้” อู่เหยียนยิ้ม แต่ลู่เฉินเพียงยกยิ้มกลับไปแล้วถามว่า “แล้วเจ้ารู้ผลที่ตามมาหรือไม่?”
“ผลที่ตามมาอะไร?” อู่เหยียนไม่ได้จริงจังกับมันมากนัก
ลู่เฉินจึงตอบไปว่า “สำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ถูกข้าทำลายเพราะเจ้า ส่วนเจ้า ข้าจะจับเจ้าด้วยมือของข้าเอง! ให้เจ้าลองรู้สึกเหมือนถูกทำลายรากวิญญาณ!”
อู่เหยียนหัวเราะขึ้นมาทันที “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ เจ้าคิดว่าเจ้ายังสามารถมีชีวิตรอดได้หรือ?”
“แล้วเหตุใดเล่า? แค่ควบคุมคนเหล่านี้ได้ เจ้าก็คิดที่จะโค่นข้างั้นหรือ?” ลู่เฉินถามกลับ แต่อู่เหยียนหัวเราะเย้ยหยันแล้วกล่าวว่า “คนเหล่านี้ล้วนฝึกฝนวิชากระดูกผี ดังนั้นวิชาธรรมดาจึงใช้ไม่ได้ผลกับพวกเขา”
ชายหนุ่มเผยยิ้มชั่วร้ายทันที “วิชาธรรมดาไร้ประโยชน์ แต่ข้ามีวิธีจัดการกับพวกมัน”
“อย่างเจ้าน่ะหรือ?” อู่เหยียนไม่ได้สนใจลู่เฉินแม้แต่น้อย ในขณะที่ลู่เฉินยังคงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง”
“ไม่ต้องรอแล้ว ข้าจะส่งเจ้าไปตายเดี๋ยวนี้!” หลังจากที่อู่เหยียนพูดจบ คนเหล่านั้นต่างก็ร่ายวิชาภูตผีทันที
การโจมตีของคนเหล่านี้ดูประหลาดยิ่งนัก ทว่าก็แยกออกจากแก่นแท้เดียวกันไม่ได้ อย่างไรแล้วมันก็เป็นเพียงเป็นวิชาภูตผี และการโจมตีเหล่านี้ก็ไม่มีผลต่อลู่เฉิน
สิ่งนี้ทำให้อู่เหยียนฉงนใจไม่น้อย “เจ้าเป็นผู้ฝึกขั้นสร้างรากฐาน เหตุใดเจ้าจึงต้านทานการโจมตีของพวกมันได้?”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?” ลู่เฉินถามกลับ แต่อู่เหยียนกลับโกรธขึ้นมา “ถ้าข้ารู้ก่อนหน้านี้ ข้าไม่ควรโยนเจ้าลงจากหน้าผา แต่ควรฆ่าเจ้าให้จบสิ้น!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลู่เฉินก็เย้ยหยันว่า “เช่นนั้นข้าต้องขอบใจเจ้าที่ไม่ฆ่าข้างั้นหรือ?”
อู่เหยียนตะคอกใส่ทันทีว่า “คราวนี้ข้าจะไม่ใจอ่อนอีก!”
จบประโยคดังกล่าว คนเหล่านั้นที่ถูกควบคุมก็เพิ่มความพยายามของพวกเขาให้มากขึ้น ทว่าลู่เฉินยังคงไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ส่วนชิงเฟิงหมิงที่กำลังเฝ้าดูอยู่ในโลงศพหินก็พลันถอนหายใจออกมา “น่ากลัวยิ่งนัก”
ชายหนุ่มจ้องมองไปยังผู้ที่ถูกควบคุมและยกยิ้ม “ข้าขอเตือนเจ้า ล้มเลิกเสียเถอะ”
“ไปตายเสีย!” เมื่ออู่เหยียนพูดจบ คนเหล่านั้นก็ระเบิดร่างของพวกเขาพร้อม ๆ กัน
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
เสียงระเบิดที่ดังขึ้นบนหน้าผาภูตทำให้ภูเขาทั้งลูกถึงกับสั่นสะเทือน ชิงเฟิงหมิงที่อยู่ในโลงศพหินได้เห็นเปลวไฟปะทุขึ้นทั่วบริเวณก็พลันตกใจ “น่ากลัวยิ่งนัก!”
แต่หลังจากเปลวเพลิงสลายไป มันก็เผยให้เห็นกองโครงกระดูกที่ยืนอยู่รอบ ๆ…
ดวงตาของโครงกระดูกเหล่านี้ค่อย ๆ กะพริบ ซึ่งหลังดวงตาคู่นี้คืออู่เหยียนที่กำลังกวาดสายตามองดูอยู่ที่นั่น
“หนีงั้นหรือ?” อู่เหยียนรู้สึกงุนงงเล็กน้อยเมื่อเขาไม่พบกลิ่นอายของลู่เฉิน แต่ในตอนนี้เอง ลู่เฉินก็มายืนอยู่ข้างหลังโครงกระดูกเหล่านั้นด้วยรอยยิ้ม “เจ้ากำลังมองหาข้าอยู่หรือ?”
โครงกระดูกทั้งหลายรีบหันกลับมา ก่อนจะเห็นลู่เฉินพอดี
และตอนนี้เอง ในมือของลู่เฉินก็ปรากกฏกู่ฉินเพลิงโบราณ
“เจ้ายังไม่เป็นอันใดหรือ!?” อู่เหยียนชะงักไปเมื่อเห็นว่าลู่เฉินยังดูปกติดี แต่ชิงเฟิงหมิงที่อยู่ในโลงศพหินกลับตกตะลึง “ไม่เป็นไรงั้นหรือ?”
“เจ้าคิดว่าการโจมตีแบบนั้นจะทำร้ายข้าได้งั้นหรือ?” ลู่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?!” อู่เหยียนตะโกนถาม
“ผู้ใดหรือ ข้าก็คือลู่เฉินที่โดนเจ้าใส่ร้ายและชิงเอารากวิญญาณไป แล้วยังถูกโยนลงใต้หน้าผาจนเกือบตายอย่างไรเล่า” ลู่เฉินคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ส่วนอู่เหยียนนั้นได้แต่พูดอย่างกระวนกระวายใจว่า “ไม่ถูกต้อง เจ้าไม่ใช่เขา!”
“เหตุใดจึงไม่ใช่?” ลู่เฉินยิ้มแปลก ๆ
“เพราะคนผู้นั้นไม่แข็งแกร่งเท่าเจ้า!”
“นั่นเป็นเพราะข้าหลับใหลไปและปล่อยให้เจ้าได้ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้” ลู่เฉินยิ้ม ขณะที่อู่เหยียนคิดว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเราะเยาะตัวเอง จึงเอ่ยเสียงแข็งว่า “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นใคร แต่วันนี้ เจ้าต้องตาย!”