ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 263 ค่ายกลส่งปรโลกสังเวยคนเป็น!
บทที่ 263 ค่ายกลส่งปรโลกสังเวยคนเป็น!
เฮยเม่ยจ้องไปที่ลู่เฉินและเอ่ยอย่างเย็นชา “รอก่อน เจ้าจะได้รู้!”
จากนั้นนางก็หลับตาลง อึดใจต่อมาเฮยเม่ยที่เหมือนกันหลายสิบคนก็พลันปรากฏตัวขึ้นเหมือนร่างอวตาร จากนั้นเมื่อลืมตาขึ้น พวกนางก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อเข้าล้อมลู่เฉิน
เห็นเช่นนี้แล้วลู่เฉินก็หัวเราะ “น่าสนใจ ๆ!”
“กลัวหรือยัง?” เงาร่างเหล่านี้พูดพร้อมกัน
“พอมองแวบแรก พวกมันเหมือนกันทุกประการ แต่พอมองใกล้ ๆ เงาแยกเหล่านี้ล้วนอ่อนแอกว่าตัวจริงอยู่แล้ว” ลู่เฉินยกยิ้มให้เฮยเม่ย
นางพูดอย่างเย็นชาว่า “แม้ว่าร่างอวตารจะอ่อนแอกว่าตัวจริง แต่อวตารเหล่านี้ร่วมมือกับร่างจริงของข้าปลดปล่อยพลังอันยิ่งใหญ่ได้!”
“จริงหรือ?” ลู่เฉินเย้ยหยัน
“เจ้าดูให้ดี!” หลังจากพูดจบ สตรีเหล่านี้ก็เหยียดมือขวาออกทีละคน และหันเข้ามาเผชิญหน้ากับลู่เฉิน จากนั้นพลังของอวตารและร่างจริงเหล่านั้นก็รวมตัวกันพุ่งเข้าใส่ลู่เฉิน ก่อตัวเป็นแรงกดดันที่แข็งแกร่ง
เห็นเพียงว่า ‘กำแพงพันชั้น’ ของลู่เฉินพังทลายจากเจ็ดสิบชั้นเป็นแปดสิบชั้น แต่ก็ยังไม่ถึงชั้นที่เก้าสิบ
ทว่าเฮยเม่ยยังไม่ยินยอม และยังต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งของนาง ทว่าผู้ใดจะรู้ว่าจำนวนชั้นที่แตกกลับน้อยกว่าเก้าสิบชั้นเสียอีก! นี่จึงทำให้เฮยเม่ยเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก “นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร!?”
“การโจมตีของเจ้าแข็งแกร่งขึ้น แต่การป้องกันของข้าก็แข็งแกร่งขึ้นด้วย” คำพูดของลู่เฉินเกือบทำให้เฮยเม่ยกระอักเลือด ชายหนุ่มหัวเราะเมื่อเขาเห็นว่านางโกรธเกินกว่าจะพูดอะไรได้อีก และเขายังถามอย่างหยอกล้อว่า “ยังมีอะไรอีกไหม?”
เฮยเม่ยต้องการโจมตีต่อ แต่ค่ายกลโดยรอบอ่อนแอลงจากการที่ลู่เฉินดูดซับพลังอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงมองเห็นได้ราง ๆ ก่อนที่ค่ายกลทั้งหมดจะหายไป
สีหน้าของเฮยเม่ยเปลี่ยนไป เมื่อนางเห็นว่าสภาพโดยรอบกลับคืนเป็นหอดอกแก้วแล้ว นางจึงรวมร่างอวตารทั้งหมดและเอ่ยเตือนว่า
“เจ้าจงรอรับเพลิงพิโรธของพระสนมอู่เถิด!”
หลังจากพูดจบ นางก็หายตัวไปทันที
ลู่เฉินหัวเราะเยาะ “เพลิงพิโรธหรือ น่าขันยิ่ง!”
ชายหนุ่มไม่ได้จริงจังกับมันแม้แต่น้อย เขาออกจากที่นี่ไปอย่างสบายใจ
…
เฮยเม่ยกลับวังโดยเร็วที่สุด พระสนมอู่ขมวดคิ้วเมื่อเห็นนางกลับมาคนเดียว “อันใด!? ยังจัดการไม่ได้อีกหรือ!?”
“มิใช่แค่นั้น แต่ยัง…” เฮยเม่ยไม่รู้จะพูดอย่างไร
พระสนมอู่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงกังวลยิ่งกว่าเดิม “บอกข้ามา เกิดอะไรขึ้น!”
เฮยเม่ยเล่าเรื่ององค์ชายเจ็ดและคนอื่น ๆ ที่ถูกสมบัติวิญญาณของลู่เฉินดูดเข้าไป หลังจากได้ยินเช่นนี้ พระสนมอู่ผู้สูงศักดิ์ก็โกรธจัดทันที “บัดซบ!”
