ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 272 นักรบภูตที่มีรากวิญญาณไม่แน่นอน!
บทที่ 272 นักรบภูตที่มีรากวิญญาณไม่แน่นอน!
เมื่อเห็นปฏิกิริยาที่ตอบสนองกลับมาจากคนเหล่านี้ ลู่เฉินจึงเผยยิ้มออกมาพลางเอ่ยว่า “อะไรกัน? มีปัญหาหรือ?”
คนเหล่านี้ต่างไม่กล้าพูดออกมา
ชายหนุ่มเผยยิ้มเย็นชา “อันใดกัน? หรืออยากให้ข้าลงมือ?”
ผู้นำคนนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดขัด “มะ…ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ยอมพูด แต่เรื่องนี้เป็นความลับ หากพวกเราพูดออกไปก็จะกลายเป็นกองกระดูกได้”
“กลายเป็นกองกระดูก?” ลู่เฉินแปลกใจว่าอีกฝ่ายหมายความเช่นไร ผู้นำจึงเอ่ยออกมาด้วยท่าทีตื่นตระหนก “พวก พวกเราทุกคน ยามเมื่อเข้าร่วมสำนักภูเขาภูต ได้สาบานต่อกระดูกศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักภูเขาภูตว่าจะไม่ทรยศสำนักภูเขาภูต มิเช่นนั้นจะถูกกระดูกศักดิ์สิทธิ์กลืนกินชีวิตและจิตวิญญาณไป จนสุดท้ายกลายเป็นเพียงกองกระดูกเท่านั้น”
คนอื่น ๆ ต่างก็แสดงท่าทีเช่นนี้
แต่ลู่เฉินกลับรู้สึกสงสัย เขาจึงก้าวออกไปข้างหน้า ยื่นมือข้างหนึ่งไปจับหัวไหล่ของผู้นำคนนั้น ทำให้คนผู้นั้นหวาดกลัวขึ้นมา “เจ้า เจ้าคิดจะทำสิ่งใด?”
ลู่เฉินไม่สนใจ แต่กลับแทรกจิตเข้าไป
เมื่อลู่เฉินอยู่ภายในร่างกายของคนผู้นี้ กลับพบอักขระยันต์แปลกประหลาดอยู่สองแบบ อันหนึ่งอยู่บริเวณจุดตันเถียน ส่วนอีกอันหนึ่งอยู่บริเวณศีรษะ และอักขระยันต์แปลกประหลาดทั้งสองนี้ต่างก็มีพลังกลืนกินที่แข็งแกร่งมาก
อันหนึ่งเป็นอักขระยันต์กลืนกินเนื้อกาย ส่วนอีกอันหนึ่งกลืนกินจิตวิญญาณ
ดังนั้นหลังจากที่ลู่เฉินทำลายอักขระยันต์ทั้งสองอย่างรวดเร็วแล้ว เขาจึงเก็บมือเข้ามาพลางเอ่ยถามคนผู้นั้นด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามีนามว่าอย่างไร?”
“ข้า ข้ามีนามว่ากุ๋ยเจี่ยจื่อ”
“กุ๋ยเจี่ยจื่อ? นามนี้…” ลู่เฉินรู้สึกสงสัยว่าเหตุใดนามนี้จึงได้รับมาง่ายเพียงนี้ อีกฝ่ายจึงพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกว่า “หลังจากที่พวกเรามาที่นี่ ทุกคนจะได้รับนามใหม่ ส่วนนามเดิมนั้นจะไม่ถูกใช้อีกต่อไป”
เมื่อลู่เฉินเข้าใจแล้วจึงมองเขาด้วยรอยยิ้ม “พลังที่สามารถทำให้เจ้ากลายเป็นกองกระดูกไปได้นั้น ข้าได้ทำลายไปแล้ว”
“ทำลายแล้ว?” กุ๋ยเจี่ยจื่อไม่เชื่อ ลู่เฉินจึงเก็บเถาวัลย์กลับมา จากนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หากไม่เชื่อ เจ้าก็ลองดู”
“ลองเช่นไร?” กุ๋ยเจี่ยจื่อรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา คนอื่น ๆ ต่างก็มองกุ๋ยเจี่ยจื่อด้วยความประหลาดใจ ราวกับว่ากำลังรอเขา ‘ตาย’ อย่างไรอย่างนั้น
“พูดมาเถิด อู่เหยียนผู้นั้น เขาอยู่ที่ใด!” ลู่เฉินเอ่ยปากถามคำถามแรกอย่างตรงไปตรงมา
กุ๋ยเจี่ยจื่อรู้สึกหวาดกลัว “ข้า ข้าไม่สามารถบอกได้!”
