ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 259 ช่างมีความพยายามมากนัก แม้แต่สิ่งนี้ก็นำออกมา!
บทที่ 259 ช่างมีความพยายามมากนัก แม้แต่สิ่งนี้ก็นำออกมา!
เมื่อตู๋ซานชิงและจางเชียนมองหน้ากัน จึงเอ่ยถามองค์ชายเจ็ดด้วยความแปลกใจ แต่องค์ชายเจ็ดกลับยิ้มชั่วร้ายออกมาแล้วสั่งว่า “ไป!”
ทุกคนรีบแยกย้ายออกจากโรงน้ำชาทันที
…
หลังจากที่ลู่เฉินและหนานเหยากลับไปถึงจวนของหนานลัวแล้ว เขาก็ขังตัวเองอยู่ภายในห้องลับ
ภายในห้องลับนั้น ลู่เฉินจ้องมองซูหนานพลางยิ้มและเอ่ยถามขึ้นมา “อยากมีกายเนื้อหรือไม่?”
“หมายความเช่นไร?”
“ข้าสามารถปลดปล่อยเจ้า และสามารถสร้างกายเนื้อให้เจ้าได้ แต่…”
“แต่อะไร?” ซูหนานสงสัย
“เมื่อกลับไปยังสำนักแมลงมาร เจ้าต้องช่วยข้าตรวจสอบแมลงพิษหมอกโลหิตนี้ว่ามีที่มาอย่างไร” ลู่เฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ซูหนานได้ยินเช่นนั้นจึงตกตะลึงขึ้นมา “เจ้าให้ข้าไปตรวจสอบสำนักแมลงมาร?”
“เช่นไร? มีปัญหาใดหรือ?” ชายหนุ่มยิ้มยียวนอีกฝ่าย
ซูหนานกลับเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เจ้าอยากรู้ที่มาของแมลงนั่นขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“ใช่!”
ซูหนานคิดว่าเป็นเพียงแค่การสอดแนมเท่านั้น ตนไม่ได้ไปสร้างความเสียหายให้กับสำนักแมลงมาร จึงตอบตกลงไป “ได้”
ลู่เฉินจึงนำสิ่งของบางอย่างที่ตนเพิ่งซื้อออกมาและเริ่มสร้างมัน
ซูหนานลอยตัวอยู่เช่นนั้น แสดงสีหน้าสงสัยออกมา และพึมพำบางอย่างภายในใจ ‘คนผู้นี้แท้จริงแล้วคือใคร? เหตุใดเป็นเพียงขั้นสร้างรากฐาน แต่กลับมีความสามารถเช่นนี้!”
ลู่เฉินไม่ได้สนใจท่าทางแปลกใจของอีกฝ่าย เขาใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปก็สามารถสร้างกายเนื้อได้อย่างสมบูรณ์ จากนั้นจึงให้จิตวิญญาณของซูหนานลอยเข้าไป
ซูหนานทำตาม และเพียงไม่นานก็หลอมรวมเข้ากับกายเนื้อนี้เป็นร่างเดียว ทำให้ตนมีร่างกายใหม่ขึ้นมา
นี่จึงทำให้ซูหนานรู้สึกเหลือเชื่อเกินไป “นี่…”
“เรียบร้อย เจ้าสามารถออกไปได้แล้ว” ลู่เฉินพูดจบก็เก็บกู่ฉินเข้ามาและพาซูหนานออกไป แต่ซูหนานกลับสงสัยว่า “เจ้าปล่อยข้าออกไปง่าย ๆ เช่นนี้เลยหรือ?”
