ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 273 การคุกคามของเหล่านักรบภูต!
บทที่ 273 การคุกคามของเหล่านักรบภูต!
เมื่อกุ๋ยเจี่ยจื่อได้ยินคำถามดังกล่าว เขาจึงถอนหายใจออกมาพลางเอ่ยว่า “พวกเราต่างก็ถูกจับมา และไม่รู้ว่าเข้ามาได้อย่างไร ส่วนเรื่องที่จะออกไปนั้น ข้าก็ไม่ทราบได้ เพราะแต่ไหนแต่ไรมานั้น ข้าไม่เคยผ่านการประเมินใด ๆ มาก่อน”
“ประเมิน? ประเมินสิ่งใดกัน?” ลู่เฉินมองไปยังกุ๋ยเจี่ยจื่อด้วยความประหลาดใจ
กุ๋ยเจี่ยจื่อจึงอธิบายออกมา “ที่แห่งนี้มีการประเมินหลายอย่าง เช่น ประเมินเพื่อที่จะผ่านการเข้าออก ประเมินเพื่อที่อยากจะไปฝึกฝน หรือว่าการประเมินหากคิดอยากเข้าพบอาจารย์ และยังมีอีกมากมาย”
“แม้แต่การฝึกฝนยังต้องผ่านการประเมินหรือ?”
“อืม คนที่ผ่านการประเมินนั้น จึงจะสามารถฝึกฝนได้ ทว่าหากไม่ผ่านก็ทำได้เพียงแค่คอยลาดตระเวรอยู่ตามจุดเข้าออกเท่านั้น เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดเข้ามายังสำนักภูเขาภูตของเราได้”
เมื่อลู่เฉินได้ฟังเช่นนั้นจึงแปลกใจ “มีทางเข้าออกกี่เส้นทางกัน?”
“ได้ยินว่ามีหลายเส้นทาง แต่ที่ข้ารับผิดชอบนั้นมีเพียงทางเดียว” กุ๋ยเจี่ยจื่อตอบ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลู่เฉินจึงตกอยู่ในความครุ่นคิดอีกครั้ง “ดูเหมือนว่าทางเข้าของภูเขาภูตผีแห่งแดนทักษิณานี้ไม่ได้มีเพียงแค่สุสานราชวงศ์หนานโยวแห่งเดียวเท่านั้น!”
กุ๋ยเจี่ยจื่อไม่รู้ว่าลู่เฉินกำลังพูดถึงสิ่งใด ดังนั้นเขาจึงมองลู่เฉินด้วยความแปลกใจ “นายท่าน เหตุใดท่านจึงมายังสำนักภูเขาภูตนี้?”
ลู่เฉินยิ้ม “ตามหาอู่เหยียน”
“คนผู้นั้นนับว่าไม่ง่ายนัก” กุ๋ยเจี่ยจื่อตอบกลับ ลู่เฉินจึงแปลกใจ “โอ้? ไม่ง่ายงั้นหรือ?”
“อืม เขาผ่านการประเมินเข้ามา และผลการประเมินนั้นนับว่าดีมาก จากนั้นจึงถูกเจ้าสำนักภูเขาภูตส่งไปฝึกฝนยังแดนต้องห้ามแทนที่จะส่งไปยังหน้าผาภูต” กุ๋ยเจี่ยจื่อตอบ
“หืม? มีเช่นนี้ด้วยหรือ?”
“ใช่ เมื่อตอนที่สำนักภูเขาภูตเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ทุกคนจึงได้รู้เรื่องของเขา มิเช่นนั้น หากท่านถามข้าถึงผู้อื่นในสำนักภูเขาภูต ข้าก็ไม่อาจบอกนามของเขาจริง ๆ ได้ ยิ่งพวกเขาไปทำอะไร ณ ที่แห่งใด ข้าก็ไม่อาจทราบได้” กุ๋ยเจี่ยจื่ออธิบาย
เมื่อลู่เฉินเข้าใจแล้วจึงพึมพำออกมา “น่าสนใจนัก!”