“โอ้? จริงหรือ?” ลู่เฉินตอบกลับเพียงสั้น ๆ กลับทำให้กุ๋ยเจี่ยจื่อหวาดกลัว “ข้า ข้าไม่สามารถพูดได้จริง ๆ!”
ลู่เฉินมีท่าทีเย็นชาขึ้นมา “หากเจ้าไม่พูด ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นกองกระดูกเสียตอนนี้!”
กุ๋ยเจี่ยจื่อสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ลู่เฉินจึงปลดหน้ากากวัวของอีกฝ่ายออก แสดงให้เห็นใบหน้า ‘อ่อนวัย’ ที่เต็มไปด้วยจุดด่างดำเต็มไปหมด และภายใต้จุดด่างดำนั้นเป็นผิวขาวผุดผ่องราวกับหิมะ ซึ่งทำให้ดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
“ว่ามาเถิด!” ลู่เฉินนำหน้ากากนั้นขึ้นมาดูและจ้องมองไปยังกุ๋ยเจี่ยจื่อ อีกฝ่ายจึงทำได้เพียงหลับตาลงและตะโกนออกมา “เขา เขาไปยังสถานที่ต้องห้ามของสำนักภูเขาภูต!”
ทุกคนต่างคิดว่ากุ๋ยเจี่ยจื่อจะกลายเป็นกองกระดูกไปในทันที
แต่ใครจะคาดคิดว่ากลับไม่เกิดอะไรขึ้นกับกุ๋ยเจี่ยจื่อ
ส่วนกุ๋ยเจี่ยจื่อนั้น หลังจากพูดออกไปแล้วกลับรู้สึกว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ เขาจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น สัมผัสไปทั่วใบหน้าและแขนทั้งสองข้าง เมื่อพบว่าตนยังมีชีวิตอยู่ จึงแสดงความดีอกดีใจออกมา “ข้ายังไม่ตาย ข้ายังไม่ตาย!”
ลู่เฉินยิ้ม “ข้าบอกแล้วว่าจะไม่ตายก็คือไม่ตาย!”
กุ๋ยเจี่ยจื่อดีใจ ส่วนคนอื่น ๆ ต่างก็มองไปยังลู่เฉิน บางคนถึงกับขอร้องออกมา “เจ้า เจ้าช่วยพวกเราด้วย!”
“ใช่ ช่วยพวกเรา ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็ยินดีช่วยเจ้า!”
จากนั้นคนเหล่านี้ต่างก็ร้องขอความช่วยเหลือจากลู่เฉิน ลู่เฉินจึงมองพวกเขาด้วยแววตาแปลกใจ “หรือว่า พวกเจ้าก็ไม่ได้ยินดีที่จะเข้าร่วมสำนักภูเขาภูตนี้?”
กุ๋ยเจี่ยจื่ออธิบายออกมาด้วยความตื่นเต้น “พวกเราต่างก็ถูกจับมา และเมื่อภักดีต่อสำนักภูเขาภูต นับแต่นั้นก็ไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้อีกต่อไป!”
“ไม่มีโอกาสออกไป?”