“กายเนื้อนี้ข้าเป็นผู้สร้างขึ้นมาและเจ้าหลอมรวมกับมันแล้ว ดังนั้นหากเจ้าคิดทรยศข้าจริง ๆ หรือไม่ช่วยข้าจัดการบางเรื่อง ข้าสามารถทำให้เจ้าและกายเนื้อนี้เผาไหม้ได้ตลอดเวลา” คำกล่าวนี้ทำให้ซูหนานมีสีหน้าเปลี่ยนไป
หลังจากลู่เฉินแสยะยิ้มให้ เขาก็เดินออกจากห้องลับนี้ไป
ซูหนานรีบตามออกไปทันที
ด้านนอกของห้องลับ เมื่อหนานลัวและหนานเหยาได้เห็น ‘ร่างมีชีวิต’ ของซูหนาน ทั้งสองก็พลันตกตะลึง โดยเฉพาะเมื่อเห็นลู่เฉินส่งอีกฝ่ายออกไป หนานเหยาก็รีบเอ่ยถามด้วยความสงสัย “อาจารย์ เกิดสิ่งใดขึ้นหรือ?”
หนานลัวเองก็อยากรู้เช่นกัน
ลู่เฉินจึงเล่าเรื่องทั้งหมดเพียงสั้น ๆ หนานเหยาได้ยินเช่นนั้นพลันกล่าวออกมาด้วยความนับถือจากใจจริง “อาจารย์ ท่านยอดเยี่ยมที่สุดเลย!”
หนานลัวกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเกินไป จึงเอ่ยถามลู่เฉินด้วยความแปลกใจ แต่ชายหนุ่มเพียงเอ่ยว่า “นี่หาใช่เรื่องใหญ่”
พูดจบ เขาก็เตรียมกลับไปยังห้องพัก แต่ขณะนั้นเอง คนผู้หนึ่งเข้ามาจากด้านนอก และยังมอบกล่องบางอย่างให้ลู่เฉิน
ครั้นมองไปยังคนแปลกหน้าที่ส่งของบางอย่างมาให้ ลู่เฉินก็เพียงยิ้มพลางเอ่ยถาม “ผู้ใดส่งมาหรือ?”
คนผู้นั้นตอบเพียงสั้น ๆ “องค์ชายเจ็ด”
พูดจบ คนผู้นี้ก็หมุนตัวเดินจากไป
หนานเหยาจึงเอ่ยอย่างประหลาดใจ “องค์ชายเจ็ดผู้นี้คิดจะทำสิ่งใดกัน?”
หนานลัวเพิ่งได้ยินเรื่องขององค์ชายเจ็ดผู้นี้จากหนานเหยา ดังนั้นเขาจึงเอ่ยเตือนทันที “ทางที่ดีคือระวังตัวเสียหน่อย องค์ชายเจ็ดผู้นี้ร้ายกาจมาก”
ลู่เฉินพลิกกล่องใบนี้ดูรอบ ๆ มันเหมือนกับกล่องแต่งหน้าของสตรีสีดำอะไรเช่นนั้น
“องค์ชายเจ็ดผู้นี้คิดจะทำสิ่งใด?” ลู่เฉินรู้สึกแปลกใจเช่นกัน จึงเปิดกล่องออกมาดู ภายในกล่องนี้ มีเทียบเชิญวางอยู่ฉบับหนึ่ง ขณะเดียวกัน บนเทียบเชิญนี้ยังถูกวางทับไว้ด้วยรูปภาพของหนังสัตว์ที่ขาดวิ่นภาพหนึ่ง
หนานเหยารีบเดินเข้ามาดู “ภาพนี้หมายถึงสิ่งใดหรือ?”
หนานลัวเองก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน
ภาพนี้ดูแล้วช่างรู้สึกแปลกประหลาดยิ่งนัก เพราะมองแวบแรกก็เหมือนกับภาพหนังสัตว์สีน้ำตาล ด้านบนดูไม่มีสิ่งใด แต่เมื่อมองไปอีกสักพัก ด้านบนกลับเกิดภาพหมอกชั้นหนึ่ง และมีภูเขาลูกเล็กอยู่หลายลูก
“นี่…” หนานลัวตกตะลึงขึ้นมา ขณะที่หนานเหยารู้สึกแปลกใจ “นี่คืออะไร?”