กุ๋ยเจี่ยจื่อคิดว่าเมื่อลู่เฉินได้ฟังเรื่องที่ตนเล่าออกไปมากมายนั้นคงจะรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาบ้าง ดังนั้นเขาจึงพูดต่อ “นายท่าน ท่านก็เห็นแล้วว่าสำนักภูเขาภูตนี้เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด โดยเฉพาะหน้าผาภูตนั่น”
“เพียงนำทางไปก็พอ” จบคำพูดของลู่เฉิน กุ๋ยเจี่ยจื่อก็รู้สึกผวาขึ้นมา “นายท่าน นักรบภูตบนภูเขาแห่งนั้นน่ากลัวยิ่งนัก”
“วางใจเถิด พวกเขาทำอะไรข้าไม่ได้” ลู่เฉินพูดจบก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก ส่วนกุ๋ยเจี่ยจื่อนั้น เมื่อหวนคิดไปถึงนักรบภูตก็รู้สึกอึดอัดไปทั่วร่าง แต่หากจะไม่นำทางไปนั้นก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน
จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา ลู่เฉินก็มาถึงเชิงเขาแห่งหนึ่ง รอบ ๆ ภูเขานี้มีไอภูตผีอยู่หนาแน่น แม้จะเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนแต่ก็สามารถไม่สามารถมองเห็นออกไปได้เกินระยะสิบก้าว
ส่วนกุ๋ยเจี่ยจื่อที่อยู่อีกด้านหนึ่งกลับพูดขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว “ดูสิ แม้แต่เงาร่างผู้คนก็มองไม่เห็น”
“หน้าผาภูตนี้อยู่ด้านบนนั้นหรือ?”
“อืม” กุ๋ยเจี่ยจื่อขานรับ ลู่เฉินจึงเผยยิ้มออกมา “ไปเถอะ”
กุ๋ยเจี่ยจื่ออดไม่ได้ที่จะก้าวตามลู่เฉินเพื่อขึ้นไปยังภูเขาแห่งนี้
แต่เมื่อเดินออกไปได้ประมาณสิบกว่าก้าว รอบข้างก็เกิดเสียงเคลื่อนไหวจากบางสิ่ง และเสียงนั้นก็ค่อย ๆ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทำให้กุ๋ยเจี่ยจื่อหวาดกลัวขึ้นมา “มาแล้ว นักรบภูตมาแล้ว”
ลู่เฉินมองไปยังต้นกำเนิดของเสียงนี้ จนกระทั่งครู่หนึ่ง ร่างที่แผ่กระจายไอภูตนี้ก็ปรากฏตัวออกมา
คนผู้นี้เหมือนกับกุ๋ยเจี่ยจื่อไม่ผิดเพี้ยน ทั่วทั้งใบหน้าเป็นสีขาวซีด แต่ไอภูตบนร่างกายกลับมีความหนาแน่นมากกว่า และด้านหลังนั้นได้แบกโลงศพไว้ ดูแล้วไม่ง่ายนัก
กุ๋ยเจี่ยจื่อกระซิบเบา ๆ ออกมา “ระวังโลงศพนั่น”
“มีอะไรพิเศษหรือ?”
“โลงศพนั่นสามารถทำให้พวกเขาน่ากลัวมากยิ่งขึ้น” กุ๋ยเจี่ยจื่อตอบกลับ และในขณะนั้นเอง คนผู้นั้นกลับเอ่ยออกมา พลางจ้องมองไปยังกุ๋ยเจี่ยจื่อที่สวมหน้ากากเดินนำมา “เจ้าไม่ลาดตระเวน แต่กลับนำคนนอกเข้ามาที่นี่?”
“คือว่า…” กุ๋ยเจี่ยจื่อไม่รู้จะอธิบายเช่นไร คนผู้นั้นจึงตะโกนขึ้นมา “ทรยศสำนักภูเขาภูต สมควรตาย!”
