ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 265 สตรีสูงศักดิ์แห่งวังเหมันต์สงัด มีจุดหมายแอบแฝง!
บทที่ 265 สตรีสูงศักดิ์แห่งวังเหมันต์สงัด มีจุดหมายแอบแฝง!
เมื่อมองไปยังเป่ยโหวที่หน้าตามอมแมม ลู่เฉินก็ยกยิ้มเล็กน้อย “หากพูดมาแต่แรกก็ไม่เป็นเช่นนี้หรอก ไยต้องทำให้เป็นแบบนี้ด้วยเล่า!”
“ตราบใดที่เจ้าไม่ฆ่าข้า ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่าง”
“พูดมาสิ”
เป่ยโหวพูดอย่างอ่อนแรงว่า “สตรีสูงศักดิ์แห่งวังเหมันต์สงัดให้ข้าช่วยเจ้าค้นหาสุสานโบราณในพื้นที่ทางตอนเหนือของแดนทักษิณา”
“สุสานโบราณหรือ?”
“ใช่ มีสมบัติมากมายซ่อนอยู่ในนั้น ขอแค่ข้าหาพบว่าสุสานอยู่ที่ใดและแจ้งพวกเขา พวกเขาจะพาข้าเข้าไปพร้อมกับคนของข้า แล้วแบ่งสิ่งของข้างในให้ข้า” เป่ยโหวเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก
ลู่เฉินสงสัย “สตรีนางนั้น…. ต้องเป็นสุสานเช่นใดที่ดึงดูดความสนใจของนางได้”
เป่ยโหวคิดว่าชายหนุ่มสงสัย จึงพูดอย่างกระวนกระวายว่า “ข้า… สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง”
ลู่เฉินกลับมามีสติและมองไปยังเป่ยโหว “รูปภาพและจดหมายเหล่านั้นอยู่ที่ใด”
“จดหมายเป็นของสตรีสูงศักดิ์ เนื้อหาข้างในส่วนใหญ่จะอธิบายลักษณะบางอย่างของสุสาน และภาพที่ว่าคือแผนที่ซึ่งนางรวบรวมและมอบให้กับข้า โดยบอกว่าข้าจะสามารถค้นหาตำแหน่งของสุสานได้ผ่านรูปพวกนั้น”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ลู่เฉินก็ถามว่า “ข้าเห็นว่าเจ้ามีภาพเหล่านี้อยู่แล้ว”
เป่ยโหวอธิบายว่า “ภาพของข้าไม่สมบูรณ์ และสตรีสูงศักดิ์นางนั้นก็มีอยู่เพียงบางส่วน ดังนั้นเมื่อรวมเข้าด้วยกัน เราก็มีโครงร่างสองในสามของภาพนั้นแล้ว ตราบใดที่เราหาตามชิ้นส่วนรูปภาพ ใช้เวลาเพียงเล็กน้อย เราก็น่าจะหาเจอ”
ลู่เฉินไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ดังนั้นเขาจึงสลักอักขระยันต์หุ่นเชิดเข้าไปในตัวอีกฝ่าย จากนั้นก็ปล่อยให้เขาเดินออกจาก ‘ประตูไร้สิ่งสรรพ’ แล้วพูดว่า “เอาภาพมาให้ข้าดู”
เป่ยโหวไม่กล้าปฏิเสธ เขาจึงรีบวางภาพลงบนโต๊ะ ลู่เฉินมองดูแล้วก็พบว่ามันเป็นแผนที่ของทุ่งหิมะทางตอนเหนือของแดนทักษิณา แต่เขายังไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่นอนได้
“รูปนี้นี่แหละ” เป่ยโหวพูดอย่างประหม่า จากนั้นชายหนุ่มก็หันมาถาม “วังเหมันต์สงัด นอกจากให้เจ้าช่วยเรื่องนี้แล้ว ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือไม่”
“ใช่” เป่ยโหวพยักหน้ารับ
“พูดมา”
“คนจากวังเหมันต์สงัด ให้ข้าร่วมมือกับขุนนางผู้อื่นในวังพรุ่งนี้เพื่อใส่ร้ายเจ้า”
“ใส่ร้ายข้า?” ลู่เฉินต้องการรู้ว่าวังเหมันต์สงัดนี้จะใส่ร้ายเขาเรื่องอะไร
เป่ยโหวพยักหน้า “ใช่”
“รายละเอียดล่ะ”
“ให้บอกว่าเจ้าอยู่ในราชวงศ์หนานโยว กำลังสร้างกองกำลังไปทั่ว เตรียมที่จะโค่นล้มราชวงศ์หนานโยว และแม้กระทั่งเผชิญหน้ากับแดนศักดิ์สิทธิ์เมฆาสงัด และหวังว่าข้าจะร่วมมือกับขุนนางเหล่านั้นเพื่อใส่ร้ายเจ้า ก่อนที่องค์จักรพรรดิจะตัดสินลงโทษเจ้า” เป่ยโหวกล่าวด้วยความตื่นตระหนก
“สร้างกองกำลัง โค่นล้มราชวงศ์ เรื่องน่าเบื่อเช่นนี้ ไยข้าต้องทำด้วย?” ลู่เฉินไม่ต้องการสร้างราชวงศ์ใด ท้ายที่สุดแล้ว ราชวงศ์เป็นเพียงหุ่นเชิดครึ่งตัวที่ได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังหลัก
เป่ยโหวมองไปที่ลู่เฉินอย่างกระวนกระวาย “ข้า ข้าแค่ทำตามคำสั่ง”
ลู่เฉินมองไปที่เป่ยโหวและยกยิ้ม “ได้ ข้าเข้าใจแล้ว!”