“ตอนนี้ พวกเราอยู่ที่นี่มาหลายร้อยปีแล้ว มีผู้อาวุโสที่อยู่มานานนับพันปีก็ไม่สามารถออกไปได้” กุ๋ยเจี่ยจื่อตอบ ลู่เฉินไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น จึงทำลายอักขระยันต์ให้คนอื่น ๆ ทีละคน
แต่เพื่อป้องกันไม่ให้คนพวกนี้หลอกลวงเขา เขาจึงฝังยันต์หุ่นเชิดเข้าไปแทน
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ลู่เฉินจึงปล่อยคนพวกนั้น และจ้องมองไปยังกุ๋ยเจี่ยจื่อและคนอื่น ๆ “ผู้มากความสามารถคนอื่น ๆ ของสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ล่ะ?”
กุ๋ยเจี่ยจื่อจึงตอบกลับไปว่า “ผู้มากความสามารถคนอื่น ๆ พวกนั้น ต่างก็ฝึกฝนอยู่ที่หน้าผาภูตในสำนักภูเขาภูตนี้”
“หน้าผาภูต?”
“ใช่ ที่นั่นมีสถานที่มหัศจรรย์อยู่ที่หนึ่ง เพียงแค่เข้าไปฝึกฝน ก็จะสามารถฝึกเคล็ดวิชาภูตได้อย่างแข็งแกร่ง”
ลู่เฉินสงสัยทันที “คนของสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์มาที่นี่เพื่อฝึกเคล็ดวิชาภูต?”
“หลังจากพวกเขามาที่นี่ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของรากวิญญาณ ขณะเดียวกันพลังปราณภายในร่างกายก็จะกลายเป็นไอภูตผี จากนั้นจะเป็นผู้ฝึกตนสองวิถี!” กุ๋ยเจี่ยจื่อตอบกลับ เมื่อลู่เฉินได้ฟังจึงยิ้มออกมา “ผู้ฝึกตนสองวิถี?”
“ใช่!” กุ๋ยเจี่ยจื่อพยักหน้าตอบ คนอื่น ๆ ต่างก็มีท่าทีเช่นเดียวกัน
ลู่เฉินจึงถามขึ้นมาอีกครั้ง “เช่นนั้น สถานที่ต้องห้ามนั่น?”
“สถานที่ต้องห้ามนี้ อยู่ในภูเขาฝั่งตรงข้ามหน้าผาภูต” กุ๋ยเจี่ยจื่อตอบ
“นำทางข้าไปยังหน้าผาภูต” ครั้นลู่เฉินเอ่ยจบ กุ๋ยเจี่ยจื่อก็มีท่าทีตื่นตระหนกขึ้นมา “ผู้อาวุโส ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากนำทางไป แต่หน้าผาภูตนั้นมีความแปลกประหลาดมาก”
“แปลกประหลาดเช่นไร?”
“ที่นั่น มีนักรบภูตอยู่มาก!”
“นักรบภูต?” ลู่เฉินแปลกใจว่าสิ่งใดคือนักรบภูต และเมื่อคนเหล่านั้นค่อย ๆ อธิบายออกมา ลู่เฉินจึงรู้ว่าคนพวกนี้ก็คือศิษย์ผู้ฝึกตนสองวิถีของสำนักภูเขาภูต แต่ศิษย์เหล่านี้มีพลังยุทธ์ที่ค่อนข้างพิเศษ บางครั้งก็ขั้นสร้างรากฐาน บางครั้งก็ขั้นหลอมแก่นแท้ หรือแม้กระทั่งอาจเป็นขั้นก่อกำเนิด
ดังนั้นคนพวกนี้จึงถูกเรียกว่า นักรบภูตที่มีพลังยุทธ์ไม่แน่นอน
ทว่าลู่เฉินกลับไม่สนใจเรื่องนี้ “ที่นี่มีสิ่งใด?”
“ผู้อาวุโส ท่านไม่รู้หรือว่าคนพวกนั้นมีรากวิญญาณที่ไม่แน่นอน!”