“แผนที่ชี้แดนลับแห่งแดนทักษิณา” หนานลัวตอบ
หนานเหยาพลันสงสัย “แผนที่ชี้แดนลับแห่งแดนทักษิณาคืออะไร?”
เป็นครั้งแรกที่ลู่เฉินได้ยินถึงสิ่งนี้เช่นกัน เขาจึงมองไปยังหนานลัวด้วยความสงสัย ส่วนหนานลัวก็พูดขึ้นมาว่า “แผนที่นี้สามารถชี้ช่องทางไปยังพื้นที่ซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังปราณฟ้าดิน ทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามต่างก็หมายแย่งชิงกัน และผู้ฝึกตนขั้นแปลงเซียนของทั้งสามดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ครอบครองที่นั่นอยู่”
หนานเหยาราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงเอ่ยออกมาว่า “หมายความว่าสามารถตามหาที่อยู่ของผู้คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามผ่านแผนที่นี้ได้?”
ทว่าหนานลัวส่ายหน้าปฏิเสธ “แผนที่นี้แบ่งออกเป็นสองส่วน เมื่อทั้งสองส่วนผนึกเข้าด้วยกัน ก็จะสามารถหาทางเข้าไปยังแดนลับนี้ได้ แต่ทางเข้าทุกทางสามารถเข้าได้มากสูงสุดเพียงสิบคน ดังนั้นแผนที่เช่นนี้จึงนับว่าล้ำค่ามาก ทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามต่างตามหาอย่างบ้าคลั่ง เพื่อเตรียมพร้อมให้ศิษย์ที่มีขั้นพลังต่ำเข้าไป”
หนานเหยาเอ่ยขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ “เช่นนั้นแผนที่นี้มีที่มาอย่างไร?”
“ไม่มีผู้ใดรู้ รู้เพียงแค่ว่าหากโชคดีก็อาจจะบังเอิญพบในภูเขาลึกหรือภายในท้องของสัตว์ป่าก็เป็นได้” หนานลัวอธิบาย แต่หนานเหยากลับเอ่ยขึ้นมาด้วยความแปลกใจ “ทำไมจึงแปลกประหลาดเช่นนี้?”
หนานลัวขานรับ และเมื่อลู่เฉินเปิดเทียบเชิญออกมา เขาก็เผยยิ้มเย็นชาทันที “ชายหนุ่มผู้นี้นี่นะ”
หนานเหยาแปลกใจ “อาจารย์ องค์ชายเจ็ดผู้นั้นว่าอย่างไร?”
“บอกว่า คืนนี้เชิญข้าไปร่วมงานเลี้ยงที่หอดอกแก้ว และยังบอกว่าหากข้าไป จะมอบแผนที่ส่วนที่สองให้ เช่นนี้ข้าก็จะสามารถทำให้มันเป็นรูปภาพเดียวกันได้ และสามารถหาทางเข้าไปยังแดนลับได้” ลู่เฉินยิ้มหยัน
เมื่อได้ยินดังนั้น หนานเหยาจึงยิ้มขบขันขึ้นมา “องค์ชายเจ็ดผู้นี้ช่างมีความพยายามนัก”
ทว่าหนานลัวกลับเอ่ยเตือนขึ้นมา “องค์ชายเจ็ด แต่ไหนแต่ไรจะไม่ยอมทำสิ่งที่ตนขาดผลประโยชน์เด็ดขาด ดังนั้นการเชิญครั้งนี้ ต้องมีอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่เป็นแน่”
หนานเหยาเห็นด้วย “แน่นอน มิเช่นนั้นคงไม่พยายามมากเช่นนี้ อีกทั้งยังนำสิ่งล้ำค่าเช่นนี้ออกมาด้วย”
ใครจะคิดว่าลู่เฉินกลับเก็บเทียบเชิญและแผนที่นั้นพลางยิ้มออกมา “คืนนี้ข้าจะไปหอดอกแก้ว”
พูดจบ เขาก็เดินเข้าจากไป ทิ้งให้หนานเหยารู้สึกงุนงง “อาจารย์ ท่านไม่ได้ล้อเล่นใช่หรือไม่?”
