ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 267 หายป่วย ทุกคนตกตะลึง!
บทที่ 267 หายป่วย ทุกคนตกตะลึง!
หลังจากที่องค์ชายใหญ่เดินเข้ามา เขาก็ยิ้มให้องค์ชายหกทันที “น้องหก ลำบากเจ้าแล้ว!”
“หาได้เป็นเช่นนั้น” องค์ชายหกยิ้ม จากนั้นองค์ชายใหญ่ก็หันมายิ้มให้หนานเหยา “เจ้าคือสาวน้อยมหัศจรรย์ที่เจ้าสำนักเก่าพูดถึงใช่หรือไม่?”
“สาวน้อยมหัศจรรย์?” หนานเหยามองหนานลัวด้วยความสงสัย แต่หนานลัวไม่รู้จะแนะนำตัวตนของหนานเหยาอย่างไร เขาจึงถามกลับไปว่า “เจ้าต้องการให้ข้าแนะนำเจ้าอย่างไร?”
หนานเหยาไม่มีทางเลือกนอกจากตอบว่า “อันใดก็ได้”
องค์ชายใหญ่มองไปที่ลู่เฉินเป็นคนสุดท้าย “ผู้อาวุโสคือหมอเทวดา อัจฉริยะขั้นสร้างรากฐานแห่งสำนักเก้าสุขสงบ ที่ขับไล่ผู้อาวุโสหลายสำนักใช่หรือไม่?”
เมื่อได้ยินว่าองค์ชายใหญ่เองก็เรียกลู่เฉินว่าผู้อาวุโส องค์ชายรองก็หัวเราะ “องค์รัชทายาท พระองค์เข้าใจอันใดผิดหรือไม่? เรียกผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานว่าผู้อาวุโสงั้นหรือ?”
“ข้าได้ยินมาจากเสด็จพ่อว่าทักษะทางการแพทย์ของเขานั้นยอดเยี่ยม อีกทั้งยังเหนือกว่าหมอผีเสียอีก หรือว่าไม่ควรเรียกว่าผู้อาวุโสกัน?” องค์ชายใหญ่ยิ้มให้องค์ชายรอง และองค์ชายรองได้ยินเช่นนั้นจึงเย้ยหยัน “ทักษะทางการแพทย์ดีกว่าหมอผี? เช่นนั้นได้รักษาเสด็จพ่อให้หายดีหรือยัง?”
ความจริงที่ว่าองค์จักรพรรดิหายดีแล้ว ลู่เฉินได้ขอให้องค์จักรพรรดิปกปิดเรื่องนี้ไว้ ดังนั้นในยามนี้จึงไม่มีใครรู้ว่าองค์จักรพรรดิหายเป็นปกติแล้ว
แต่เห็นได้ชัดว่าองค์ชายใหญ่รับรู้บางอย่างมา เขาจึงมององค์ชายรองด้วยรอยยิ้ม “พูดยาก”
“พูดยาก?” องค์ชายรองนึกดูแคลน ส่วนองค์ชายเจ็ดนั้นเดิมทีก็มีปัญหากับลู่เฉินอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาแสดงให้เสด็จพ่อเห็นแล้ว แต่แล้วเสด็จพ่อเล่า? หาได้ดีขึ้นเลย!”
องค์ชายรองหัวเราะ “องค์รัชทายาท ได้ยินหรือไม่?”
องค์ชายใหญ่พลันฉีกยิ้ม “อีกประเดี๋ยวหากเสด็จพ่อมา ก็ให้เสด็จพ่อพูดเรื่องนี้ด้วยตัวเองก็ได้แล้วมิใช่หรือ?”
ทุกคนไม่รู้ว่าองค์ชายใหญ่หมายถึงอันใด จนกระทั่งหลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงป่าวร้องดังขึ้น “พระสนมอู่เสด็จ!”
ทุกคนรู้จักฐานะของพระสนมอู่ ดังนั้นพวกเขาจึงมองไปยังที่มาของเสียง
เห็นเพียงพระสนมอู่ในอาภรณ์ตัวยาวเยื้องกรายไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ด้วยความช่วยเหลือของกลุ่มสาวใช้ และเมื่อลู่เฉินมองไปที่นาง เขากลับพบว่าสาวใช้ที่อยู่ข้างกายนางคนหนึ่งมีกลิ่นอายที่ดูคุ้นเคยมาก
หลังจากมองดูใกล้ ๆ ลู่เฉินก็พบว่านางคือเฮยเม่ย หญิงที่เขาพบเมื่อวาน ชายหนุ่มจึงหัวเราะในใจ “น่าสนใจนี่”
ยามนี้เฮยเม่ยมีสีหน้าเย็นชา
เนื่องจากไม่มีใครเคยเห็นนางมาก่อน และริมฝีปากของนางก็เป็นสีดำและเย็นเยียบเล็กน้อย ทำให้สายตาของผู้ชายหลายคนถูก ‘ความงดงาม’ ของสตรีชาววังผู้นี้ดึงดูดไป
แม้แต่องค์ชายรองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า “พระสนมอู่ สาวใช้ข้างกายเจ้าสวยขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ”
พระสนมอู่มององค์ชายรองด้วยรอยยิ้ม “หากองค์ชายรองชอบ อีกเดี๋ยวข้าจะมอบให้ท่านสักสองสามคน!”