“อย่า อย่าฆ่าข้า” เป่ยโหวเริ่มประหม่ามากขึ้น เพราะเขากลัวว่าลู่เฉินจะฆ่าเขา แต่ชายหนุ่มเพียงมองเขาด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เป่ยโหวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
“เจ้าจงทำงานให้กับวังเหมันต์สงัดต่อไป แต่ถ้าเจ้ารู้ว่าสุสานอยู่ที่ใด เจ้าต้องบอกข้าให้เร็วที่สุด!” ลู่เฉินเอ่ยกำชับ
เป่ยโหวพยักหน้ารัวเร็ว “ได้”
ลู่เฉินหันหลังกลับและออกจากที่นี่ แต่ก่อนที่จะจากไป เขาก็เอ่ยทิ้งท้ายว่า “ข้าจะเปิดค่ายกลให้เจ้า”
จากนั้นลู่เฉินก็หายตัวไปอย่างสมบูรณ์
เป่ยโหวมองไปรอบ ๆ แล้วเดินไปยังทางออกของห้องลับ หลังจากพบว่าสามารถออกมาได้ เขาก็รีบออกมาจากที่นั่น จากนั้นก็ได้พบองครักษ์อยู่ด้านนอกและกำลังยืนอยู่ที่นั่นราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เป่ยโหวพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “พวกเจ้า พวกเจ้าไม่เห็นใครเข้าออกที่นี่เลยหรือ?”
ทุกคนส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่เห็นอะไร
สิ่งนี้ทำให้เป่ยโหวรู้สึกตกใจ “น่ากลัวยิ่งนัก…”
…
ลู่เฉินเดินออกจากจวนเป่ยโหวและกลับไปที่จวนของหนานลัว ในขณะที่หลัวซาจัดคนให้แอบติดตามทุกการเคลื่อนไหวของทุกคนในวังเหมันต์สงัด
ทว่าตอนนี้ ภายในห้องของพระสนมอู่ องค์ชายเจ็ดกำลังนั่งอยู่ในสระแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยยาสมุนไพร ใบหน้าของเขาซีดเซียวและสั่นไปทั้งร่างราวกับว่ารู้สึกหนาวเหน็บอย่างยิ่ง
พระสนมอู่ผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ด้านข้างถ่ายทอดไอปราณสีดำมืดเข้าไปในสระทีละน้อย ส่วนเฮยเม่ยก็เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “องค์ชายเจ็ด เป็นอะไรไปหรือเพคะ?”
“ก่อนที่เขาจะกลับมา เขาถูกคนผู้นั้นทำร้ายวิญญาณ ทำให้รู้สึกหนาวเย็นไปทั้งตัว” พระสนมอู่พูดด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่งนัก
เฮยเหม่ยตกใจ “ชีวิตขององค์ชายเจ็ดตกอยู่ในอันตรายหรือเพคะ!”
“ไม่ แต่ถ้าต้องการฝึกฝนอีกครั้ง ข้าเกรงว่าจะต้องใช้เวลานาน” เมื่อพระสนมอู่กล่าวเช่นนั้น ใบหน้าของนางก็บิดเบี้ยวอย่างมาก องค์ชายเจ็ดที่อยู่ในสระน้ำพลันเอ่ยอย่างกระวนกระวายว่า “ท่านแม่ ท่านต้องล้างแค้นให้ข้า!”