อีกฝ่ายพูดจบก็ฟาดฝ่ามือขึ้นไปบนอากาศ สำแดงเงาฝ่ามือสีดำออกมาและพุ่งไปยังกุ๋ยเจี่ยจื่อ
ลู่เฉินเห็นเช่นนั้นจึงเริ่มเคลื่อนไหว เพื่อให้เงาฝ่ามือสีดำนั้นพุ่งเข้าสู่ร่างของตนอย่างอิสระ กุ๋ยเจี่ยจื่อเห็นเช่นนั้นจึงตกตะลึงขึ้นมา “ช่างเก่งกาจนัก”
นักรบภูตนั้นเดิมทีคิดว่าลู่เฉินอ่อนแอ เพียงแค่จัดการกุ๋ยเจี่ยจื่อให้เรียบร้อย จากนั้นจึงค่อยจัดการลู่เฉินต่อ
ทว่าผู้ใดจะคิดว่าลู่เฉินกลับแข็งแกร่งมากกว่าที่คิด
จึงทำให้นักรบภูตมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “เจ้าคือใคร เหตุใดจึงไม่เกรงกลัวต่อการโจมตีของข้า!”
“เพราะเคล็ดวิชาภูตของเจ้านั้นไม่แข็งแกร่งพอ” ลู่เฉินยิ้ม นักรบภูตจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “แม้ว่าเคล็ดวิชาภูตของข้าจะไม่แข็งแกร่ง แต่สำหรับการจัดการกับผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานนั้น นับว่าไม่ใช่ปัญหา”
“ยังอ่อนแอมากนัก!” ประโยคของลู่เฉินกลับกระตุ้นนักรบภูตผู้นี้ ทำให้นักรบภูตเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “รอก่อนเถิด เจ้าจะไม่คิดเช่นนั้น!”
ครั้นเอ่ยจบ อีกฝ่ายจึงหันไปยังทิศทางของโลงศพ ไอภูตผีรอบด้านพลันหลั่งไหลเข้ามาทันที
เพียงไม่นาน โลงศพนี้ก็เกิดแสงสีดำสว่างวาบออกมา จากนั้นกลิ่นอายของนักรบภูตผู้นี้ก็เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นมาทันที
ไม่เพียงเท่านั้น ลู่เฉินยังพบว่ารากวิญญาณของเขาเปลี่ยนจากห้าดาวเป็นแปดดาว และยังเป็นธาตุมืดแปดดาวเสียด้วย
นี่จึงทำให้ลู่เฉินรู้สึกพึงพอใจจนเผยยิ้มออกมา “ดีมาก!”
“ดีมาก?” อีกฝ่ายจ้องมองมายังลู่เฉินด้วยความประลาดใจ
ลู่เฉินจึงแสยะยิ้มออกมา “มาเถิด!”
“เจ้าคิดจริง ๆ หรือ ว่าข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้?” คนผู้นี้คิดว่าลู่เฉินนั้นดูเกรี้ยวกราดเกินไป ส่วนกุ๋ยเจี่ยจื่อที่อยู่ด้านหลังลู่เฉินนั้นพูดขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว “ไอภูตผีหนาแน่นมาก!”
ขณะนั้นเดียวกัน พลังของนักรบภูตก็เพิ่มมากขึ้น จากนั้นจึงสำแดงเคล็ดวิชาภูตที่แข็งแกร่งออกมา
เมื่อเห็นฝ่ามือที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่หลายสิบเท่าที่พุ่งโจมตีไปยังร่างกายของลู่เฉิน จึงทำให้นักรบภูตคิดว่าจะทำให้จิตวิญญาณของลู่เฉินแตกสลายไปได้อย่างง่ายดาย
แต่สิ่งที่ทำให้นักรบภูตคิดไม่ถึงก็คือ ลู่เฉินกลับไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ และยังเผยรอยยิ้มออกมา “ยังอ่อนแออยู่นัก”
“ว่าอย่างไรนะ?” นักรบภูตตกตะลึง ส่วนกุ๋ยเจี่ยจื่อนั้นเอ่ยด้วยความตกใจ “ช่างเก่งกาจนัก!”