“นั่นเป็นเรื่องที่ดี!” องค์ชายรองพูดพร้อมฉีกยิ้ม
พระสนมอู่ยิ้ม ก่อนจะมองไปที่ลู่เฉินและคนอื่น ๆ จิตสังหารซ่อนอยู่ในรอยยิ้มนั้น ราวกับว่านางต้องการฆ่าลู่เฉินในทันที
ทว่านางกลับข่มกลั้นเอาไว้และมองดูทุกคน “อีกเดี๋ยวเมื่อองค์จักรพรรดิเสด็จมา เจ้าจงระวังคำพูด อย่ายั่วโมโหองค์จักรพรรดิ มิฉะนั้นหากโรคร้ายกำเริบจะเลวร้ายไปใหญ่!”
ทันทีที่นางกล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมา หลายคนก็ประจบสอพลอทันที
“พระสนมอู่ช่างเป็นห่วงองค์จักรพรรดิจริง ๆ!”
…
พระสนมอู่ได้ยินเช่นนั้นก็อารมณ์ดี ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มสดใส ในขณะที่องค์รัชทายาทยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่พูดอันใดให้มากความ
แต่หลังจากนั้นไม่นาน พระสนมอู่ก็มีท่าทีสงบลงและเดินไปหาลู่เฉิน
ทุกคนต่างสงสัยว่าพระสนมอู่กำลังจะทำอันใด
เห็นเพียงพระสนมอู่มาอยู่ตรงหน้าลู่เฉินและเอ่ยเย้าเขาว่า “พ่อหนุ่ม เจ้ากล้าหาญไม่น้อย ยังกล้ามาที่นี่อีกหรือ?”
ก่อนที่ลู่เฉินจะทันได้เปิดปากตอบ หนานเหยาก็ตะโกนด่าว่า “ทีเจ้ายังได้รับอนุญาตให้มา แล้วพวกเรามาไม่ได้งั้นหรือ?”
ทุกคนต่างสงสัยว่าหนานเหยาคนนี้เป็นใคร เพราะนางกล้าหาญมาก คาดไม่ถึงว่าจะกล้าดูถูกพระสนมอู่ผู้นี้ และพระสนมอู่ผู้นี้ก็ยอมทนกับหนานเหยามาหลายครั้ง แต่คราวนี้นางไม่พอใจเมื่อถูกเหยียดหยามต่อหน้าคนจำนวนมาก นางจึงเอ่ยเสียงเย็นว่า “สาวน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?” หนานเหยาถามกลับทันที
พระสนมอู่พูดอย่างเย็นชาว่า “ที่นี่ ข้าคือพระสนม เจ้าเป็นคนนอก หากเจ้าพบข้า ข้าไม่ให้เจ้าคุกเข่าลงก็นับว่าไม่เลวแล้ว ยังกล้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอีกหรือ!”
“ช่างเป็นตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน~” หนานเหยาเย้ยหยัน
พระสนมอู่ตะโกนสั่งขึ้นมาทันทีว่า “เด็ก ๆ ตบปากนางให้ข้า!”
เวลานี้เฮยเม่ยกำลังจะลงมือ ทว่าทันใดนั้นประตูตำหนักใหญ่ก็เปิดออก เซวียจินยืนอยู่ตรงนั้น แล้วมองทุกคน “ทุกคนเข้าไปได้!”
ทุกคนจึง ‘แห่’ กันเข้าไปทันที พวกเขาเริ่มกังวลเกี่ยวกับอาการป่วยขององค์จักรพรรดิว่าเป็นอย่างไรบ้าง
แม้แต่พระสนมอู่เองก็รีบวิ่งเข้าไป
เหลือเพียงลู่เฉิน หนานเหยา และหนานลัว
“คนพวกนี้เจ้าเล่ห์จริง ๆ” หนานเหยาดูแคลน ส่วนองค์ชายหกก็วิ่งกลับมาและตะโกนบอกหนานเหยา “ผู้อาวุโส เร็วเข้า!”