เฮยเม่ยไม่กล้าพูดอะไร แต่พระสนมอู่พูดอย่างเย็นชาว่า “ไปเตรียมยามา”
“ยา?” เฮยเม่ยฉงนใจ
พระสนมอู่พูดอย่างเย็นชา “ข้าต้องการใช้เคล็ดวิชา ส่งเขากลับมา!”
เฮยเม่ยเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น จึงรีบไปเตรียมความพร้อม ขณะที่พระสนมอู่กัดฟันด้วยความโกรธจัด “สมควรตายนัก!”
…
หลังจากนั้นไม่นาน ลู่เฉินก็กลับมาที่จวนหนานลัว ซึ่งก็เป็นหนานเหยาที่เข้ามาถามอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นชายหนุ่มกลับมา “อาจารย์ เป็นอย่างไรบ้าง!?”
ส่วนหนานลัวนั้นมองลู่เฉินด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ลู่เฉินอธิบายเรื่องนี้อีกครั้ง และเมื่อรู้ว่าเฮยเม่ยปรากฏตัวขึ้น หนานลัวก็ตกใจ “อันใดนะ เฮยเม่ยหรือ?”
“ใช่!” ชายหนุ่มตอบ
สีหน้าหนานลัวยิ่งดูย่ำแย่ “เฮยเม่ย เป็นสาวใช้ส่วนตัวของพระสนมอู่ ความเร็วของนางนั้นรวดเร็วมาก ดังนั้นในราชวงศ์จึงไม่มีผู้ฝึกขั้นก่อกำเนิดคนไหนที่สามารถเทียบความเร็วของนางได้”
หนานเหยารู้สึกประหลาดใจ “เช่นนั้นนางคงเก่งไม่เบากระมัง?”
“ก็เก่งพอตัว แต่โชคดีที่ค่ายกลของพวกเขาช่วยข้าได้มาก” ลู่เฉินยิ้มจาง ๆ แต่หนานลัวไม่เข้าใจ ส่วนหนานเหยาก็พูดว่า “สตรีนางนั้น ต้องถูกอาจารย์เล่นงานจนอนาถมากเป็นแน่”
“ไม่หรอก นางหนีไปได้” ลู่เฉินตอบ ทำให้หนานเหยารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “น่าเสียดายนัก”
หนานลัวมองไปที่ลู่เฉินด้วยความสงสัย “แล้วองค์ชายเจ็ดเล่า?”
“ข้าจับพวกเขาไว้ในสมบัติวิญญาณของข้า”
“อันใดนะ?” หนานลัวเบิกกว้าง ลู่เฉินจึงนำ ‘ประตูไร้สิ่งสรรพ’ ออกมา และเมื่อเขามองเข้าไปข้างใน เขาก็พบว่าสามารถมองเห็นองค์ชายเจ็ดได้ราง ๆ เท่านั้น
สิ่งนี้ทำให้ลู่เฉินขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “รอข้าก่อน”
หลังจากพูดจบ ลู่เฉินก็รีบเข้าไปใน ‘ประตูไร้สิ่งสรรพ’ หนานลัวมองไปที่ประตูด้วยสายตาแปลกใจพลางเอ่ยถามว่า “นี่คืออะไร”
หนานเหยาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “สมบัติวิญญาณที่ทรงพลังมากชิ้นหนึ่ง”
หนานลัวยิ่งงงงวยยิ่งกว่าเดิม ทว่าชายหนุ่มไม่สนใจ เขาก้าวเข้าไปภายใน แต่ก็ได้พบเพียงร่างเงาราง ๆ ขององค์ชายเจ็ด ราวกับว่าเขาจะหายไปได้ทุกเมื่อ!
เมื่อลู่เฉินปรากฏตัว องค์ชายเจ็ดพลันเย้ยหยันทันที “เจ้าอยากจะขังข้างั้นหรือ? ช่างไร้เดียงสาเสียจริง!”
ลู่เฉินใช้เคล็ดเถาวัลย์ธรณี แต่เคล็ดเถาวัลย์ธรณีไม่สามารถรั้งร่างเงาของอีกฝ่ายไว้ได้ ลู่เฉินจึงหยิบกู่ฉินเพลิงโบราณออกมาดีดท่วงทำนองดังกังวาน ทำให้องค์ชายเจ็ดกรีดร้องครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายคนคนนี้ก็หนีไปได้
สำหรับจางเชียนและคนอื่น ๆ พวกเขาต่างตัวสั่นกันไม่หยุด
ชายหนุ่มมองดูพวกเขาอย่างเย็นชา “เขาไปไหน”
คนเหล่านี้ต่างตื่นตระหนก แต่ลู่เฉินยิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบกว่าเดิม “ไม่พูดหรือ?”