“รากวิญญาณที่ไม่แน่นอน?” แววตาของลู่เฉินเป็นประกายขึ้นมาทันที เพราะตอนนี้เขายังขาดรากวิญญาณแปดดาวและเก้าดาว รวมถึงรากวิญญาณลมมืดและฟ้าร้องแปดส่วน
หากหาคนพวกนี้พบ ทำให้พวกเขายอมแพ้ตนได้ เช่นนั้นการฝึกฝนขั้นสร้างรากฐานครั้งที่แปดสิบเอ็ดของตนก็จะสำเร็จได้โดยง่าย
คนพวกนั้นไม่รู้ว่าลู่เฉินกำลังคิดสิ่งใด แต่ละคนจึงพูดถึงสิ่งที่น่าหวาดกลัวออกมา
โดยเฉพาะกุ๋ยเจี่ยจื่อที่กล่าวว่า “อย่างเช่น หากท่านต่อสู้กับพวกเขา คนพวกนี้จะเปลี่ยนเป็นรากวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้นมาทันที แต่ละครั้งจะกินระยะเวลาหนึ่งก้านธูป หรือหนึ่งถ้วยชา”
“ใช่ นักรบภูตพวกนั้นไม่ใช่คน!”
“เพียงแค่คิดก็น่าหวาดกลัวแล้ว!”
เมื่อได้ฟังเรื่องเหล่านี้ ลู่เฉินกลับยิ้มและมองไปยังพวกเขา “จะน่ากลัวหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของข้า ส่วนพวกเจ้า พยายามนำทางไปก็พอ!”
ทุกคนพลันมองหน้ากัน
แต่ลู่เฉินเกิดความสงสัยขึ้นมาจึงเอ่ยถามว่า “หรือเพียงแค่เขานำทางข้าไปคนเดียวก็พอ พวกเจ้าและคนอื่น ๆ จงสวมหน้ากากต่อไป ซ่อนตัวอยู่ภายในสำนักภูเขาภูตนี้!”
“หลบซ่อน?” ทุกคนมองหน้ากัน ลู่เฉินมักจะเหลือสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองไว้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงให้พวกเขาทำราวกับว่าไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น
ส่วนลู่เฉินนั้นได้เดินตามกุ๋ยเจี่ยจื่อไปเพียงลำพัง
ขณะที่กำลังเดินทางนั้น กุ๋ยเจี่ยจื่อพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นขึ้นมา “นายท่าน เหตุใดจึงเลือกข้า?”
“หรือว่า เจ้าไม่อยากแข็งแกร่งขึ้นงั้นหรือ?” ลู่เฉินมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม กุ๋ยเจี่ยจื่อจึงย้อนถามด้วยความแปลกใจ “แข็งแกร่งขึ้น?”
“อืม!” ลู่เฉินขานรับ
กุ๋ยเจี่ยจื่อจึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา “ข้าอยากแข็งแกร่งขึ้น!”
ลู่เฉินจึงยิ้มออกมา “เพียงแค่เจ้าช่วยข้า ข้าก็จะช่วยเจ้าเพิ่มพลังยุทธ์!”
“เพิ่ม?” กุ๋ยเจี่ยจื่อเชื่อแต่ก็ยังคงสงสัย
ลู่เฉินพยักหน้า แต่กุ๋ยเจี่ยจื่อได้ถูกฝังยันต์หุ่นเชิดเข้าไปแล้ว เขาจึงทำได้เพียงเลือกที่จะช่วยเหลือลู่เฉิน ดังนั้นจึงตอบกลับอย่างว่าง่าย “นายท่าน ท่านพูดมาเถิด ข้าจำเป็นต้องทำอย่างไร!”
“เล่าเรื่องสำนักภูเขาภูตนมาก่อน!”
“สำนักภูเขาภูต?”
“อันดับแรก พวกเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร ทางออกอยู่ที่ใด? คนเช่นไรจึงจะสามารถออกไปจากภูเขาภูตได้!” ลู่เฉินค่อย ๆ ถามออกมา