ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 274 นักรบภูตอาวุโส ชิงเฟิงหมิง!
บทที่ 274 นักรบภูตอาวุโส ชิงเฟิงหมิง!
ลู่เฉินไม่ได้สนใจเรื่องที่เกิดขึ้น ทว่ากลับจ้องไปยังนักรบภูตที่ถูกตนควบคุมไว้ จากนั้นจึงมองเข้าไปยังรากวิญญาณในร่างกาย
รากวิญญาณนี้เคยถูกเคลื่อนมือและเท้า ทำให้รากวิญญาณถูกห่อหุ่มไปด้วยแสงสีขาวจาง ๆ และแสงสีขาวนี้จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงรากวิญญาณของคนผู้นั้น
“จะสามารถฝึกตนสองวิถีนั้นได้หรือไม่ สิ่งสำคัญคือรากวิญญาณนี้!” ลู่เฉินมองอยู่ครู่หนึ่งจึงพึมพำออกมา
เมื่อเห็นว่าลู่เฉินไม่ขยับใด ๆ กุ๋ยเจี่ยจื่อจึงรู้สึกร้อนใจขึ้นมา “นายท่าน ไม่หนีหรือ?”
“หนี? เหตุใดจึงต้องหนี?”
กุ๋ยเจี่ยจื่อจึงพูดขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก “ท่านเห็นหรือไม่ นักรบภูตมากขึ้นเรื่อย ๆ!”
เมื่อลู่เฉินได้สติจึงมองไปรอบ ๆ และพบว่านักรบภูตได้ปรากฏออกมานับสิบคนแล้ว แต่ลู่เฉินกลับยิ้มออกมา “ไม่มากเท่าไหร่นัก!”
“ไม่มาก?” กุ๋ยเจี่ยจื่อไม่รู้ว่าลู่เฉินไปเอาความกล้าหาญเช่นนี้มาจากที่ใด
ลู่เฉินให้กุ๋ยเจี่ยจื่อถอยออกไปอยู่อีกด้านหนึ่ง กุ๋ยเจี่ยจื่อจึงถอยไปอีกด้านหนึ่งอย่างว่าง่าย เหล่านักรบภูตคนอื่นต่างคิดว่ากุ๋ยเจี่ยจื่อนั้นถูกข่มขู่ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจเขามากนัก ปล่อยให้เขาถอยไปอีกด้านหนึ่ง แต่สายตากลับจับจ้องไปยังลู่เฉินแต่เพียงผู้เดียว
เมื่อลู่เฉินเห็นสายตาที่ดุร้ายเหล่านั้นจึงเผยยิ้มออกมา “พวกเจ้าจะลงมือพร้อมกัน? หรือว่าจะเข้ามาทีละคน?”
คนพวกนี้ต่างก็คิดว่าลู่เฉินจะหวาดกลัว แต่ลู่เฉินกล่าวเพียงประโยคเดียวกลับทำให้คนเหล่านี้ต่างกล่าวเยาะเย้ยออกมา
“เจ้าหนุ่ม เจ้าเป็นเพียงขั้นสร้างรากฐาน ยังกล้าเพียงนี้เชียวหรือ?”
“เจ้าหนุ่ม เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกข้ามีพลังขั้นใด?”
…
เขาไม่สนใจการ ‘เยาะเย้ย’ ของคนพวกนี้ แต่กลับหันไปมองคนเหล่านี้อย่างพิจารณา พลังปราณและรากวิญญาณของพวกเขานั้นสามารถเปลี่ยนไปได้เป็นครั้งคราว ลู่เฉินจึงเผยรอยยิ้มออกมา “มาเถิด เข้ามาพร้อมกันเลย!”