หนานลัวเองก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน จึงเอ่ยถามขึ้นมา “คุณชายลู่ พรุ่งนี้ต้องเข้าวัง คืนนี้ท่านไม่ควรจะมีเรื่อง”
ลู่เฉินเดินไปพลางพูดไป “วางใจเถิด ลำพังความสามารถพวกเขา ต่อให้มีเวลาเพิ่มอีกร้อยปีก็ไม่สามารถทำอะไรข้าได้”
ชายหนุ่มพูดด้วยความมั่นใจ นี่ทำให้หนานเหยาไม่อาจโน้มน้าวอะไรต่อ ได้แต่เพียงเดินตามลู่เฉินไป “อาจารย์ เช่นนั้น ท่านพาข้าไปด้วยได้หรือไม่?”
“ที่นั่นมีแต่สตรี จะพาเจ้าไปทำไมกัน?” ลู่เฉินยิ้มเจื่อนออกมา หนานเหยาจึงพูดด้วยความร้อนใจ “ข้าสามารถแต่งกายเป็นชายได้ จากนั้นค่อยแฝงตัวเข้าไป คอยดูคนพวกนั้นว่าจะจัดการท่านอย่างไร!”
ลู่เฉินส่ายหน้าปฏิเสธ “ในเทียบเชิญเขียนไว้เพียงแค่คนเดียว และหากเจ้าไป เจ้าก็จะกลายเป็นเป้าหมายของพวกเขาแทน ดังนั้นไม่ต้องไปหรอก”
หนานเหยาพูดออกมาด้วยความผิดหวัง “เช่นนั้นก็ไม่ได้เห็นเรื่องสนุกเสียแล้ว”
“ข้าจะบันทึกภาพกลับมาให้เจ้าดู ดีหรือไม่?”
“ขอบคุณท่านอาจารย์!” หนานเหยาพูดขึ้นมาด้วยความดีใจ แต่ลู่เฉินเพียงแค่ยิ้มตอบ ไม่ได้เอ่ยใด ๆ และเดินกลับเข้าไปภายในค่ายกลอีกครั้ง
ค่ายกลนี้สามารถสอดแนมได้ทั่วเมือง ดังนั้นเมื่อลู่เฉินเข้าไปแล้วจึงใช้ประโยชน์จากค่ายกลนี้ แทรกจิตเข้าไปภายในหอดอกแก้ว ดูว่าคนเหล่านั้นคิดจะทำอะไรในหอดอกแก้ว
ในขณะที่ห้องส่วนตัวภายในหอดอกแก้วนั้น องค์ชายเจ็ดกำลังสื่อสารบางอย่างกับสตรีกลุ่มหนึ่ง ซึ่งตู๋ซานชิงและจางเชียนก็อยู่ที่นั่น
“เจ้าคิดว่าเขาจะกล้ามาหรือไม่?” จางเชียนเอ่ยถามตู๋ซานชิง ตู๋ซานชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา “แผนที่ชี้แดนลับแห่งแดนทักษิณาล้ำค่าปานนั้น บวกกับความกล้าบ้าบิ่นของเขา ข้าคิดว่าเขาอาจจะลองมาดูก็เป็นได้!”
เมื่อจางเชียนได้ยินเช่นนั้นจึงโมโหร้ายขึ้นมา “ถ้าหากมา เขาต้องจบเห่แน่!”
ตู๋ซานชิงยิ้มพิกลพลางเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าสตรีที่องค์ชายเจ็ดเตรียมไว้นั้นเป็นเช่นไร แต่เขาต้องทนไม่ได้แน่!”