ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 276 ศิษย์สำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่กลายเป็นหิน
บทที่ 276 ศิษย์สำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่กลายเป็นหิน
“งั้นหรือ?” ลู่เฉินยืนอยู่หน้าโลงศพพลางหัวเราะออกมา กุ๋ยเจี่ยจื่อไม่รู้ว่าลู่เฉินหมายถึงอะไร แต่ชิงเฟิงหมิงพูดอย่างภาคภูมิใจอยู่ในโลงศพว่า “แน่นอน”
“ถ้าเช่นนั้น ลองดูว่าเจ้าจะออกมาตอนนี้ หรือจะควบคุมโลงศพนี้ให้ลอยได้” ลู่เฉินถามด้วยรอยยิ้ม
ชิงเฟิงหมิงพูดอย่างมั่นใจว่า “เบิกตาของเจ้าให้กว้าง แล้วดูว่าข้าควบคุมมันได้อย่างไร!”
แต่เมื่อชิงเฟิงหมิงพยายามควบคุมโลงศพ โลงศพนี้ก็อยู่เหนือการควบคุม พูดให้ชัดก็คือมันไม่ฟังเขาเลย ผลลัพธ์นี้ทำให้ชิงเฟิงหมิงกระวนกระวายขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้น!”
กุ๋ยเจี่ยจื่อเองก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
ลู่เฉินพูดด้วยรอยยิ้มว่า “บอกตามตรงว่าตอนนี้โลงศพนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของข้าแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้!” ชิงเฟิงหมิงไม่เชื่อ ไม่ว่าอย่างไรโลงศพนี้ก็เป็นศาสตราวุธวิญญาณของเขา แล้วจะถูกลู่เฉินควบคุมได้อย่างไร ส่วนลู่เฉินนั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อ จึงทำได้เพียงหัวเราะออกมา “เช่นนั้นเจ้าก็ค่อย ๆ สัมผัสมันดูก็แล้วกัน”
หลังจากพูดจบ ลู่เฉินก็ควบคุมโลงศพหินทันที
เห็นเพียงโลงศพลอยขึ้น แล้วกระแทกลงพื้นอย่างแรง
ตูม!
ชิงเฟิงหมิงที่อยู่ในโลงศพสาปแช่งออกมาทันที “ไอ้สารเลว!”
กุ๋ยเจี่ยจื่อตกตะลึง “ควบคุมโลงศพนี้ได้จริงหรือ?”
ส่วนลู่เฉิน เขาส่ง ‘บทเรียน’ ด้วยการทำให้โลงศพลอยไปมารอบ ๆ และในระหว่างนั้นโลงศพก็พลันหมุนอย่างรุนแรง ชิงเฟิงหมิงที่อยู่ข้างในรู้สึกวิงเวียนและเริ่มตะโกนว่า “หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้!”
ลู่เฉินไม่หยุด แต่กลับเร่งความเร็วขึ้นแทน
ความเร็วของโลงศพนี้น่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ และชิงเฟิงหมิงก็รีบเอ่ยว่า “ข้ายอมแพ้ ตกลงไหม!”
จากนั้นโลงศพก็กระแทกพื้นจนเสียงดังลั่น ชิงเฟิงหมิงที่อยู่ในโลงศพรู้สึกวิงเวียน “เจ้า…เจ้าเป็นสัตว์ประหลาด!”
ลู่เฉินยิ้มโดยไม่พูดอะไร จากนั้นด้วยความคิดเดียว เขาก็ได้ควบคุมโลงศพเพื่อไปยังค่ายกลที่หน้าผาภูต ชิงเฟิงหมิงเอ่ยเตือนว่า “ไม่มีใครสามารถผ่านที่นั่นได้นอกจากเจ้าสำนัก”
“มันเป็นแค่ค่ายกล ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” ลู่เฉินตอบ
แต่ชิงเฟิงหมิงเอ่ยขู่ต่อไปว่า “นั่นไม่ใช่ค่ายกลปกติ”
ลู่เฉินไม่สนใจ ปล่อยให้กุ๋ยเจี่ยจื่อเดินตามมา
กุ๋ยเจี่ยจื่อรีบเดินตามไป แต่เขาอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านเมื่อมองไปที่โลงศพ
จนกระทั่งลู่เฉินมาถึงรอบนอกของค่ายกลและวางมือข้างหนึ่งไว้บนนั้น ทว่าใครจะรู้ว่ามือโครงกระดูกขนาดใหญ่ที่ควบแน่นจากเงาของกระดูกศักดิ์สิทธิ์บนท้องฟ้าจะเหยียดออกมาด้านนอกเพื่อคว้าลู่เฉินไว้แน่น
ชิงเฟิงหมิงคิดว่าลู่เฉินคงจบสิ้นแล้ว ดังนั้นเขาจึงเอ่ยล้อว่า “ข้าบอกแล้วไง ค่ายกลนี้ไม่ธรรมดา”
กุ๋ยเจี่ยจื่อตกใจ “นายท่าน เป็นอะไรหรือไม่”
“มันเป็นแค่โครงกระดูก ไม่มีอะไร” หลังจากที่ลู่เฉินพูดจบ เขาก็คว้าโครงกระดูกด้วยมือข้างเดียว จากนั้นก็กลืนกินไอภูตผีบนกระดูก ทำให้โครงกระดูกสลายไปทันที
ชิงเฟิงหมิงตกตะลึง “แบบนี้ก็ได้หรือ?”
