ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 27 ท่านเจ้าสำนักผู้ชอบรู้เรื่องชาวบ้าน
บทที่ 27 ท่านเจ้าสำนักผู้ชอบรู้เรื่องชาวบ้าน
โจวอวี๋ยังพูดไม่ทันขาดคำ เสียงของลู่เฉินก็พลันดังมาจากภายในตำหนัก “เมื่อครู่เกิดอันใดขึ้น?”
เสียงที่คุ้นเคยนี้ทำให้พวกโจวอวี๋ถึงกับดีใจ
ขณะที่หมาป่ายมโลกเหล่านั้น พวกมันก็พากันมองไปทางตำหนัก
ยามที่ลู่เฉินเดินออกมา ข้างกายของชายหนุ่มได้ปรากฏร่างของหมาป่ายมโลกตัวเล็กเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง ทว่าถึงมันจะตัวเล็ก แต่หมาป่ายมโลกตัวน้อยนี้กลับมีถึงเก้าหางด้วยกัน!
บรรดาหมาป่ายมโลกพากันตะโกนอย่างตื่นเต้นทันที “ฝ่าบาท!”
ในขณะที่โจวอวี๋ก็ถึงกับตกใจ “หมาป่ายมโลกเก้าหาง!
“นี่มันของจริงเหรอเนี่ย… ตั้งเก้าหาง!” ปิงหลิวหลีไม่นึกไม่ฝันว่าตนจะได้เห็นหมาป่ายมโลกเก้าหางกับตา
เจี่ยลัวเองก็กะพริบตาอย่างตื่นเต้น
หมาป่าเก้าหางกวาดสายตามองทุกคนด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าวว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้ที่อยู่ข้างกายของข้าผู้นี้ก็คือผู้มีพระคุณของข้า ดังนั้นถ้าเขาต้องการอะไร พวกเจ้าต้องพยายามช่วยเหลือพวกเขาอย่างเต็มกำลัง เข้าใจหรือไม่?”
ทุกคนคิดว่าลู่เฉินช่วยหมาป่ายมโลกเก้าหาง ดังนั้นหมาป่ายมโลกเก้าหางจึงรู้สึกขอบคุณและเป็นผลให้เกิดพูดคำดังกล่าวนั้น ซึ่งหมาป่ายมโลกตนอื่น ๆ ก็ยอมรับสิ่งนี้อย่างเต็มใจเช่นกัน พวกมันจึงตอบรับว่า “ขอรับ ฝ่าบาท!”
“เจ้าต้องการอันใดเพิ่มเติมหรือไม่?” หมาป่ายมโลกเก้าหางมองดูลู่เฉินขณะถาม ทว่าชายหนุ่มกลับสั่นศีรษะ “ไม่มีแล้ว ข้าเพียงต้องการสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังปราณ ส่วนที่เหลือ แยกย้ายไปตามเดิมเถอะ!”
“ข้าจะพาเจ้าไป” หลังจากหมาป่ายมโลกเก้าหางพูดจบ มันก็ปล่อยให้ทุกคนไปจัดการตามหน้าที่
หมาป่าโดยรอบพากันแยกย้ายออกไปอย่างมีความสุข และแม้แต่หมาป่าห้าหางก็มียังความสุขมากเช่นกัน “ฝ่าบาท อาการบาดเจ็บของท่านยังไม่หายดี ข้าจะอยู่กับพวกท่านด้วย!”
หมาป่ายมโลกเก้าหางคิดว่าอีกฝ่ายจะติดตามมาก็ไม่เป็นไร ดังนั้นมันจึงพยักหน้า จากนั้นหมาป่าทั้งสองก็พาลู่เฉินและคนอื่น ๆ มุ่งหน้าไปยังจุดหมาย
แต่ระหว่างทาง ปิงหลิวหลีกลับกลายเป็นเหมือนเจ้าบื้อ นางวิ่งไปหาหมาป่าเก้าหางแล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าคือสัตว์อสูรของจอมมารใช่หรือไม่? ”
“จอมมาร?”
