ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 271 ข้าก็เพียงแค่ตามหาคนผู้หนึ่ง ทำไมหรือ?
บทที่ 271 ข้าก็เพียงแค่ตามหาคนผู้หนึ่ง ทำไมหรือ?
เมื่อเห็นรอยร้าวที่เป็นช่องว่างนี้มีลักษณะราวกับดวงตา แต่มีขนาด ‘ใหญ่’ กว่า และมีความยาวประมาณช่วงลำแขน มีความกว้างช่วงตรงกลางทั้งสองด้านค่อนข้างแคบ
ไม่เพียงเท่านั้น ภายในรอยร้าวนี้ยังมีเสียงลมกรรโชก ขณะเดียวกันยังมีไอภูตผีนับไม่ถ้วน ‘พุ่ง’ อยู่ภายในนั้น และดูมีความรุนแรงอย่างมาก
องค์จักรพรรดิไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้ ทำได้เพียงยืนห่างออกมาประมาณห้าก้าว และจ้องมองลู่เฉินพลางเอ่ยขึ้นมาด้วยความร้อนใจ “เจ้าอย่าไปเข้าใกล้อย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้น หากถูกมันดูดเข้าไปต้องแย่แน่!”
ชายหนุ่มไม่ได้สนใจเท่าใดนัก เขาเพียงจ้องมองรอยร้าวนี้อยู่เงียบ ๆ
ในขณะที่องค์จักรพรรดิเต็มไปด้วยความสงสัย “เหตุใดเขาจึงไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย?”
และในตอนนั้นเอง ลู่เฉินพลันยื่นมือออกมาวางลงไปบนรอยร้าวนั้น องค์จักรพรรดิเห็นเช่นนั้นจึงมีสีหน้าตกตะลึง “อย่า!”
แต่เขายังคงยื่นมือเข้าไปสัมผัส จนรู้สึกได้ถึงแรงอัดอย่างมหาศาล จากนั้นไอภูตผีก็พุ่งเข้าสู่ร่างกายของลู่เฉินอย่างบ้าคลั่ง
หากเป็นเพียงคนธรรมดา ร่างกายคงแตกสลายในทันที ทว่าไอภูตผีที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เมื่อถูกลู่เฉินดึงออกมาภายในพริบตาเดียวกลับไม่ส่งผลอะไรต่อเขาแม้แต่น้อย
ภาพที่เกิดขึ้นทำให้องค์จักรพรรดิตกตะลึง สายตาจ้องมองไปยังลู่เฉินด้วยความประหลาดใจ จนกระทั่งลู่เฉินดึงมือกลับเข้ามาและเดินไปยังองค์จักรพรรดิ “ไปชั้นหกกันเถิด”
“ชั้นที่หก?”
“อืม เจ้าสามารถลงไปได้ไม่ใช่หรือ?” ลู่เฉินมองไปยังองค์จักรพรรดิโดยไม่มีท่าทีใด ๆ องค์จักรพรรดิจึงขานรับและนำเขาไปยังชั้นที่หก
ไอภูตผีในชั้นที่หกนี้มีความหนาแน่นยิ่ง จนไม่สามารถมองออกไปไกลเกินระยะสิบก้าวได้ด้วยตาเปล่า มองเห็นเพียงแค่แสงสีขาวจาง ๆ ที่สว่างอยู่ภายในค่ายกลเท่านั้น
“ที่นี่คือชั้นที่หก” องค์จักรพรรดิกล่าวขึ้นเมื่อเดินมาถึงจุดหมาย ลู่เฉินมองไปรอบ ๆ กระทั่งเห็นบันไดที่ขึ้นไปยังชั้นที่เจ็ดแล้วจึงเอ่ยว่า “ตอนนี้ข้าสามารถลงไปเองได้แล้ว ส่วนเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องตามมา”
องค์จักรพรรดิหวาดกลัวจนสีหน้าซีดเผือด “อันใดนะ? เจ้าจะไปยังชั้นที่เจ็ด?”
“อืม!”
องค์จักรพรรดิโพล่งขึ้นมาด้วยความกังวลใจ “เช่นนั้นอันตรายเกินไป!”
“ไม่เป็นไร” ลู่เฉินเอ่ยจบก็เดินไปยังทางเข้าของชั้นที่เจ็ด
ท่ามกลางไอภูตผีที่หนาแน่น ร่างของลู่เฉินก็ค่อย ๆ ลับสายตาไป องค์จักรพรรดิที่ยืนอยู่นั้นได้แต่มองด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เขา… แท้จริงแล้วคือผู้ใดกันแน่?”