“เร่งรีบอันใด!” หนานเหยาไม่ได้จริงจัง องค์ชายหกจึงกล่าวอย่างเคอะเขินว่า “พวกเขาจะได้ไม่ใส่ไฟใส่พวกเจ้า!”
“ใส่ไฟ?” หนานเหยาไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่องค์ชายหกขอให้พวกเขาคุยกันระหว่างเดินไป
ปรากฏว่าองค์ชายหกก็ได้รับข่าวเช่นกัน และข่าวนั้นก็คือขุนนางหลายคนมุ่งเป้ามาที่ลู่เฉิน ดังนั้นทันทีที่ลู่เฉินและพวกมาถึง พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องเรียนจากผู้คนมากมายในห้องโถง
“องค์จักรพรรดิ ท่านต้องลงโทษเด็กนั่นให้หนักนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่แล้ว เด็กคนนี้รวบรวมกองกำลังพรรคต่าง ๆ มากมายเพื่อโค่นล้มราชวงศ์หนานโยว”
“องค์จักรพรรดิ คนแบบนี้เก็บไว้ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
…
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หนานเหยาก็ก้าวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ทันที และมองไปยังฝูงชนที่กำลังคุยกันเจี๊ยวจ๊าว “พูดพอหรือยัง?”
ทุกคนเงียบลงทันที ยามนี้ในตำหนักใหญ่มีฉากกั้นกึ่งโปร่งแสงกั้นอยู่ ส่วนองค์จักรพรรดิก็บรรทมอยู่ที่นั่นราวกับว่าเขา ‘ป่วยหนัก’ อย่างไรอย่างนั้น
ส่วนพระสนมอู่ หลังจากเห็นหนานเหยาขัดจังหวะทุกคน นางก็รายงานต่อองค์จักรพรรดิทันทีว่า “องค์จักรพรรดิ หญิงผู้นี้ก็อยู่กับเด็กคนนั้นด้วย พระองค์จะต้องตรวจสอบนะเพคะ”
หนานเหยาได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยเย้ยหยัน “พระสนมอู่ เจ้าอยากป้ายสีให้พวกเราต่อต้านราชวงศ์อย่างนั้นหรือ?”
“หรือว่าไม่ใช่เล่า?” พระสนมอู่จ้องมองหนานเหยาอย่างเย็นชา ขณะที่หนานเหยาเย้ยหยันกลับไปว่า “วัวสันหลังหวะ!”
“เจ้าพูดอันใด!” พระสนมอู่ถลึงตาใส่
“เจ้ายังไม่ได้อธิบายเรื่องหมอผีให้องค์จักรพรรดิฟัง!” หนานเหยาเริ่มพูดราวกับกำลังคว้าตัวพระสนมอู่ไว้ ส่วนพระสนมอู่ก็ได้อธิบายทันทีว่า “หมอผีเกี่ยวข้องอันใดกับข้า? ”
“เจ้าไม่ได้สั่งให้เขาวางแผนชั่วกับองค์จักรพรรดิหรือ?” หนานเหยาถาม
“ข้า? จะเป็นข้าได้อย่างไร!?” เสียงของพระสนมอู่ดังขึ้นมาก
ยามนั้น ภายในตำหนักเต็มไปด้วยเสียงถกเถียงกันจากทั้งสองคน และองค์จักรพรรดิก็กระแอมไอเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “เจ้าสองคน พูดพอหรือยัง?”
หนานเหยาย่อมยังพูดไม่พอ แต่พระสนมอู่เห็นองค์จักรพรรดิเอ่ยปากก็รีบขอคำแนะนำ “องค์จักรพรรดิ ได้โปรดจับพ่อหนุ่มนั่นและผู้หญิงคนนี้ไว้ แล้วมอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชาสอบปากคำ เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต!”
ทว่าองค์จักรพรรดิกลับย้อนถามพระสนมอู่ว่า “เจ้าอยากให้ข้าจองจำผู้ช่วยชีวิตของข้าหรือ?”
“ผู้ช่วยชีวิต?” พระสนมอู่ตกตะลึงไปชั่วขณะ ในขณะที่คนอื่น ๆ ก็มองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
อย่างไรก็ตาม เวลานี้เซวียจินได้ให้คนมาย้ายฉากกั้นออก จากนั้นองค์จักรพรรดิก็ลุกขึ้นนั่ง
เมื่อเห็นว่าผิวพรรณขององค์จักรพรรดิมีสีเลือดฝาด ดูไม่เหมือนกำลังป่วยหนักเลยแม้แต่น้อย ผู้คนนับไม่ถ้วนก็พลันตกตะลึง