ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 257 จวนตะวันคล้อย ไฟกัลป์คู่ เป็นชื่อที่ยิ่งใหญ่มาก!
บทที่ 257 จวนตะวันคล้อย ไฟกัลป์คู่ เป็นชื่อที่ยิ่งใหญ่มาก!
หนานเหยาเกลียดผู้มีนิสัยหยิ่งยโสเผด็จการเช่นนี้มาก่อนแล้ว ยิ่งตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว นางจึงตะโกนออกมาทันที “เจ้าจะเข้ามาแฝงตัวหรือไม่นั้น เกี่ยวอะไรกับอาจารย์ของข้า!”
ผู้คนด้านนอกต่างพากันตกตะลึงขึ้นมา พวกเขาไม่คิดว่าหญิงสาวคนหนึ่งจะกล้าเผชิญหน้ากับองค์ชายเจ็ดเช่นนี้ได้
องค์ชายเจ็ดเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา “เถ้าแก่จาง ข้าจะมอบหน้าที่นี้ให้เจ้า!”
จางเชียนขานรับ “ขอรับ!”
เมื่อเห็นจางเชียนระเบิดพลังปราณออกมา หนานเหยาก็ไม่ยอมเช่นกัน พลังปราณของทั้งสองจึงพุ่งเข้าปะทะเข้ากันอย่างรวดเร็ว
องค์ชายเจ็ดเผยยิ้มพลางมองไปยังตู๋ซานชิง “อาจารย์ห้า ชายผู้นี้คงต้องมอบให้ท่านแล้ว!”
ตู๋ซานชิงอยากจัดการลู่เฉินด้วยมือของตัวเองมานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงก้าวออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มขณะมองไปยังลู่เฉิน “ตอนนี้ไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าได้แล้ว อีกทั้งรอบข้างยังไร้ซึ่งค่ายกล ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะต้านทานข้าได้อย่างไร!”
“จริงหรือ?” ทว่าลู่เฉินไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใดก็สามารถทำให้ตู๋ซานชิงพ่ายแพ้ได้ เป็นตู๋ซานชิงที่คิดเอาเองว่าการฝึกฝนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาจะสามารถจัดการกับลู่เฉินได้อย่างไม่มีปัญหา
ดังนั้นด้านหน้าของตู๋ซานชิงจึงปรากฏมวลอากาศสีดำสว่างวาบขึ้นมาทันที จากนั้นมวลอากาศสีดำนี้ก็พลันก่อตัวเป็นตั๊กแตนขนาดใหญ่หนึ่งตัว
ทุกคนพลันตกตะลึงขึ้นมา “ตั๊กแดนดำ!”
“นั่นราชาตั๊กแตนดำ!”
“ใช่ ราชาตั๊กแตนดำแห่งหุบเขาแมลงพิษ!”
ทันใดนั้น ทุกคนต่างพูดถึงแมลงตัวใหญ่นั้น ส่วนองค์ชายเจ็ดยิ้มออกมาพลางเอ่ยว่า “อาจารย์ห้าจัดการคนเช่นนี้ จำเป็นต้องใช้วิธีการปานนี้ด้วยหรือ?”
“รีบจัดการเขาให้เสร็จสิ้น เรื่องราวจะได้ไม่ยืดเยื้อ!” ขณะนั้นเอง ตู๋ซานชิงที่มีความมั่นใจก็ได้เผยยิ้มกว้างจนน่าเกลียดออกมา
แต่เมื่อหนานเหยาได้ยินเช่นนั้นกลับยืนอยู่ตรงนั้นและตะโกนขึ้นมา “อย่าว่าแต่แมลงเพียงหนึ่งตัวเลย ถึงแม้จะมีเป็นสิบ ๆ ตัว ก็ไม่สามารถทำอะไรอาจารย์ข้าได้!”
“นางคนตัวเหม็น เจ้าดูแลตัวเองให้ดีเสียเถิด!” ตู๋ซานชิงเยาะเย้ยขึ้นมา
หนานเหยาเบิกตากว้าง “อีกไม่นานพวกเจ้าจะต้องทุกข์ทรมาน!”
ตู๋ซานชิงไม่คิดเช่นนั้น เขายังคงมองลู่เฉินด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “เจ้าตั้งใจรับให้ดีเล่า!”