…
หลังจากลู่เฉินเดินลงบันไดไป เขาก็มาถึงชั้นที่เจ็ด และในชั้นที่เจ็ดนี้ ไอภูตผีมีความหนาแน่นมากจนสามารถมองเห็นได้เพียงในระยะสามก้าวเท่านั้น
“ดูเหมือนว่า ยิ่งลึกลงไป ไอภูตผีก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้น!” ลู่เฉินมองไปรอบ ๆ พลางเอ่ยขึ้นมา จากนั้นจึงออกเดินต่อไป
เมื่อมาถึงชั้นที่แปด ความหนาแน่นของไอภูตผีทำให้ระยะการมองเห็นเหลือเพียงแค่หนึ่งก้าว
“ด้านล่างคงจะเป็นชั้นที่เก้าแล้วสินะ?” ชายหนุ่มยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินไปยังชั้นที่เก้า
ชั้นที่เก้านี้ แม้แต่ยื่นฝ่ามือออกมาก็ไม่สามารถมองเห็นนิ้วทั้งห้าได้ และไอภูตผีก็ยิ่งดูน่ากลัวขึ้นเป็นทวีคูณ
ลู่เฉินจึงหลับตาลง ก่อนจะใช้ ‘เคล็ดวิชาหมื่นวิญญาณ’ เพื่อเข้าไปสัมผัสถึงสถานการณ์รอบ ๆ และชั้นที่เก้านี้มีเพียงหลุมฝังศพอยู่เพียงไม่กี่หลุมเท่านั้น
บนหลุมศพมีการสลักชื่อของบรรพบุรุษตระกูลหนานเอาไว้
แต่… นี่ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุด
เพราะเขายังมองเห็นประตูหินบานหนึ่ง และเมื่อเปิดประตูหินเข้าไปก็พบว่าด้านในมีทางเดินอยู่
ลู่เฉินเดินไปตามทางเดิน
เมื่อเดินไปได้เพียงครึ่งทาง เขาก็เห็น ‘พื้นที่ว่าง’ ขนาดใหญ่ตรงหน้า
ทว่าไอภูตผีภายในนี้กลับบางเบาลงเล็กน้อย ขณะเดียวกันยังสามารถมองเห็นสถานการณ์รอบ ๆ ด้วยตาเปล่าเพียงระยะสิบกว่าเก้าเท่านั้น
“สถานที่นี้คือภูเขาภูตผีแห่งแดนทักษิณางั้นหรือ?” ลู่เฉินมองไปยังพื้นที่ว่างรอบ ๆ ด้วยสีหน้าแปลกใจ
ทันใดนั้น พลันมีกลุ่มคนชุดดำปรากฏตัวออกมา คนพวกนี้ต่างก็สวมหน้ากากหัววัวสีทองแดง
ผู้นำของกลุ่มคนเหล่านั้นตะโกนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผู้ใด!”
ลู่เฉินลอบสังเกตอีกฝ่าย เมื่อพบว่าเป็นผู้ฝึกวิถีภูตผีขั้นก่อกำเนิดจึงยิ้มออกมา “ข้ามาตามหาคน!”
“ข้าถามว่าเจ้าคือใคร เจ้าไม่ได้ยินหรือ?” เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าลู่เฉินไม่ตอบ จึงบันดาลโทสะขึ้นมา และคนอื่น ๆ แต่ละคนต่างก็เต็มไปด้วยไอภูตผีราวกับพร้อมโจมตีลู่เฉิน
ชายหนุ่มอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าแนะนำว่าทางที่ดีเจ้าอย่าคิดลงมือ มิเช่นนั้นพวกเจ้าอาจจะลำบากได้!”
แต่ผู้นำของคนเหล่านั้นกลับยิ้มหยันออกมา “เพียงแค่ผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานคนหนึ่ง ยังกล้ากระทำตัวหยิ่งผยองต่อหน้าพวกเราสำนักภูเขาภูตอีกหรือ?”
“สำนักภูเขาภูต?” ดูเหมือนว่าลู่เฉินจะเคยได้ยินชื่อนี้มาจากที่ไหนสักแห่ง แต่กลับลืมไปเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่คิดอะไรมากนัก เพียงพูดต่อไปว่าตนแค่มาตามหาคนเท่านั้น
ผู้นำคนนั้นจึงตะโกนขึ้นมา “รนหาที่ตาย!”
ทันใดนั้น บนร่างของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนจากไอภูตผีกลายเป็นศรภูตนับไม่ถ้วน
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
นี่คือเคล็ดวิชาภูตที่สามารถโจมตีจิตวิญญาณได้โดยตรง ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายลงมือ จึงคิดว่าลู่เฉินต้องตายตกเป็นแน่ แต่ลู่เฉินกลับยืนอยู่ที่เดิม ปล่อยให้ ‘ศรมาร’ เหล่านี้ พุ่งเข้าสู่ร่างกายของตนได้อย่างอิสระ
แต่ลู่เฉินกลับไม่เป็นอะไรสักนิด
“นี่ เกิดอะไรขึ้น?” คนผู้นั้นตกตะลึงขึ้นมา ลู่เฉินจึงยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าใช้เคล็ดวิชาภูต แต่เคล็ดวิชาภูตสามารถโจมตีจิตวิญญาณได้โดยตรง แต่จิตวิญญาณของข้านั้นแข็งแกร่งมาก”
คนผู้นั้นยังคงไม่เชื่อ จึงตะโกนขึ้นมาว่า “เพียงแค่ผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานคนหนึ่ง จะมีจิตวิญญาณแข็งแกร่งเพียงใดกัน?”