ดวงตาของพระสนมอู่ฉายแววเย็นชา “ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้ข้าจะทำให้เขาตายในท้องพระโรง!”
“ท้องพระโรง?”
“ใช่ องค์จักรพรรดิเรียกพบทุกคนในวันพรุ่งนี้ ในเวลานั้น ข้าจะให้ขุนนางบางคนร่วมมือกับข้าเพื่อจัดการเขา” พระสนมอู่ผู้สูงศักดิ์เอ่ยเสียงต่ำ และเฮยเม่ยรู้ว่าลู่เฉินไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงเป็นกังวลขึ้นมา “เขามีความสามารถไม่น้อย ข้าเกรงว่า…”
“ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน ทว่าการเผชิญหน้ากับแม่ทัพและขุนนางนับไม่ถ้วนในวันพรุ่งนี้ ต่อให้เขามีปีกก็ยากที่จะบินหนี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีทหารยามเกราะดำจำนวนมากในวังอีกด้วย!” พระสนมอู่ผู้สูงศักดิ์คิดว่าการจัดการกับลู่เฉินจะไม่มีปัญหาใด ๆ อีก
เฮยเม่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยุดพูด
แต่พระสนมอู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งเพื่อคิดหาแผนการที่ไร้ข้อผิดพลาด สุดท้ายจึงเอ่ยว่า “พรุ่งนี้เจ้าปลอมตัวเป็นนางกำนัลไปกับข้า เมื่อถึงเวลา เจ้าจะออกไปนอกห้องโถงแล้วคอยฟังคำสั่งของข้า”
“เพคะ!”
พระสนมอู่จึงรู้สึกวางใจในที่สุด จากนั้นนางก็รักษาองค์ชายเจ็ดต่อไป
…
เมื่อลู่เฉินกลับมาที่จวนหนานลัว หนานเหยาก็พลันปรี่เข้ามาถามว่าเขาหายไปที่ใดมา แต่ลู่เฉินเพียงบอกว่าตนออกไปเดินเล่น จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ส่วนหนานลัว เขามองไปที่แผ่นหลังของลู่เฉินและถามด้วยความสงสัยว่า “พรุ่งนี้จะรู้ได้จริงหรือว่าใครเป็นคนคิดร้ายต่อองค์จักรพรรดิ?”
“อาจารย์ของข้าบอกว่าได้ก็ย่อมได้!” หนานเหยาเชื่อในความสามารถของลู่เฉิน
หนานลัวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดว่า “เช่นนั้นก็พักผ่อนเสียแต่เนิ่น ๆ เราจะออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่ในวันพรุ่งนี้”
“ได้!”
หลังจากนั้น หนานลัวและหนานเหยาก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ในขณะที่ลู่เฉินยังคงพึมพำกับตัวเองในห้องลับของเขา “พรุ่งนี้ ตราบใดที่ข้าหาคนผู้นั้นได้ ข้าก็จะได้ไปที่สุสานหลวง”
สุสานหลวงราชวงศ์หนานโยวคือเป้าหมายของลู่เฉิน
เพียงแต่ลู่เฉินไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้คนจากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์จึงส่งยอดฝีมือบางคนมาที่ภูเขาภูตผีแห่งแดนทักษิณา และเหตุใดภูเขาภูตผีแห่งแดนทักษิณาจึงซ่อนอยู่ในสุสานหลวง
ไม่ว่าอย่างไร ปัญหามากมายเหล่านี้จะถูกเปิดเผยในวันพรุ่งนี้
ดังนั้นลู่เฉินจึงจัดการกับอารมณ์ของเขาและรับรายงานของหลัวซา
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ลู่เฉินออกมาจากห้องลับ ส่วนหนานลัวและหนานเหยาได้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว แต่หลังจากเข้าไปในรถม้า หนานลัวก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย “ประชุมท้องพระโรงวันนี้ ข้าเกรงว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น”
หนานเหยารู้สึกงงงวย “เกิดอันใดขึ้นหรือ?”
หนานลัวถอนหายใจ “หากมีคนกล้าโจมตีจักรพรรดิ แน่นอนว่าวันนี้ย่อมมีคนที่กล้าโจมตีลู่เฉิน!”
หนานเหยาหัวเราะทันที “อย่างพวกเขาน่ะหรือ? ไม่มีทาง!”