นักรบภูตรู้สึกไม่พอใจเท่าใดนักจึงลงมือต่อไป แต่ผลกลับออกมาเช่นเดิม ไม่ว่านักรบภูตจะใช้เคล็ดวิชาภูตใด ๆ ก็ไม่สามารถทำให้ลู่เฉินบาดเจ็บได้ นักรบภูตจึงถอนหายใจออกมา “เช่นนั้น ข้าคงไม่ต้องใช้เคล็ดวิชาภูตแล้ว!”
นักรบภูตเปลี่ยนไปใช้พลังปราณแทน แสดงเคล็ดวิชาออกมาเป็นเงาลูกศรสีดำ และเงาศรสีดำนี้ก็พุ่งออกไป
เมื่อสายตาหันไปเห็นเงาร่างศรเหล่านี้กำลังพุ่งโจมตีมายังตน ลู่เฉินจึงเปิด ‘กำแพงพันชั้น’ ออกมา ทำให้การโจมตีของอีกฝ่ายทำลายกำแพงไปเพียงสิบกว่าชั้นเท่านั้น
“นี่…!” นักรบภูตตกตะลึงขึ้นมา เขาคาดไม่ถึงว่าลู่เฉินที่เป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ชายหนุ่มแสยะยิ้มออกมา “ควรยอมแพ้หรือยัง?”
“ยอมแพ้หรือ? เจ้าฝันไปเถิด!” เห็นได้ชัดว่านักรบภูตนี้ไม่คิดยอมแพ้ แต่เถาวัลย์ของลู่เฉินได้พันรัดเขาไว้อย่างรวดเร็ว ทำให้เขาไม่สามารถตอบโต้ใด ๆ ได้
เมื่ออีกฝ่ายได้รู้ถึงความแข็งแกร่งของลู่เฉิน จึงพูดด้วยความร้อนใจขึ้นมา “ถ้าหากเจ้าสังหารข้า นักรบภูตคนอื่น ๆ ในภูเขาแห่งนี้จะสามารถสัมผัสได้”
“หากไม่สังหารเจ้าล่ะ?”
“หากไม่สังหารข้า พวกเขาก็รับรู้ได้เช่นกัน!” คนผู้นี้กล่าวข่มขู่ลู่เฉิน และรอบข้างก็เกิดเสียงบางอย่างค่อย ๆ ดังขึ้นมา
กุ๋ยเจี่ยจื่อจึงตกอยู่ในความหวาดกลัว “หนึ่ง สอง สาม….”
เสียงรอบ ๆ ข้างยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ลู่เฉินกลับไม่สนใจใด ๆ เพียงจ้องมองไปยังนักรบภูตผู้นั้น “หากเจ้าไม่ยอมแพ้ ตอนนี้ข้าก็จำเป็นต้องสังหารเจ้า!”
พูดจบ หนามแหลมคมบนเถาวัลย์ของลู่เฉินก็ทิ่มแทงเข้าไปยังร่างกายของเขา ทำให้นักรบภูตหวาดกลัวจนตื่นตระหนกขึ้นมา “ข้า ข้ายอมแพ้!”
สร้างรากฐานครั้งที่เจ็ดสิบสี่สำเร็จ ยังขาดอีกเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น
แต่สิ่งที่ทำให้ลู่เฉินแปลกใจมากที่สุดก็คือ เขาเจอบางสิ่งที่น่าสนใจภายในร่างของนักรบภูตนี้ จึงเข้าใจความลับบางอย่างว่าเหตุใดนักรบภูตนี้จึงเป็นผู้ฝึกตนสองวิถีได้
แต่มีนักรบภูตจำนวนมากอยู่รอบ ๆ นั่นจึงทำให้กุ๋ยเจี่ยจื่อหวาดกลัวขึ้นมา “นายท่าน จบเห่แล้ว!”