ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 261 สตรีผู้มีไอภูตผีมาเยือน
บทที่ 261 สตรีผู้มีไอภูตผีมาเยือน
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อย “บนร่างสตรีเหล่านี้งั้นหรือ?”
“ใช่!” องค์ชายเจ็ดมองเขาด้วยรอยยิ้ม ทว่าในรอยยิ้มนั้นลอบซ่อนจิตสังหารไว้ ขณะที่ลู่เฉินเพียงเอ่ยพลางแย้มยิ้ม “ไม่ใช้เคล็ดวิชา? ใช้แค่มือ?”
“ถูกต้อง!” องค์ชายเจ็ดหัวเราะ
แต่ชายหนุ่มพลันถามกลับมาว่า “แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่ามันอยู่บนตัวพวกนางหรือไม่?”
“มันอยู่ที่พวกนางแน่นอน” องค์ชายเจ็ดเอ่ยอย่างมั่นใจ ลู่เฉินจึงหันไปยิ้มให้สตรีเหล่านั้น “มันอยู่ที่ตัวพวกเจ้าจริง ๆ หรือ?”
สตรีเหล่านั้นพยักหน้าและมองลู่เฉินด้วยรอยยิ้ม ความเย้ายวนในรอยยิ้มนี้ราวกับต้องการจะยั่วยวนลู่เฉิน แต่ลู่เฉินคือผู้ใด? จอมมารลู่ผู้ยิ่งใหญ่เมื่อหนึ่งแสนปีที่แล้ว ผู้มีประสบการณ์ถึงเก้าชีวิต เขาจะถูกแม่นางน้อยสองสามคนล่อลวงได้อย่างไร?
แต่หากชายหนุ่มอยากได้แผนที่ชี้แดนลับที่ต้องการ เช่นนั้นก็คงต้องลองดูกันสักหน่อย
ดังนั้นลู่เฉินจึงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
ทุกคนต่างสงสัยว่าลู่เฉินกำลังจะทำอะไร โดยเฉพาะองค์ชายเจ็ดที่งุนงง “อันใดเล่า? ข้าให้เจ้าไปแล้ว แต่เจ้าไม่ต้องการมันหรือ”
ลู่เฉินใช้ ‘วิชาหมื่นวิญญาณ’ เพื่อสัมผัสถึงกลิ่นอายต่าง ๆ บนร่างของสตรีเหล่านี้ โดยมุ่งเน้นไปยังแผนที่นั้นซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังปราณ ลู่เฉินจึงค้นพบว่าแผนที่ชี้แดนลับนี้อยู่ที่ใด
ชายหนุ่มหันกลับมาพร้อมรอยยิ้ม “ข้ารู้แล้วว่าอยู่ที่ใคร!”
“ใคร?” องค์ชายเจ็ดเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ส่วนจางเชียนและคนอื่น ๆ คิดว่าลู่เฉินล้อเล่น
ลู่เฉินจึงเดินไปหาสตรีนางหนึ่งและยิ้มให้นาง “เป็นเจ้า”
แม้ว่าสตรีคนนั้นจะได้รับการฝึกฝนมา แต่นางก็ยังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อลู่เฉินรู้ แต่ถึงกระนั้นนางยังคงตอบสนองอย่างรวดเร็ว และเหวี่ยงตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของลู่เฉินพร้อมกับกริชสีทองในมือหมายจะแทงใส่อีกฝ่าย
ลู่เฉินแสยะยิ้มร้ายกาจ มือขวาของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขาดึงแผนที่ออกจากแขนของนางทันที จากนั้นจึงก้าวออกไป กลายเป็นว่าสตรีนางนั้นพลาดท่าเข้าเสียแล้ว!
องค์ชายเจ็ดและคนอื่น ๆ ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
หลังจากที่ลู่เฉินได้แผนที่มาแล้ว เขาก็มองไปยังองค์ชายเจ็ดด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณท่านมาก”
องค์ชายเจ็ดรู้สึกหงุดหงิดและตะโกนสั่งขึ้นมาทันที “เปิดค่ายกล!”
ในเวลานี้เอง ห้องทั้งห้องเริ่มเปลี่ยนไป จากนั้นรอบกายก็พลันเปลี่ยนเป็นป่าอันมืดมิด ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ลู่เฉินยังคงมีรอยยิ้มประดับใบหน้า “ค่ายกลนี้ไม่เลวเลย!”
“เพ้ย! ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลสวรรค์ระดับเก้าดาว อย่าว่าแต่เจ้าเลย การขังปรมาจารย์ขั้นแปลงเซียนก็ไม่ใช่ปัญหาใด!” องค์ชายเจ็ดกล่าวอย่างภาคภูมิใจ แต่ลู่เฉินมองไปที่ตู๋ซานชิงและจางเชียนก่อนจะถามว่า “สองคนนี้ไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าข้าถนัดเรื่องค่ายกล?”