เพียงไม่นานแมลงตัวใหญ่ก็พุ่งออกไปทันที หัวของมันมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับคนคนหนึ่ง ขณะเดียวกันลำตัวสีดำนั้นก็ดูราวกับมันสวมใส่เสื้อเกราะเอาไว้
แต่เมื่อทุกคนต่างคิดว่าลู่เฉินจะถูกตั๊กแตนดำนี้ฉีกกระชากร่างเป็นชิ้น ๆ ได้อย่างง่ายดายนั้น ชายหนุ่มก็พลันยิ้มออกมา
ทุกคนต่างพากันแปลกใจว่าลู่เฉินยิ้มอะไร จนกระทั่งเกิดฉากที่ไม่คาดฝันขึ้น
พวกเขาเห็นว่าตั๊กแตนดำนี้จู่ ๆ ก็หมุนตัวกลับมากลายเป็นภาพติดตาภาพหนึ่งและหายไป
“เกิดอะไรขึ้น?” ผู้คนในบริเวณนั้นต่างก็รู้สึกสับสน ตู๋ซานชิงยิ่งตกตะลึง รีบใช้เคล็ดวิชาเรียกหามันทันที แต่ก็ไม่สามารถเรียกตั๊กแตกดำนี้กลับมาได้
หนานเหยาพลันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ออกมา “เห็นหรือยังเล่า เพียงแมลงนั่นเห็นอาจารย์ของข้าก็หวาดกลัวจนหนีไปเสียแล้ว”
ตู๋ซานชิงกังวลใจ องค์ชายเจ็ดจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “อาจารย์ห้า เกิดสิ่งใดขึ้น?”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน” ตู๋ซานชิงไม่เข้าใจนักว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หนานเหยาจึงยิ้มอย่างชอบใจ “เป็นเช่นนี้ ยังคิดจะจัดการกับอาจารย์ข้าอยู่หรือ? ช่างไร้เดียงสาเสียจริง!”
องค์ชายเจ็ดรู้สึกไม่สบอารมณ์ เขาจ้องไปยังตู๋ซานชิงทันที “อาจารย์ห้า ต้องการความช่วยเหลือใดหรือไม่?”
“ข้าจัดการได้!” ตู๋ซานชิงยังอยากที่จะจัดการลู่เฉินด้วยมือของตนจึงโบกมือปฏิเสธ จากนั้นรอบกายของลู่เฉินก็เต็มไปด้วยหมอกควันสีเขียว สีแดง และสีน้ำเงิน
ตู๋ซานชิงยิ้มเย็นชาออกมา “จักให้เจ้าได้ลิ้มลองพิษสามสีดู!”
เมื่อทุกคนได้ยินชื่อพิษสามสี แต่ละคนก็ตกตะลึงจนบางคนถึงกับอ้าปากค้าง “หรือว่านี่คือสิ่งที่เล่าลือกัน เป็นยาพิษที่ทำให้ยอดฝีมือขั้นหลอมแก่นแท้สามารถเป็นบ้าได้อย่างง่ายดาย?”
“ใช่ พิษสามสีนี้ เมื่อถูกดูดเข้าไปภายในร่างกายจะเกิดอาการบ้าคลั่งขึ้นมาก่อน จากนั้นร่างกายจะเริ่มเสื่อมสภาพจนสุดท้ายจิตวิญญาณก็จะหายไป”
“เป็นพิษที่รุนแรงมาก!”
“พ่อหนุ่มผู้นี้คงจบเห่เสียแล้ว!”
ตู๋ซานชิงยิ่งยิ้มหยันออกมา องค์ชายเจ็ดก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก ใบหน้าหันมองหนานเหยาก่อนจะเอ่ยออกมา “อีกไม่นานก็จะเป็นคราวของเจ้า!”
ทว่าหนานเหยากลับไม่สนใจ “ลำพังพิษเช่นนี้ของพวกเจ้ายังคิดจะทำร้ายอาจารย์ของข้าได้? น่าขันแล้ว!”
ตู๋ซานชิงมั่นใจว่าพิษของตนนั้นแข็งแกร่งและรุนแรงมาก จึงตอบกลับไปว่า “นางผู้หญิงน่าเกลียด พิษนี้ข้าได้รับมาจากวังพิษสวรรค์ด้วยราคาที่สูงมาก!”
เมื่อผู้คนได้ยินคำว่าวังพิษสวรรค์ พวกเขาก็พากันตกใจจนอ้าปากค้าง
วังพิษสวรรค์ เป็นสำนักที่มีชื่อเสียงเรื่องยาพิษแต่มีความลึกลับเป็นอย่างมาก ผู้ที่รู้จักนั้นมีจำนวนอยู่ไม่มาก แม้กระทั่งแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามในแดนทักษิณา ผู้คนมากมายต่างหวาดกลัวพิษที่มาจากวังแห่งนี้ ดังนั้นเมื่อได้ยินชื่อของวังพิษสวรรค์นั้นจึงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุทันที
แต่หนานเหยายังคงไม่รู้สึกกังวลใด ๆ “คอยดูเถิด มันไม่มีประโยชน์!”
ตู๋ซานชิงคิดว่าหญิงสาวเพียงแค่แสร้งทำเท่านั้น เขาจึงยิ้มออกมา “รอก่อนเถิด เจ้าจะได้ยินเสียงพ่อหนุ่มผู้นี้กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด!”
“ใครบอกว่าข้าจะกรีดร้องขึ้นมาหรือ?” หมอกควันกระจายตัวออก ลู่เฉินที่ยืนอยู่ตรงนั้นฉีกยิ้มพลางมองไปยังผู้คน
หนานเหยาถึงกับดีใจขึ้นมา ส่วนตู๋ซานชิงนั้นอยู่ในอาการตกตะลึง องค์ชายเจ็ดเห็นเช่นนั้นจึงครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยว่า “อาจารย์ห้า ยาพิษของท่านนั้นใช่ของจริงหรือไม่?”
“ของแท้อย่างแน่นอน ข้าเพิ่งได้รับมันมาเมื่อไม่นานมานี้” ตู๋ซานชิงรับประกัน แต่องค์ชายเจ็ดไม่รู้สึกยินดีนัก จึงทำเพียงตะโกนสั่งชายทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างกาย “พวกเจ้าไปนำตัวเขามา!”
ทันใดนั้นเอง องค์ชายเจ็ดได้หมดความอดทนลงเสียแล้ว
ตู๋ซานชิงจึงเอ่ยออกมาว่า “องค์ชายเจ็ด เหลือชีวิตเขาไว้ให้ข้า ให้ข้าได้จัดการเขา!”
“วางใจเถิด ข้าจะทิ้งไว้ให้เจ้าแน่นอน” ครั้นองคชายเจ็ดเอ่ยจบ ชายฝาแฝดคู่นั้นจึงลงมือทันที คนหนึ่งสำแดงกระบี่ไฟเพลิงออกมา อีกคนหนึ่งนำดาบไฟเพลิงออกมา
บางคนยังคงไม่ปริปากใด ๆ ส่วนบางก็พูดออกมา “ได้เผชิญหน้ากับไฟกัลป์คู่ขององค์ชายเจ็ดนั้น มีเพียงแค่รอความตายได้อย่างเดียว!”
“ใช่ มีทั้งวิชาดาบ วิชากระบี่ ผสานร่วมเข้าด้วยกัน ช่างน่ากลัวนัก!”
“ใช่!”
เห็นได้ชัดว่าคนบางกลุ่มที่เพิ่งเดินผ่านมานั้นไม่รู้จักทั้งสองคน ดังนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “สองคนนี้เก่งกาจหรือไม่?”
“ขั้นก่อกำเนิดผู้ติดอันดับในจวนตะวันคล้อย พวกเขาคือยอดฝีมือธาตุไฟอันดับที่สิบแปดและสิบเก้า!”
เมื่อทุกคนได้ยินชื่อจวนตะวันคล้อย แต่ละคนถึงกับสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด เพราะจวนตะวันคล้อยนั้นปกติแล้วมีเพียงผู้มีความสามารถของแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามเท่านั้นที่กล้าต่อกรด้วย แต่ตอนนี้กลับปรากฏสองคนผู้นี้ขึ้นมา และยังเป็นยี่สิบอันดับแรกของธาตุไฟอีกด้วย
แต่หนานเหยายังคงไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้น นางยังเอ่ยเตือนองค์ชายเจ็ดว่า “ข้าแนะนำให้เจ้าบอกพวกเขาทั้งสองว่าไม่ควรลงมือ มิเช่นนั้นอาจจะได้รับบทเรียนจากอาจารย์ของข้าจนอับอายเอาได้!”
องค์ชายเจ็ดไม่สนคำเตือนของหนานเหยา แต่กลับมองไปยังทั้งสองคนที่เตรียมตัวจะลงมือ “ไม่ต้องสนใจนาง ลงมือตอนนี้เสีย!”
“ขอรับ!”
ทั้งสองก้าวขึ้นไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง คนหนึ่งเตรียมพร้อมจะฟาดกระบี่ออกไป อีกคนเตรียมจะใช้ดาบสับฟัน การเคลื่อนไหวของทั้งคู่ประสานไปพร้อม ๆ กัน แม้แต่ท่าทางและอารมณ์ยังเหมือนกันยิ่งนัก
แต่เมื่อทั้งสองเตรียมที่จะพุ่งเข้าไปปลิดชีวิตนั้น ดาบและกระบี่นี้กลับลอยขึ้นไปกระทบเพดานและกำแพงทันที
ทุกคนต่างมีสีหน้าสับสน ขณะที่ทั้งสองคนนั้นพลันเบิกตากว้าง
หนานเหยาหัวเราะเสียงดังลั่น
องค์ชายเจ็ดมีสีหน้าดูไม่ดีนัก เขาถามขึ้นทันทีว่า “พวกเจ้าทั้งสองมัวทำอันใดอยู่!?”
คนทั้งสองต่างก็ไม่เข้าใจ ทำได้เพียงรีบเก็บกระบี่และดาบกลับมาทันที ก่อนจะเตรียมลงมืออีกครั้ง แต่ทั้งสองกลับพบว่าไม่สามารถควบคุมกระบี่และดาบนี้ได้ ซ้ำยังส่งเสียงราวกับแมลงออกมา
“องค์ชายเจ็ด ข้า… กระบี่และดาบของพวกข้าเกิดปัญหาขึ้นแล้ว!” ชายผู้ถือดาบนั้นเอ่ยขึ้นมาด้วยความร้อนใจ ส่วนชายผู้ถือกระบี่ตกอยู่ในอาการหวาดกลัว “องค์ชายเจ็ด ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังจะลอยออกไปพ่ะย่ะค่ะ!”