คนอื่น ๆ ต่างก็ไม่เชื่อเช่นกัน แต่ละคนยังแสดงเคล็ดวิชาภูตออกมา แต่ลู่เฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิม และปล่อยให้พวกเขาโจมตี จนกระทั่งคนเหล่านี้ต่างรู้สึกงุนงงขึ้นมา ลู่เฉินจึงค่อย ๆ ฉีกยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าเพียงแค่มาตามหาคนเท่านั้น”
คนเหล่านี้ต่างมองหน้ากัน จากนั้นจึงค่อย ๆ หายตัวไปทีละคน
“วิ่งเร็วอะไรเช่นนี้?” ลู่เฉินยิ้มจาง ๆ แต่ผู้นำคนนั้นยังตะโกนขึ้นมาว่า “พวกเราไม่ได้วิ่ง แต่พวกเราเคลื่อนไหวค่ายกลบริเวณทางเข้าเพื่อสังหารเจ้า!”
ครั้นเอ่ยจบ จู่ ๆ รอบกายลู่เฉินก็ปรากฏลูกไฟนับไม่ถ้วน แต่ละลูกต่างก็พุ่งโจมตีไปยังเขา
ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม “กองกำลังเล็กเช่นนี้?”
“แค่ทำให้เจ้าตายก็พอ!” ผู้นำกล่าวด้วยความมั่นใจ แต่จู่ ๆ ลู่เฉินกลับหายตัวไป คนเหล่านั้นจึงสงสัย บางคนยังเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจว่า “คนผู้นั้นล่ะ?”
“เมื่อครู่ยังอยู่ตรงนี้ เหตุใดจึงหายไปแล้ว?”
“ไม่ใช่ว่าพ่อหนุ่มผู้นี้ถูกค่ายกลสังหารไปแล้วหรือ?”
“เป็นไปไม่ได้ เมื่อครู่เขายังอยู่ตรงนั้น!”
…
ขณะที่คนเหล่านี้กำลังสงสัย ลู่เฉินก็มายืนอยู่ตรงหน้าของผู้นำ “สนุกพอหรือยัง?”
ทุกคนพลันตกตะลึงขึ้นมาก่อนจะรีบหันไปมอง แต่ผู้นำที่เห็นลู่เฉินอยู่เมื่อครู่กลับถูกชายหนุ่มใช้เถาวัลย์พันล้อมรอบกายไว้ ส่วนคนอื่น ๆ นั้นต่างก็คิดจะหนีออกไป แต่กลับถูกพันล้อมไว้เช่นกัน
และเนื่องจากคนเหล่านี้ยังไม่ถือว่าแข็งแกร่งมากนัก ทำให้แม้แต่เถาวัลย์นี้ก็ไม่สามารถทำลายมันได้
คนเหล่านี้จึงทำได้เพียงก่นด่าออกมา
บางคนยังข่มขู่ว่า “เจ้า! ผู้อาวุโสสำนักภูเขาภูตของเราต้องมาสังหารเจ้าแน่!”
“ใช่ ถ้าไม่อยากตาย จงรีบปล่อยพวกเราออกไปเดี๋ยวนี้!”
คนเหล่านี้ต่างตะโกนแข่งกัน ทว่าชายหนุ่มกลับเผยยิ้มเย็นชาออกมา “หากไม่อยากตาย ก็จงตอบคำถามของข้ามาเสียดี ๆ!”
คนเหล่านี้ไม่รู้ว่าลู่เฉินหมายความว่าอย่างไร แต่ผู้นำคนนั้นกลับจ้องมองลู่เฉินพลางเอ่ยว่า “พวกเราไม่มีทางตอบคำถามเจ้า!”
“โอ้? จริงหรือ?” แววตาของชายหนุ่มฉายชัดถึงความเย็นชา เถาวัลย์เหล่านี้มีหนามแหลมคมยาวยื่นออกมา มันทิ่มไปยังร่างกายของพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้พลังปราณได้ แต่ละคนจึงหวาดกลัวขึ้นมา
ผู้นำจึงเอ่ยถามถึงความต้องการของลู่เฉินทันที “เจ้า… เจ้าอยากรู้สิ่งใด?”
คนอื่นต่างแสดงความเต็มใจที่จะตอบคำถามของลู่เฉิน ชายหนุ่มจึงมองไปยังทุกคนพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดตลก “ข้ามาตามหาผู้ที่มีนามว่าอู่เหยียน และผู้มีความสามารถของสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ละคนก็พลันมีสีหน้าเปลี่ยนไป