องค์ชายเจ็ดพูดอย่างได้ใจ “ค่ายกลนี้แตกต่างจากทั่วไป”
“ต่างจากทั่วไป?”
“ใช่ นี่เป็นค่ายกลที่ใช้เพียงครั้งเดียวและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ มิฉะนั้น ค่ายกลจะโจมตีบุคคลนั้นทันที” องค์ชายเจ็ดเอ่ยอย่างมั่นใจ ส่วนตู๋ซานชิงก็หัวเราะเยาะลู่เฉิน “เจ้าหนุ่ม ได้ยินไหม? นี่ไม่ใช่ค่ายกลธรรมดา”
จางเชียนพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “เจ้าหนุ่ม ก่อนหน้านี้เจ้าควบคุมค่ายกลของคนอื่นและดัดแปลงค่ายกลของคนอื่นได้ แต่คราวนี้เจ้าทำไม่ได้!”
ลู่เฉินพูดขึ้นมาดื้อ ๆ ว่า “เปลี่ยนค่ายกลไม่ได้ แต่ทำลายได้!
“น่าขันยิ่งนัก หากเจ้าต้องการทำลายค่ายกลสวรรค์ระดับเก้าดาว อย่างน้อยเจ้าต้องมีพลังอย่างน้อยก็ขั้นแปลงเซียน แล้วเจ้าเล่า ก็แค่ขั้นสร้างรากฐาน คิดว่าจะทำลายมันได้หรือ!” องค์ชายเจ็ดเอ่ยอย่างดูแคลน
ชายหนุ่มไม่สนใจอีกฝ่าย “ดูเหมือนว่าการคุยเรื่องค่ายกลกับเจ้าจะเป็นการดูถูกวิชาด้านค่ายกลของข้าแล้ว”
องค์ชายเจ็ดทรงกริ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ข้าขอบอกเจ้าว่าวันนี้ไม่มีใครช่วยเจ้าได้!”
หลังจากพูดจบ สตรีเหล่านั้นต่างก็เผยตัวตนที่แท้จริงออกมา นั่นคือนักฆ่า และฐานการฝึกฝนของพวกนางล้วนอยู่ในขั้นก่อกำเนิด!
ภายใต้คำสั่งขององค์ชายเจ็ด สตรีเหล่านี้ต่างพากันใช้เคล็ดวิชา แต่เมื่อ ‘กำแพง’ ของเฉินลู่เปิดออก เขาก็ยืนอยู่ที่นั่นและปล่อยให้อีกฝ่ายโจมตี อีกทั้งยังเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไฟกัลป์คู่หรือแม้แต่ยอดฝีมือของพวกเจ้ายังไม่อาจกล้ำกรายข้าได้ นับประสาอะไรกับแม่นางเหล่านี้”
องค์ชายเจ็ดตะคอกเสียงดังลั่น “นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่เคยเห็นพวกนางรวมพลังโจมตีด้วยกัน!”
ทันใดนั้น สตรีเหล่านั้นก็ยืนเรียงกันเป็นแถว และหลังจากที่พลังในร่างกายของพวกนางถูกปลดปล่อยออกมา พลังปราณของคนเหล่านี้ก็หลอมรวมกัน ก่อเกิดเป็นรอยแสงสีเขียวขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่ลู่เฉินทันที!
ทันใดนั้นลู่เฉินก็หายตัวไป
“ไปไหนแล้ว” ทุกคนตกใจ สตรีเหล่านั้นพลันตกใจเช่นกัน และต่างพากันมองไปรอบ ๆ
ยามนี้ชายหนุ่มมาหยุดยืนอยู่ข้างหลังสตรีเหล่านั้นพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไม่เจียมตัวเอาเสียเลย!”
สตรีเหล่านั้นต่างตื่นตกใจและหันมาทีละคน ทว่าลู่เฉินชักกระบี่กระบี่สยบเก้าทิศออกมา ก่อนส่งปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งโจมตีสตรีนางหนึ่งอย่างกะทันหัน
สตรีที่ถูกโจมตีกระเด็นขึ้นไปในอากาศทันที ทำให้คนที่เหลือตกใจยิ่ง แต่พวกนางก็รวมตัวกันอีกครั้ง ทว่าลู่เฉินก็ได้หายไปอีกครั้งเสียแล้ว
ความสามารถเช่นนี้ทำให้พวกนางตกใจไม่น้อยขณะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพราะลู่เฉินมักจะปรากฏตัวขึ้นอย่างผลุบ ๆ โผล่ ๆ และจัดการกับพวกนาง ทำให้คนส่วนใหญ่พากันล้มลงในเวลาไม่นาน
จางเชียนที่เฝ้ามองจากด้านข้างรู้สึกกระวนกระวายใจไม่น้อย “ชายผู้นี้ ข้าไม่ได้เจอเขาแค่สองสามเดือน ไฉนเขาจึงน่ากลัวปานนี้แล้ว!”