หลังจากจางเชียน ตู๋ซานชิง และคนอื่น ๆ ตระหนักได้ว่าไม่อาจหลบหนีได้ ตู๋ซานชิงเป็นคนแรกที่ประนีประนอมก่อนจะพูดว่า “ข้า ข้าจะบอกเจ้า!”
“พูด!” ลู่เฉินกล่าวอย่างเย็นชา ตู๋ซานชิงจึงรีบอธิบายว่า “พระสนมอู่เพิ่งใช้วิธีลับเพื่อส่งตัวเขากลับออกไป”
“วิธีลับ?” ชายหนุ่มสงสัย ตู๋ซานชิงจึงกล่าวว่า “มีข่าวลือว่าวิธีลับของพระสนมอู่นั้นแปลกมาก แต่ไม่มีใครเคยเห็นด้วยตาตัวเอง ดังนั้นข้าแค่เดาเท่านั้น!”
ลู่เฉินพลันจมสู่ห้วงความคิด
ตู๋ซานชิงกำลังสั่นสะท้าน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจางเชียนที่ไม่มีความตั้งใจที่จะต่อสู้กับอีกฝ่ายเลย
ลู่เฉินหันมองไปยังนักฆ่าหญิงเหล่านั้น
เห็นเพียงว่าสตรีเหล่านั้นตายไปทีละคน เหลือเพียงแค่ร่างไร้วิญญาณ
“คนเหล่านั้นเกิดอะไรขึ้น” ลู่เฉินหันไปถามตู๋ซานชิงและคนอื่น ๆ อีกครั้ง ตู๋ซานชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “วิธีลับนี้ จำเป็นต้องคร่าชีวิตคนจำนวนมาก ดังนั้นองค์ชายเจ็ดจึงสั่งให้พวกนางสังเวยชีวิต!”
“สังเวย?” แววตาลู่เฉินฉายชัดถึงความเย็นชา
“ใช่แล้ว!” ตู๋ซานชิงพยักหน้า จากนั้นลู่เฉินก็พูดราวกับว่าเขาคิดวิธีลับอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “หรือว่ามันคือค่ายกลส่งปรโลก! สังเวยชีวิตผู้อื่นทำให้สามารถแลกกับวิธีลับอย่างการ ‘ส่งตัว’ ได้!”
“ค่ายกลส่งปรโลก?” ตู๋ซานชิงไม่รู้ว่ามันคืออะไร จางเชียนเองก็เช่นกัน
ลู่เฉินกลับมามีสติและมองไปยังคนทั้งสอง “เจ้าต้องการที่จะอยู่หรือตาย?”
“อยู่… เราอยากมีชีวิตอยู่!” ตู๋ซานชิงพยักหน้ารัวเร็ว ส่วนจางเชียนรีบกล่าวว่าตราบใดที่ลู่เฉินปล่อยพวกเขาไป พวกเขาก็สามารถ ‘เป็นวัวเป็นควาย’ ให้ลู่เฉินได้ ชายหนุ่มจึงสลักอักขระยันต์หุ่นเชิดให้พวกเขาทีละคน และพูดกับพวกเขาว่า “ข้าได้สลักอักขระยันต์หุ่นเชิดเข้าไปในร่างกายของพวกเจ้าแล้ว”
เมื่อได้ยินว่าเป็นอักขระยันต์หุ่นเชิด ทั้งสองก็ถึงกับตกใจกลัว
ลู่เฉินกล่าวอย่างเย็นชา “หากเจ้าไม่อยากตาย ก็จงทำตามที่ข้าบอก!”
ทั้งสองพยักหน้าทันที และหลังจากที่ลู่เฉินอธิบาย เขาก็เดินออกจาก ‘ประตูไร้สิ่งสรรพ’ พร้อมส่งคนเหล่านั้นออกจากจวนหนานลัว ทำให้หนานเหยาได้แต่ถามอย่างงุนงง “อาจารย์ เหตุใดท่านถึงปล่อยพวกเขาไป?”
“พวกมันยังมีประโยชน์อยู่” ลู่เฉินเอ่ยอย่างเย็นชา ในขณะที่หนานลัวถามด้วยความสงสัยว่า “องค์ชายเจ็ดอยู่ที่ใดเล่า”
หนานเหยาเองก็อยากรู้เช่นกัน แต่ลู่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ถูกพระสนมอู่ส่งตัวกลับไปด้วยวิธีลับแล้ว”
“อันใดนะ?” หนานหลัวตกใจ ส่วนหนานเหยายิ่งอารมณ์เสียมากขึ้น
จู่ ๆ ชายหนุ่มก็หันมองไปที่ทั้งสองคน “ข้ามีเรื่องต้องทำ ขอตัวก่อน!”
หลังจากพูดจบ เขาก็จากไปอีกครั้ง ส่วนหนานเหยาก็ได้แต่สงสัยว่าลู่เฉินกำลังจะทำอะไร
สำหรับลู่เฉิน เมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็มาถึงสถานที่แห่งหนึ่งแล้ว