“ลู่เฉินผู้นั้น เมื่อหนึ่งแสนปีที่แล้ว” ปิงหลิวหลีพูดอย่างตื่นเต้น ส่วนหมาป่าเก้าหางก็เหลือบมองไปทางชายหนุ่มแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปพูดกับปิงหลิวหลี “อืม”
“แล้วเขาหน้าตาเป็นอย่างไร? เท่หรือไม่ เขาร้ายกาจมากจริงหรือ?” ปิงหลิวหลีเอ่ยซักถามอย่างตื่นเต้น
ซึ่งคำถามเหล่านี้ก็ทำให้หมาป่ายมโลกเก้าต้องเอ่ยอย่างเอียงอาย “นี่…”
“แล้วเขามีภรรยา มีบุตรหรือไม่ ชอบสีอะไร”
หมาป่ายมโลกเก้าหางรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้า ส่วนลู่เฉินที่ยืนอยู่อีกด้านนั้นรู้สึกขัดเขินกระทั่งอยากจะหาที่ซ่อนตัว
ส่วนโจวอวี๋ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้หมาป่าสองตัวนั้น เขายืนอยู่ข้างลู่เฉินและชี้ไปที่ปิงหลิวหลี “ดูสิ นางวอนตายเสียแล้ว!”
ลู่เฉินไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ทำได้เพียงพูดกับโจวอวี๋ว่า “ฟังข้าให้ดี”
”ฟัง?”
”ข้าจะสอนเคล็ดวิชาหนึ่งแก่เจ้า มันเรียกว่า ‘เคล็ดรากวิญญาณคู่’ เจ้าควรจำไว้ว่าหลังจากฝึกฝนแล้ว หากมีคำถามใด ๆ ก็สามารถถามข้าได้!” ลู่เฉินอธิบาย
เมื่อโจวอวี๋ได้ยิน ‘เคล็ดรากวิญญาณคู่’ เขาพลันรู้สึกสงสัย “เคล็ดวิชานี้มีประโยชน์หรือไม่?”
“เจ้าต้องจำไว้!”
“โอ้!” โจวอวี๋ทำได้เพียงฟังอย่างเงียบ ๆ ส่วนลู่เฉินก็ถ่ายทอดรายละเอียดให้เขาเป็นเวลาหนึ่งเค่อ จนกระทั่งมาถึงยอดเขา
ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งมีพลังปราณหนาแน่นที่สุดในเขตที่เก้า
เมื่อโจวอวี๋มาถึงแล้ว เขาก็นั่งขัดสมาธิพร้อมกับเริ่มฝึกตาม ‘เคล็ดรากวิญญาณคู่’ ที่ลู่เฉินสอน ส่วนปิงหลิวหลี นางก็ยังคงพัวพันอยู่กับหมาป่ายมโลกเก้าหางไม่ห่าง
ลู่เฉินจึงทำได้เพียงมองไปที่เจี่ยลัวแล้วกล่าวว่า “ข้าจะล้างพิษซากศพในร่างเจ้าก่อน!”
เจี่ยลัวพยักหน้า ลู่เฉินจึงหยิบสมุนไพรที่เขาเก็บมาระหว่างทางออกมา ก่อนจะทาลงบนร่างกายของเจี่ยลัว
ไม่ถึงครึ่งชั่วยามต่อมา โจวอวี๋พลันลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น “ร้ายกาจยิ่ง ‘เคล็ดรากวิญญาณคู่’ นี้ร้ายกาจจริง ๆ!
ปิงหลิวหลีถูกทำให้ตกใจจากเสียงตะโกนยินดีนี้จนสะดุ้งโหยง รีบหันมองมาที่ต้นเสียงทันที “อะไรคือ ‘เคล็ดรากวิญญาณคู่’ หรือ?”
“ดูสิ พลังของข้าแข็งแกร่งขึ้นหรือไม่?” โจวอวี๋เอ่ยจบก็ชักนำปราณผ่านรากวิญญาณคู่ในร่าง จากนั้นชกฝ่ามือทั้งสองออกไป ทำให้เกิดเปลวเพลิงสองสายพุ่งออกมา!