คนเหล่านี้ต่างก็รู้สึกเหลือทน แต่ละคนจึงใช้เคล็ดวิชาภูตผีออกมาเสียก่อน
แต่การใช้เคล็ดวิชาภูตผีนั้นไร้ประโยชน์สำหรับลู่เฉิน จึงเป็นการบีบบังคับให้คนเหล่านี้ใช้ได้เพียงวิชาเวทแทน แต่เดิมทีแล้ววิชาเวทนั้นก็ไม่สามารถทำลาย ‘กำแพงพันชั้น’ ของลู่เฉินได้ ทำให้คนเหล่านี้มีสีหน้าตกตะลึงขึ้นมา
กุ๋ยเจี่ยจื่อที่อยู่อีกด้านหนึ่งถึงกับอ้าปากค้าง “นี่… ขั้นสร้างรากฐานอะไรกันแน่!”
ในขณะที่ทุกคนกำลังประหลาดใจนั้น ลู่เฉินจึงชำเลืองสายตามองไปยังคงเหล่านั้น “เป็นเช่นไร? ยังจะลงมือต่อไปหรือไม่?”
คนเหล่านั้นต่างก็นำโลงศพหินที่อยู่ด้านหลังออกมา จากนั้นจึงดูดซึมซับไอภูตผีอย่างบ้าคลั่ง ลู่เฉินปล่อยให้พวกเขาทำเช่นนั้นต่อไปเรื่อย ๆ แต่ผลที่ออกมายังคงเป็นเช่นเดิม ท้ายที่สุดคนเหล่านี้ก็ทยอยถูกลู่เฉินจัดการทีละคน
สุดท้ายแล้ว ภายใต้การข่มขู่ของเขา แต่ละคนจึงยอมจำนนต่อชายหนุ่ม
ผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานอย่างลู่เฉินนั้นจึงเปลี่ยนจากครั้งที่เจ็ดสิบสี่ ไปยังครั้งที่เจ็ดสิบเก้าในทันที ยังขาดอีกเพียงสองครั้งเท่านั้น
ทั้งสองสิ่งนี้ ลู่เฉินไม่สามารถตามหาได้มาโดยตลอด
“ทั้งสองนี้ จะตายหรือไม่?” ลู่เฉินรู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย แต่นักรบภูตเหล่านั้นต่างก็ร้องขอให้ลู่เฉินปล่อยตนไป
ลู่เฉินชำเลืองมองคนเหล่านั้นแล้วเอ่ยว่า “ในที่นี้ พวกเจ้ายังมีคนอื่น ๆ อยู่อีกหรือไม่?”
คนเหล่านั้นต่างก็มองหน้ากัน จนมีคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า “ยัง ยังมีผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่ง!”
“อยู่ที่ใด?” ลู่เฉินสงสัยว่าผู้อาวุโสคนนั้นจะสามารถเปลี่ยนเป็นรากวิญญาณใดได้อีก จากนั้นคนเหล่านั้นก็ชี้ไปยังยอดเขา
เมื่อลู่เฉินเข้าใจแล้วจึงมองไปที่คนเหล่านั้นอีกครั้ง “ถ้าหากไม่อยากตาย จงซื่อสัตย์กับข้า”
ทุกคนต่างก็พยักหน้าตอบรับ
แต่ก่อนที่พวกเขาจะจากไปนั้น ลู่เฉินยังคงฝังอักขระยันต์หุ่นเชิดที่จำเป็นบางอย่างไว้ภายในร่างกายของพวกเขา จากนั้นจึงปล่อยพวกเขาไป
กุ๋ยเจี่ยจื่อก้าวออกมาข้างหน้าพลางกล่าวออกมาด้วยความตกตะลึง “ผู้อาวุโส ท่านนี่จริง ๆ เลย”
“ไปเถิด ไปพบผู้อาวุโสบนยอดเขานั่นเสียหน่อย”
“ท่าน ท่านจะไปจริง ๆ หรือ?”
“อะไรกัน? มีปัญหาใดหรือ?”