ลู่เฉินยิ้มโดยไม่พูดอะไรสักคำ และเริ่มเดินเข้าไปในค่ายกล
ครั้นเดินเข้าไปแล้ว รอบ ๆ ก็พลันถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาว ไม่มีใครสามารถมองเห็นอะไรได้ และชิงเฟิงหมิงก็เอ่ยอย่างตกใจในโลงศพ “เห็นไหมว่าค่ายกลนี้น่ากลัวมาก”
กุ๋ยเจี่ยจื่อเองก็รู้สึกหวาดกลัวกับฉากนี้เช่นกัน
ทว่าลู่เฉินเพียงหัวเราะ
ชิงเฟิงหมิงไม่รู้ว่าอะไรเป็นเรื่องตลกของลู่เฉิน แต่ลู่เฉินยังคงเดินไปตามทางของเขาเอง
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็เดินออกมาจากหมอกและมาถึงหน้าผาภูต พวกเขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งนั่งขัดสมาธิไม่ขยับเขยื้อน
ชิงเฟิงหมิงตกตะลึง “เข้ามาได้อย่างนั้นหรือ?”
“ทำไมข้าจะเข้ามาไม่ได้เล่า?” ลู่เฉินไม่ได้แยแสค่ายกลนี้ ในขณะที่ชิงเฟิงหมิงพึมพำอยู่ในโลงศพว่า “เจ้ามันไม่ใช่มนุษย์”
ลู่เฉินมองไปที่คนเหล่านั้นและพบว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ แต่พวกเขาไม่เคลื่อนไหวใด ๆ ราวกับว่าพวกเขาได้ตายไปแล้ว ชายหนุ่มจึงถามด้วยความสงสัยว่า “พวกเขาเป็นอะไร?”
ชิงเฟิงหมิงไม่ต้องการตอบ แต่ลู่เฉินพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ายังอยากกลิ้งอยู่ในโรงศพอีกใช่หรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชิงเฟิงหมิงก็พูดอย่างหดหู่ว่า “พวกเขากำลังฝึกวิชาภูตผี”
“วิชาภูตผี?”
“ใช่ เป็นการใช้วิญญาณเพื่อรับรู้ถึงกระดูกศักดิ์สิทธิ์ และฝึกฝนเคล็ดวิชาภูตผีในกระดูกศักดิ์สิทธิ์ หรือที่เรียกว่าวิชากระดูกผี” ชิงเฟิงหมิงเอ่ยตอบ แต่ลู่เฉินยังสงสัย “วิชากระดูกผี?”
“ใช่!” ชิงเฟิงหมิงขานรับ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ลู่เฉินก็ถามว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้อาวุโสที่นี่ เช่นนั้นเจ้าคงรู้ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์และสำนักภูเขาภูตของเจ้ากระมัง”
“เรื่องนี้ ข้าพูดไม่ได้”
“เพราะเหตุใด?”
“ข้าภักดีต่อกระดูกศักดิ์สิทธิ์ หากข้าพูด ข้าจะตาย” ชิงเฟิงหมิงยังคงมีเรื่องที่ต้องกังวล แต่ลู่เฉินยกยิ้ม “เจ้าไม่อยากเป็นอิสระหรือ”
“อิสระอะไร?” ชิงเฟิงหมิงไม่รู้ว่าลู่เฉินพูดอะไร
“เพื่อให้เจ้าไม่ถูกผูกมัดด้วยกระดูกศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป เพื่อที่เจ้าจะได้เป็นอิสระ และเจ้าจะพูดอะไรก็ได้ตามต้องการ” ลู่เฉินยิ้ม แต่ชิงเฟิงหมิงไม่เชื่อ “ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน เมื่อเจ้าภักดีต่อกระดูกศักดิ์สิทธิ์แล้ว จะไม่มีใครกำจัดมันได้”
“ดูเขาสิ” ชายหนุ่มชี้ไปที่กุ๋ยเจี่ยจื่อ และกุ๋ยเจี่ยจื่อก็พูดขึ้นทันทีว่า “ข้า ข้ากำจัดมันไปแล้ว”
แต่ชิงเฟิงหมิงไม่เชื่อ “เป็นไปไม่ได้”
“หน้าผาภูต พื้นที่ต้องห้ามตรงข้ามหน้าผาภูต เขาบอกข้ามา แต่เขาก็ยังไม่เป็นอันใด”ลู่เฉินอธิบาย แต่ชิงเฟิงหมิงไม่เชื่อ “อย่างไรก็เป็นไปไม่ได้”
ลู่เฉินยิ้ม “ทำไมเล่า เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ?”
ชิงเฟิงหมิงยืนกรานว่า “ใช่น่ะสิ”
ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ายังอยากโดนอีกหรือ?”
“เจ้า นอกจากขู่ข้าแล้ว เจ้ายังทำอันใดได้อีก”
“เป็นอิสระ หรืออยากกลิ้งไปกลิ้งมาในนั้น จงเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง” ลู่เฉินพูดด้วยรอยยิ้ม และชิงเฟิงหมิงเองก็กำลังร้อนใจ แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถเอาชนะลู่เฉินได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ประนีประนอม “ข้าเลือกอิสระ”
“ได้ ข้าจะเข้าไปในโลงศพ” หลังจากพูดจบ ลู่เฉินก็หายตัวไป
ภายในโลงศพมีพื้นที่เล็ก ๆ ส่วนชิงเฟิงหมิงก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขากำลังนั่งขัดสมาธิ แต่เมื่อเขาเห็นลู่เฉินเข้ามา เขาก็พูดอย่างหดหู่ว่า “ศาสตราวุธวิญญาณนี้ข้าเป็นคนสร้างขึ้น เหตุใดเจ้าถึงควบคุมมันได้?”
“ศาสตราวุธวิญญาณใด ๆ ก็ตาม ในสายตาของข้ามันก็เป็นเพียงเครื่องมือของข้าเท่านั้น”
เมื่อชิงเฟิงหมิงได้ยินเช่นนี้ เขาก็นึกอยากจะฟาดลู่เฉินให้ตาย แต่เขาไม่อาจทำได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ประนีประนอม “แล้วเจ้าจะทำอะไร?”
“นั่งลง อย่าขยับ” ลู่เฉินเดินไปวางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่ของชิงเฟิงหมิง
ชิงเฟิงหมิงสงสัยว่าเขาจะแอบโจมตีลู่เฉินในเวลานี้ได้สำเร็จหรือไม่ แต่ใครจะรู้ว่าก่อนที่เขาจะทำเช่นนั้น ลู่เฉินก็ได้จัดเตรียมอักขระยันต์หุ่นเชิดไว้รอบแก่นพลังขั้นก่อกำเนิดของเขาแล้ว ซึ่งทำให้ชิงเฟิงหมิงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในขณะที่เขากำลังจะโจมตี
สิ่งนี้ทำให้ชิงเฟิงหมิงถามอย่างกระวนกระวายว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“อักขระยันต์หุ่นเชิดมีผลในร่างกายของเจ้าแล้ว ดังนั้นถ้าเจ้าไม่อยากตายก็พูดมาตามตรง”
“เจ้า…” ดวงตาของชิงเฟิงหมิงเบิกกว้าง เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดฝันว่าผู้ฝึกขั้นสร้างรากฐานจะสามารถสร้างอักขระยันต์หุ่นเชิดได้ตามต้องการ แต่ลู่เฉินไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก
“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าสามารถตอบคำถามของข้าได้”
ชิงเฟิงหมิงถามทันทีว่า “แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วหรือ?”
“ใช่”
ชิงเฟิงหมิงยังมีท่าทีสงสัย แต่ลู่เฉินจ้องอีกฝ่ายแล้วเร่งว่า “พูดมา!”