กระบวนท่าออกหมัดนี้ นับว่าแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ปิงหลิวหลีได้แต่ประหลาดใจ “ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็ได้ผลเช่นนี้แล้วหรือ?”
“ใช่ ทว่าข้าเรียนรู้ไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เดาว่าต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยกว่าจะเข้าใจมันอย่างถ่องแท้!” หลังจากโจวอวี๋พูดจบ เขาก็จมเข้าสู่การฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายกลับไปฝึกต่อ ห้วงความคิดของปิงหลิวหลีก็พลันกลับมาวนเวียนอยู่ที่หมาป่ายมโลกเก้าหางอีกครา
เห็นเพียงปิงหลิวหลีจ้องเขม็งไปที่หมาป่ายมโลกเก้าหาง และซักถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกข้าว่าเขามีคนรักหรือไม่!”
“เรื่องนี้พูดไม่ได้!” หมาป่ายมโลกเก้าหางพูดอย่างขัดเขิน
“เพราะเหตุใด?” ปิงหลิวหลีงุนงง ในขณะที่หมาป่ายมโลกเก้าหางกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา “ถ้าข้าพูดออกไป ข้าต้องตายแน่!”
”เพราะเหตุใด?”
“นั่นเป็นข้อห้ามของนายท่าน!” หมาป่ายมโลกเก้าหางอธิบาย ส่วนปิงหลิวหลีก็อุทานออกมา “เช่นนั้นเขามีคนรักจริง ๆ แต่แค่ไม่เคยถูกพูดถึงอย่างนั้นหรือ?”
หมาป่ายมโลกเก้าหางเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “อย่าถามข้าเลย!”
“กลัวอะไร เจ้านายของเจ้าไม่กลับมาจากแดนเซียนหรอก!” ปิงหลิวหลีไม่รู้ว่า ‘ลู่เฉิน’ ที่นางกล่าวถึงนั้นที่แท้อยู่ใกล้เพียงใด ดังนั้นจึงพูดอย่างสนุกปาก
เมื่อเห็นการณ์เป็นเช่นนี้ หมาป่ายมโลกเก้าหางพลันนึกกังวลขึ้นมาว่าจะหลุดปาก มันจึงหลับตาลงแล้วเอ่ยเพียงว่า “พอแล้ว ข้าจะรักษาบาดแผล!”
“นี่เจ้า!” ปิงหลิวหลีรู้สึกหดหู่ ส่วนหมาป่ายมโลกห้าหาง จู่ ๆ มันก็กระแอมไอเบา ๆ อยู่ด้านข้างแล้วกล่าวว่า “สาวน้อย ดูสิ เจ้าถามมาตั้งมากแล้ว ฝ่าบาทของพวกเราย่อมต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา ดังนั้นข้าว่าเจ้าควรเลิกถามได้แล้ว”
“เชอะ!” ปิงหลิวหลีลุกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่นางจะเดินไปหาลู่เฉินและเจี่ยลัว
ยามนี้พิษของเจี่ยลัวได้รับการชำระล้างไปไม่น้อยแล้ว แต่หากอยากฟื้นฟูจนสมบูรณ์ก็ยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นลู่เฉินจึงให้อีกฝ่ายนั่งสมาธิ และกำจัดพิษตามวิธีของเขา
ซึ่งเจี่ยลัวก็ทำตามแต่โดยดี
“อันใด? ไม่ช่างจ้อต่อแล้วหรือ?” ลู่เฉินหันไปพูดกับปิงหลิวหลีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“อย่างข้าไม่เรียกว่าช่างจ้อ แต่เรียกว่ากำลังทำความรู้จักจอมมารอยู่ต่างหาก!”
“ทำความรู้จัก?”
“ก็อย่างเช่น เขาชอบอะไร และเขามีคนรัก ภรรยา บุตร ครอบครัวหรือไม่!” ปิงหลิวหลีมีท่าทางอยากรู้อยากเห็น
ลู่เฉินที่ได้ยินดังนั้นพลันส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นสตรีอายุพันปี เหตุใดถึงชอบรู้เรื่องชาวบ้านมากกว่าเด็กสาวเสียอีก!”
“เจ้าจะรู้อันใด!” ปิงหลิวหลีพูดอย่างดูถูก ส่วนลู่เฉินก็ขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบาย เขาจึงถามกลับไปว่า “เจ้ายังอยากหายดีหรือไม่?”
“เจ้า… เจ้ามีวิธีงั้นหรือ?”
“นั่งลง!” ลู่เฉินกล่าวทันที ซึ่งปิงหลิวหลีก็ไม่รอช้า นางนั่งลง ก่อนจะเป็นลู่เฉินที่เข้ามาด้านหลังของนาง และใช้เข็มพร้อมด้วยสมุนไพรเพื่อเริ่มทำการรักษาให้กับเจ้าสำนักสาว
หมาป่ายมโลกเก้าหางที่อยู่ไกลอกไปมองภาพตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก “แม่หญิงผู้นี้ นางไม่รู้แม้กระทั่งว่าคนที่กำลังนินทานั้นอยู่ข้างหลังตัวเองด้วยซ้ำ!”
“ฝ่าบาท ท่านกำลังพูดอะไร” หมาป่ายมโลกห้าหางได้ยินอแว่ว ๆ จึงมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
หมาป่ายมโลกเก้าหางส่ายหัวและกล่าวว่า “ไม่มีอันใด”
หลังจากพูดจบหมาป่ายมโลกเก้าหางก็พักฟื้นอยู่ที่นั่น
ส่วนลู่เฉิน เขาก็ใช้เวลาอยู่หลายชั่วยามในการรักษากว่าจะลุกขึ้น ส่วนปิงหลิวหลีน่ะหรือ? …บัดนี้นางได้นอนตะแคงข้างและผล็อยหลับไปนานแล้วล่ะ!
ในยามนี้ท้องฟ้าได้กลายเป็นมืดครึ้มแล้ว ชายหนุ่มจึงหันไปกล่าวกับหมาป่ายมโลกห้าหางว่า “ที่นี่มีข้าเฝ้าอยู่ ดังนั้นเจ้าไปทำธุระของเจ้าเถิด”
หมาป่ายมโลกห้าหางลังเล ทว่าหมาป่ายมโลกเก้าหางกลับมองไปที่มันแล้วกล่าวว่า “ไปเถิด”
เมื่อได้ยินคำสั่งของผู้เป็นราชาแห่งเผ่า หมาป่ายมโลกห้าหางก็ทำได้เพียงถอยออกไป
เมื่อมันจากไปแล้ว หมาป่ายมโลกเก้าหางจึงได้จังหวะเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “สตรีที่นายท่านพามาครานี้พูดเก่งเกินไปแล้ว!”
“งั้นหรือ?”
“ก็ใช่สิขอรับ!”
“แล้วตัวเจ้าเล่า? …พูดให้น้อยลงหน่อยเข้าใจหรือไม่?” สายตาของลู่เฉินทำให้หมาป่าเก้าหางตัวสั่นเทา มันรีบแก้ตัวทันที “นายท่าน ข้าพูดน้อยลงแล้ว!”
ลู่เฉินฉีกยิ้ม “ดีแล้ว ข้าไปฝึกล่ะ!”
หลังจากเอ่ยจบ ลู่เฉินก็หาที่นั่งนั่งขัดสมาธิ ก่อนจะแผ่สัมผัสออกไป เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วกล่าวกับตัวเองเบา ๆ ว่า “ครั้งนี้ ความเข้มข้นของปราณโดยรอบน่าจะพอให้ใช้เคล็ดควบกลั่นลมปราณฝึกฝน รวมทั้งทำให้รากวิญญาณสวรรค์ผกผันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น!”