“นักรบภูตอาวุโสผู้นี้เป็นหนึ่งในสิบของผู้อาวุโสแห่งสำนักภูเขาภูต มีพลังมหาศาลและน่ากลัวมาก!” เพียงแค่กุ๋ยเจี่ยจื่อหวนคิดไปถึงคนผู้นั้นก็รู้สึกเนื้อตัวสั่นเทิ้มขึ้นมา แต่ลู่เฉินกลับเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา “ข้าจะรอดูเสียหน่อยว่าเป็นคนเช่นไร”
กุ๋ยเจี่ยจื่อสับสนขึ้นมา แต่เขาก็จำต้องขึ้นภูเขาไปพร้อมกับลู่เฉิน
เช่นนี้แล้ว ทั้งสองจึงมาถึงยอดเขา
บนยอดเขาแห่งนี้มีพื้นที่ มีค่ายกล และมีหน้าผา
บริเวณด้านข้างของริมหน้าผานี้มีผู้คนนั่งอยู่มากมาย แต่ละคนที่นั่งอยู่ในบริเวณนี้มีท่าทางราวกับรูปปั้นอย่างไรอย่างนั้น ขณะเดียวกัน บนศีรษะของคนเหล่านี้ยังมีภาพเสมือนสีขาวอยู่ภาพหนึ่ง
ภาพเสมือนสีขาวนั้นเป็นโครงกระดูกส่วนหนึ่ง
“นั่นคือสิ่งใด?” ลู่เฉินมองไปยังภาพเสมือนนั้นพลางเอ่ยถาม กุ๋ยเจี่ยจื่อจึงตอบออกมาด้วยความตื่นเต้น “ภาพเสมือนของโครงกระดูกศักดิ์สิทธิ์!”
“ภาพเสมือนโครงกระดูกศักดิ์สิทธิ์?”
“ใช่ พวกเราทุกคนเมื่อเข้าร่วมสำนักภูเขาภูต ต่างก็ต้องสาบานต่อหน้าโครงกระดูกศักดิ์สิทธิ์ว่าจะภักดีต่อสำนักภูเขาภูต และสิ่งนี้กับโครงกระดูกศักดิ์สิทธิ์นั้นต่างก็เหมือนกัน เพียงแค่เป็นภาพเสมือนเท่านั้น” กุ๋ยเจี่ยจื่อตอบ
ลู่เฉินจ้องไปยังภาพเสมือนเหล่านั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพึมพำออกมา “ดูเหมือนว่ารากวิญญาณคงจะได้รับผลกระทบจากมัน จึงสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงได้มากมายเช่นนี้!”
ขณะที่ลู่เฉินกำลังรู้สึกถึงความแปลกใหม่อยู่นั้น น้ำเสียงเคร่งขรึมก็ดังขึ้นมากลางอากาศ “ช่างกล้ายิ่งนัก! กล้านำคนนอกเข้ามาที่แห่งนี้ได้!”
กุ๋ยเจี่ยจื่อพลันหวาดกลัวขึ้นมา ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี
และในขณะนั้นเอง บนท้องฟ้าได้ปรากฏเงาร่างของคนผู้หนึ่งขึ้นมา
คนผู้นี้คือชายชราคนหนึ่ง ด้านหลังแบกโลงศพหินสีฟ้าอ่อนไว้ มือขวาถือไม้เท้าสีดำ ขณะเดียวกันผมบนศีรษะนั้นดูกระเซอะกระเซิง ดวงตาทั้งสองดูพร่ามัว ดูราวกับวิญญาณร่อนเร่พเนจร
เมื่อเห็นคนผู้นี้ ลำคอของกุ๋ยเจี่ยจื่อดูติดขัดขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น หวาดกลัวจนต้องไปยืนหลบอยู่ด้านหลังลู่เฉิน ไม่กล้าแม้แต่จะเผชิญหน้ากับชายชราผู้นี้ตรง ๆ แต่เขายังคงแนะนำคนผู้นี้ให้ลู่เฉินรู้จัก “เขา เขาก็คือผู้อาวุโสผู้นั้น ชิง ชิงเฟิง ชิงเฟิงหมิง”
ลู่เฉินมองไปยังผู้ที่ถูกเรียกว่าชิงเฟิงหมิง เขามีรากวิญญาณสวรรค์ระดับหกดาว ขณะเดียวกันนั้น ขั้นพลังยังอยู่ในขั้นก่อกำเนิดระดับสมบูรณ์พร้อม แต่อีกฝ่ายก็เป็นผู้ฝึกตนสองวิถี บางครั้งร่างกายก็ถูกล้อมไปด้วยไอภูตผี
“เจ้าหนุ่ม ช่างกล้ายิ่งนัก ถึงได้มาก่อกวนถึงที่นี่!” ชิงเฟิงหมิงกล่าวจบจึงมองมายังลู่เฉินจากระยะไกลด้วยสายตาแค้นเคือง แต่ลู่เฉินเพียงแค่ยิ้มออกมา “เจ้าคือหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักภูเขาภูตงั้นหรือ?”