หน้าผากของตู๋ซานชิงมีเหงื่อผุดซึมออกมาเช่นกัน “ความเร็วน่ากลัวกว่าเดิมมาก!”
องค์ชายเจ็ดไม่ยินยอม เขาตะโกนบอกสตรีที่เหลือและฝาแฝดที่อยู่ข้างหลังว่า “ไปช่วยพวกเขา!”
ทั้งสองจึงออกไปทันที
แต่สตรีเหล่านี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลู่เฉินอยู่ที่ใด และพวกนางต่างก็ได้รับบาดเจ็บเพราะลู่เฉิน
ทว่าคนเหล่านี้เป็นยอดฝีมือขั้นก่อกำเนิด ดังนั้นอาการบาดเจ็บจึงไม่ได้ร้ายแรงเกินไปนัก และพวกนางสามารถต่อสู้ต่อไปได้ แต่หากล่าช้าต่อไปเช่นนี้ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ดังนั้นจางเชียนจึงถามอย่างกังวลว่า “องค์ชายเจ็ด เราจัดการเขาไม่ได้เลย”
ตู๋ซานชิงกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เราต้องหาทาง มิฉะนั้น คนเหล่านี้จะได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่ช้าก็เร็ว และพวกเขาจะไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป”
องค์ชายเจ็ดไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอ่ยอย่างมืดมนว่า “ทุกคนถอยกลับมา!”
คนเหล่านั้นถอยกลับไปด้านข้างขององค์ชายเจ็ดทีละคน ส่วนลู่เฉินก็ปรากฏตัวขึ้นพลางมองดูคนเหล่านั้นด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้ม “อันใดกัน? ไม่เล่นต่อแล้วหรือ?”
“เจ้าก็แค่เร็วไม่ใช่หรือ ข้าจะหาคนมาเล่นเป็นเพื่อนเจ้าเอง! ให้เจ้าได้ลิ้มรสความรวดเร็วของนาง!” หลังจากที่องค์ชายเจ็ดกล่าวจบ เขาก็ตะโกนเข้าไปในความมืด “เฮยเม่ย ออกมา!”
ยามนี้เอง เงาร่างสีดำพลันปรากฏกายขึ้น ร่างเพรียวบางสวมชุดคลุมสีดำ ร่างกายล้อมรอบด้วยไอดำ ทั้งยังสวมหน้ากากสีดำ ดูแล้วไม่ธรรมดายิ่งนัก
ตู๋ซานชิงตกตะลึง “นางเป็นสาวใช้ของพระสนมอู่ไม่ใช่หรือ?”
“ใช่ เป็นสาวใช้ของมารดาข้าเอง” องค์ชายเจ็ดพูดอย่างภาคภูมิใจ เห็นได้ชัดว่าตู๋ซานชิงเคยได้ยินกิตติศัพท์ของแม่นางผู้นี้มาก่อน เขาจึงพูดขึ้นว่า “สตรีนางนี้น่าทึ่งยิ่งนัก!”
องค์ชายเจ็ดกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ “แน่นอน!”
จางเชียนถามตู๋ซานชิง “นางเก่งมากงั้นหรือ?”
“มีข่าวลือว่าปรมาจารย์ขั้นแปลงเซียนไม่สามารถตามความเร็วของนางได้ทัน” ตู๋ซานชิงพูดด้วยน้ำเสียงลึกลับ
จางเชียนพลันเบิกกว้าง “เจ้าว่าอันใดนะ!”
ส่วนองค์ชายเจ็ด เขามองไปที่เฮยเม่ยด้วยรอยยิ้ม “เฮยเม่ย จัดการเขาให้ดี แล้วบอกให้เขารู้ว่าความเร็วที่แท้จริงเป็นอย่างไร!”
เฮยเม่ยไม่พูด แต่สายตาภายใต้หน้ากากจับจ้องไปทางลู่เฉินแล้ว
ลู่เฉินมองไปที่นางก็พบว่าอีกฝ่ายมีรากวิญญาณสวรรค์เก้าดาว อีกทั้งยังเป็นธาตุลมอีกด้วย
สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มหัวเราะออกมา “ไม่เลว รากวิญญาณสวรรค์ธาตุลมเก้าดาว!”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘รากวิญญาณสวรรค์ธาตุลมเก้าดาว’ ทุกคนต่างพากันตกตะลึง แม้แต่องค์ชายเจ็ดก็เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้ว่าเฮยเม่ยผู้นี้ทรงพลังเพียงใด ตอนนี้เขาจึงยิ่งตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว