ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 252 ให้เจ้าอวดฝีมือ นี่คือผลที่ตามมา!
บทที่ 252 ให้เจ้าอวดฝีมือ นี่คือผลที่ตามมา!
หนานลัวอธิบายว่า “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มีบางอย่างเกิดขึ้น มันยังคงเป็นความลับและเป็นความลับที่โดยทั่วไปแล้วจะไม่เปิดเผยต่อโลกภายนอก”
เมื่อหนานหลิวและหนานเหยาได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น ส่วนหนานลัวนั้นอธิบายต่อไปว่า “มันปรากฏขึ้นในป่าแมลงพิษที่ชายแดนตะวันตกของราชวงศ์หนานโยว”
‘ป่าแมลงพิษ’ หนานหลิวและคนอื่น ๆ ตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ถึงอย่างไรเสียที่นั่นก็ไม่มีใครกล้าเข้าไป ดังนั้นพวกเขาจึงสงสัยว่าหนานลัวรู้ได้อย่างไรว่ามันปรากฏอยู่ที่นั่น
หนานลัวอธิบายต่อไปว่า “ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ สำนักตรวจการของพวกเรากำลังปฏิบัติภารกิจ พวกเขาได้เข้าไปที่นั่นจึงพบเข้า จากนั้นหลายคนก็เสียชีวิต ส่วนผู้ที่หลบหนีมาได้ก็เล่าสถานการณ์ในวันนั้นให้ฟัง”
หนานหลิวพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “สิ่งที่ปรากฏในป่าแมลงพิษ เหตุใดถึงมาปรากฏในเมืองนี้?”
หนานลัวเองก็ส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจ “ข้าไม่เข้าใจเรื่องนี้จริง ๆ”
ลู่เฉินมองดูพวกเขาแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าคุยกันไป ข้าจะให้พวกเขาฟื้นตัวก่อน”
ชายหนุ่มกล่าวจบก็ล้างพิษให้คนเหล่านี้ทีละคน จากนั้นพวกเขาก็ทยอยกันได้สติ ส่วนทหารรักษาการณ์เหล่านั้นก็พากันกราบไหว้ มีบางคนพูดกับเลี่ยอิงว่า “ผู้บัญชาการเลี่ย คิดไม่ถึงว่าเขาจะทรงพลังมากจริง ๆ”
เลี่ยอิงอารมณ์เสีย แต่เขากลัวจะเสียหน้าและไม่รู้ว่าควรจะพูดอันใด จึงทำได้เพียงมองดูอย่างเงียบ ๆ
หนานหลิวมีความสุขอย่างหาที่เปรียบมิได้ ส่วนลู่เฉินกลับมองไปที่หนานหลิวแล้วถามว่า “แมลงพวกนั้นมุ่งเป้าไปที่ทหารรักษาการณ์อย่างพวกเจ้าเท่านั้น แต่ไม่พุ่งเป้าไปที่ผู้ฝึกตนหรือว่าประชาชน?
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” หนานหลิวสงสัย
ลู่เฉินมองดูผู้ที่ถูกรักษาแล้วเอ่ยว่า “ข้าตรวจสอบแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นคนของพวกเจ้าทั้งหมด”
หนานหลิวพยักหน้า “ใช่ พวกเขาเป็นทหารรักษาการณ์ของข้าทั้งหมด ส่วนคนอื่น ๆ นั้นไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”
ครั้นได้ยินเช่นนี้ ลู่เฉินก็จมอยู่ในภวังค์ แต่หนานเหยาถามแปลก ๆ ขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ หรือว่าท่านคิดว่ามีคนอยากจัดการพวกเขา?
“อืม” ลู่เฉินส่งเสียงตอบรับ
หนานหลิวตกใจ “อันใดนะ?! มีคนต้องการจัดการกับพวกเรา?!”
ชายหนุ่มพยักหน้า “ถูกต้อง คนเหล่านั้นกำหนดเป้าหมายมาที่พวกเจ้า และคนเหล่านั้นยังควบคุมแมลงพิษหมอกโลหิตได้ด้วย”
หนานหลิวรู้สึกหดหู่ใจ “เราไม่ได้รุกรานใคร เหตุใดคนเหล่านั้นถึงกำหนดเป้าหมายมาที่พวกเรา?”
ลู่เฉินมองไปที่หนานหลิวพลางเอ่ยถามว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าไม่มีศัตรูที่ไหน?”
“ไม่มี!” หนานหลิวส่ายหัว ส่วนลู่เฉินครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้นว่า “ข้าจะไปที่เมืองก่อน พวกเจ้าไม่ต้องตามมา”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินออกมาจากคุกใต้ดิน ทุกคนพลันฉงนใจ แต่หนานหลิวกลับไม่วางใจ เพราะกลัวว่าเขาจะเกิดอุบัติเหตุ เขาจึงหันไปสั่งเลี่ยอิงว่า “เจ้าไปคุ้มกันเขาเถิด”
แม้ว่าเลี่ยอิงจะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังไป ส่วนหนานเหยาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอาจารย์ของข้าไม่ต้องการการคุ้มกัน”
“มีพวกลักลอบปะปนอยู่ในเมืองนี้ ข้าเกรงว่าจะมีคนทำร้ายเขา” หนานหลิวกล่าวอย่างเป็นกังวล ในขณะที่หนานเหยาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดว่า “ก็ได้ พวกเรากลับไปรอข่าวจากท่านอาจารย์ของข้าที่จวนท่านเจ้าเมืองก่อน”
หนานหลิวพลันสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาทันที “ผู้อาวุโส ท่านอาจารย์ของท่านจะหาคนที่ควบคุมพิษได้หรือ?”
“วางใจเถิด ท่านอาจารย์ของข้าออกไปเดินเล่น ซึ่งหมายความว่าเขาต้องได้อันใดสำคัญติดมือกลับมาแน่” หนานเหยากล่าวพลางเดินออกไปอย่างทะนงองอาจ ขณะที่หนานลัวนั้นอยากรู้อยากเห็นและพึมพำในใจว่า ‘พิษของแมลงพิษพวกนั้น ถูกถอนได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ…’
เมื่อคิดถึงความไม่ธรรมดาของลู่เฉิน หนานลัวก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ
…
ส่วนลู่เฉินนั้น หลังจากเดินออกจากคุกใต้ดิน เขาก็เดินอยู่ตามลำพังในเมือง และในเมืองแห่งนี้บางคนก็สงบนิ่งมาก แต่บางคนก็ประหม่ามาก อีกทั้งยังมักพูดคุยแต่เรื่องบ้า ๆ กัน
แต่สิ่งที่ชายหนุ่มไม่เข้าใจคือเหตุใดผู้วางยาพิษจึงไม่วางยาพิษทหารรักษาการณ์ทั้งเมืองในคราวเดียว แต่กลับทำทีละน้อยราวกับว่าพวกเขากำลัง ‘เล่น’ อยู่อย่างไรอย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่มีใครอธิบายให้ทราบได้ ลู่เฉินทำได้เพียงวางแผนที่จะหาคนที่เขาเห็นบนถนน เพราะรู้สึกว่ามีกลิ่นอายของแมลงพิษหมอกโลหิตจำนวนมากอยู่บนตัวคนผู้หนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงต้องตามหาคนคนนั้น
ดังนั้นเมื่อลู่เฉินเดินไปได้ระยะหนึ่ง เขาก็ร่าย ‘เคล็ดวิชาหมื่นวิญญาณ’ ออกมา
เลี่ยอิงที่ตามมาข้างหลังรู้สึกงงงวยยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นลู่เฉินเดินไปได้หนึ่งเค่อจากนั้นก็หยุดฝีเท้า และยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เขาจึงนึกสงสัยขึ้นมา “พ่อหนุ่มนั่นกำลังทำอันใด?”
มีเพียงลู่เฉินเท่านั้นที่รู้ว่า ‘เคล็ดวิชาหมื่นวิญญาณ’ ของตนในยามนี้มีระยะการมองเห็นประมาณสามลี้เท่านั้น
ดังนั้นเขาต้องไปสถานที่หนึ่ง จากนั้นก็ตรวจสอบแล้วจึงค่อยไปต่อ
ลู่เฉินย่อมรู้เรื่องที่เลี่ยอิงอยู่ข้างหลัง แต่เขาไม่สนใจอีกฝ่าย หลังจากนั้นสองชั่วยาม ลู่เฉินก็พบร่องรอยของชายคนนั้นในโรงเตี๊ยมขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ แล้วไปที่โรงเตี๊ยมนั้น ก่อนจะนั่งลงที่มุมหนึ่ง
เลี่ยอิงเองก็เข้ามาเช่นกัน แต่ทันทีที่เลี่ยอิงเข้ามา เสี่ยวเอ้อร์ก็เดินมาหาเขาทันที “ผู้บัญชาการเลี่ย มีคนเรียกท่านไปตรงนั้นขอรับ”
เลี่ยอิงมองไปยังทิศทางที่เสี่ยวเอ้อร์พูดถึง ซึ่งเป็นจุดที่ลู่เฉินอยู่พอดี ฉับพลันนั้นเขาก็ขมวดคิ้วมุ่น “ข้าเข้าใจแล้ว”
จากนั้นเลี่ยอิงก็เดินไปหาคนที่เรียกพร้อมกับกล่องที่ด้านหลัง
ลู่เฉินเพียงมองอีกฝ่ายเดินเข้ามา
จู่ ๆ เลี่ยอิงก็เผยท่าทางแปลกประหลาดออกมา “เจ้ากำลังตามหาข้าหรือ?”
“หรือว่าเจ้าไม่ได้ตามรอยข้ามา?” ชายหนุ่มยิ้มให้คนที่ขมวดคิ้วแน่น “องค์ชายหกเป็นคนขอให้ข้าคุ้มกันเจ้า”
“คุ้มกันข้าหรือ? แค่เจ้า?” คำพูดของลู่เฉินทำให้เลี่ยอิงไม่พอใจ “อย่าเอาแต่ดูถูกข้า!”
“ข้าไม่ได้ดูถูก แต่เป็นเจ้าที่ไม่แข็งแกร่งเอง!” คำพูดนี้ทำให้เลี่ยอิงยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจ “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็เป็นผู้ฝึกตนขั้นก่อกำเนิด ขณะที่เจ้าเป็นผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐาน”
ลู่เฉินยิ้มกว้างกว่าเดิม “ผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานไม่จำเป็นต้องอ่อนแอกว่าเจ้า!”
“ทักษะทางการแพทย์ของเจ้าไม่อ่อนแอ แต่ในแง่ของพละกำลัง เจ้าสู้ข้าไม่ได้!” เลี่ยอิงเริ่มโต้เถียงเพื่อรักษาหน้าตนเอง ส่วนลู่เฉินก็มองเขาด้วยรอยยิ้ม “อืม ข้าจะดูว่าเจ้ามีความสามารถแค่ไหน”
“หมายความว่าอย่างไร?”
“ข้าพบคนที่ควบคุมแมลงพิษแล้ว แต่ข้าเกรงว่าเจ้าจะปราบเขาไม่ได้” ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เลี่ยอิงมองไปรอบ ๆ ทันที “ที่ไหน?”
“ข้าจะบอกเจ้า แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าจะจับเขาได้?”
“ไร้สาระ ข้าต้องจับเขาได้อยู่แล้ว!” เลือดลมของหัวหน้าองค์รักษ์พุ่งพล่านทันที ส่วนชายหนุ่มก็เอ่ยเพียงว่า “บนชั้นสอง ห้องด้านในสุด แต่เขาเก่งเรื่องควบคุมแมลงพิษ ดังนั้นถ้าเจ้าโดนแมลงพิษโจมตี ทางที่ดีอย่าใช้ปราณตามอำเภอใจ ให้เรียกข้า ข้าจะไปรักษาให้เจ้า!”
เลี่ยอิงไม่เชื่อลู่เฉิน เขารีบรุดไปที่ชั้นสอง และตรงไปยังสุดทางเดินด้วยความรวดเร็ว จากนั้นจึงเตะประตูให้เปิดออก
ยามนี้ภายในห้องนี้มีคนนั่งขัดสมาธิอยู่
ชายคนนี้แบกกระบอกไม้ไผ่เล็ก ๆ จำนวนมากไว้บนหลัง ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสวมเสื้อคลุมสีดำและงอบสีดำ
แต่เมื่อชายคนนี้เห็นเลี่ยอิง เขาก็โบกมือขวาทันที ทันใดนั้นแมลงที่มีรูปร่างเหมือนผึ้งจำนวนหนึ่งก็พลันบินออกมา ส่วนเลี่ยอิงก็สำแดงปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงโจมตีใส่แมลงเหล่านั้นทีละตัว
แต่แมลงเหล่านี้ได้กลายเป็นเส้นลำแสงสีเขียวและมุดเข้าไปในร่างของเลี่ยอิง จากนั้นชายคนนั้นก็กระโดดหายไปจากหน้าต่าง
ลู่เฉินยืนอยู่ชั้นล่างของโรงเตี๊ยมแล้ว หลังจากมองดูร่างที่โบยบินออกมา เขาก็พูดกับอสูรแมวมารว่า “ตามมันไป แต่รักษาระยะห่างไว้ อย่าให้เขารู้ตัว!”
แมวมารมายาเชี่ยวชาญด้านความเร็วดีที่สุด ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของลู่เฉิน มันก็ตอบทันทีว่า “ได้!”
ทันใดนั้นแมวมารมายาก็กลายเป็นเงาสายหนึ่งและสลายหายไป
ลู่เฉินเดินกลับมาที่ชั้นสองอย่างช้า ๆ ขณะที่เลี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนชั้นสองและไม่กล้าใช้พลังปราณ เพราะเมื่อใช้ไปแล้ว ปราณจะถูกกลืนหายไปทันที
ด้วยเหตุนี้เลี่ยอิงจึงเริ่มกระวนกระวาย
ลู่เฉินยืนอยู่ข้างหลังพลางส่งยิ้มให้เขาแล้วถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง? ข้าพูดถูกหรือไม่?”