“ใช่ สำนักภูเขาภูต ชิงเฟิงหมิง! ผู้ดูแลหน้าผาภูตแห่งนี้!” คนผู้นี้เอ่ยถึงสถานะของตนอย่างชัดเจน
ลู่เฉินพยักหน้าพลันเอ่ยถามว่า “ภายในนี้เป็นคนของสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด?”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าหรือ?” ชิงเฟิงหมิงเบิกตากว้างพลางย้อนถาม ลู่เฉินจึงยิ้มตอบ “ข้าตามหาคนของสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะอู่เหยียนผู้นั้น”
เมื่อได้ยินดังนั้น ชิงเฟิงหมิงจึงเอ่ยด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าหนุ่ม เจ้าคิดว่าตนเองนั้นมีอายุยืนยาวมากอย่างนั้นหรือ?”
“มีปัญหาใดหรือ?”
“ข้ายังไม่ได้ถามเรื่องใด และยังไม่ได้กล่าวโทษเจ้า แต่เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงถามหาสิ่งนี้ทีสิ่งนั้นที! เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน?” ชิงเฟิงหมิงรู้สึกว่าลู่เฉินแทบจะไม่ได้สนใจตนเลยแม้แต่น้อย จึงรู้สึกบันดาลโทสะขึ้นมา
ชายหนุ่มกลับตอบเพียงสั้น ๆ ว่า “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า วางใจเถิด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น กุ๋ยเจี่ยจื่อก็พลันรู้สึกสับสนขึ้นมา
ชิงเฟิงหมิงโมโหจนกระแทกไม้เท้าในมือขวาลงอย่างแรง เพียงไม่นาน ไอภูตผีมากมายก็แผ่กระจายออกมาจากร่างกาย ไอภูตผีเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นเถาวัลย์พันล้อมลู่เฉินไว้ ไม่เปิดโอกาสให้เขาสามารถหนีออกไปได้
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า กุ๋ยเจี่ยจื่อจึงหวาดกลัวขึ้นมา “นายท่าน ท่าน”
ลู่เฉินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เพียงแค่เถาวัลย์ไม่กี่เส้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากนัก!”
แต่ชิงเฟิงหมิงกลับหัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้าหนุ่ม เจ้าถูกข้ากักขังไว้ ยังกล้าเพียงนี้เชียวหรือ?”
“กักขัง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำลายข้าได้?” ลู่เฉินตอบกลับอย่างไม่ไยดี แต่ชิงเฟิงหมิงกลับยิ้มประหลาดออกมา “ตราบใดที่ข้าต้องการ ข้าก็สามารถทำให้ร่างของเจ้าให้แหลกสลายลงได้ในพริบตาเดียว!”
“โอ้? เจ้าน่ะหรือ?” ลู่เฉินยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
ชิงเฟิงหมิงทนต่อความหยิ่งทะนงของลู่เฉินไม่ไหว จึงตะโกนขึ้นมาด้วยความโมโห “ไปตายซะ!”