ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 250 เมืองพำนักเซียนที่ล้อมรอบด้วยภูเขา
บทที่ 250 เมืองพำนักเซียนที่ล้อมรอบด้วยภูเขา
เสี้ยววิญญาณที่เหลืออยู่ของ ‘ราชินี’ กำลังส่องแสง ‘ลุกไหม้’ และกลายเป็นเปลวไฟสีดำ ทว่าก่อนที่จะหายไป นางยังขู่ลู่เฉินว่า “เจ้า! ฝากไว้ก่อนเถอะ ไม่ช้าก็เร็วข้าจะฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเอง!”
“โหดเหี้ยมยิ่งนัก เจ้าถึงกับยอมสละวิญญาณที่เหลืออยู่ของตัวเอง!” ลู่เฉินยิ้มกว้าง
“หึ ข้ามีวิธีมากมายที่จะฟื้นตัว!” ‘ราชินี’ ตะคอกแล้วจึงหายตัวไปอย่างสมบูรณ์ ขณะที่รอยยิ้มของลู่เฉินค่อย ๆ จางหายไป และเริ่มครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งว่าเหตุใดนางจึงถูกเรียกว่าราชินี?
ทว่าในตอนนี้ไม่มีใครอธิบายให้เขาฟังได้ เพราะแม้ฉินจะรู้ว่านางถูกเรียกว่า ‘ราชินี’ แต่ก็ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปเฉพาะเจาะจง
ดังนั้นเขาจึงได้แต่ปล่อยให้ ‘ราชินี’ ติดต่อฉิน ส่วนเขาก็จะแสร้งทำเป็นไม่รู้จักฉิน
จากนั้นลู่เฉินก็หายตัวไปจากจวนแห่งนี้อย่างรวดเร็ว
…
เมื่อชายหนุ่มปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็มาถึงจวนของหนานลัวแล้ว
หนานเหยาที่เห็นอีกฝ่ายมาถึงก็รุดเข้าไปถามว่า “อาจารย์ เป็นอย่างไรบ้าง? เจอหมอผีนั่นหรือไม่?”
“ไม่!” ลู่เฉินส่ายหัว
หนานเหยาก่นด่า “ไอ้หมอผีสมควรตาย ซ่อนตัวเก่งเสียจริง!”
ลู่เฉินยิ้ม “เอาเถอะ ยังไม่ต้องสนใจเขา มาพูดถึงเรื่องเมืองนั้นดีกว่า”
หลังจากลู่เฉินกล่าวจบ เขาก็มองไปที่หนานหลิว หนานหลิวที่เห็นเช่นนั้นจึงถามอย่างกระตือรือร้นว่า “ผู้อาวุโส ท่านอยากไปดูหรือไม่?”
“ไปกันเถอะ”
องค์ชายผู้นี้มีความสุขมาก และหลังจากเตรียมรถม้าแล้ว ทุกคนก็ออกเดินทางไปด้วยกัน
บนถนนสายนี้ ลู่เฉิน หนานลัว และหนานเหยาใช้รถม้าร่วมกัน ส่วนอีกคันนั้นคือหนานหลิวและเลี่ยอิง
เพียงแต่เลี่ยอิงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “องค์ชายหก ข้ารู้สึกว่าชายคนนี้เป็นจอมหลอกลวง!”
“ไม่มีทาง” หนานหลิวรู้ถึงความสามารถของลู่เฉินในการรักษาองค์จักรพรรดิแล้ว ดังนั้นเขาจึงยืนยันว่าลู่เฉินไม่ได้มีปัญหา แต่เลี่ยอิงยังคงไม่เชื่อ “แล้วหากเขาไม่สามารถหาเหตุผลว่าทำไมพวกคนเหล่านั้นถึงกลายเป็นปีศาจเล่า?”
“ถ้าเขาไม่สามารถทำได้ เช่นนั้นในแดนทักษิณาก็คงไม่มีผู้ใดสามารถทำได้อีกแล้ว” หนานหลิวถอนหายใจ ในขณะที่เลี่ยอิงขมวดคิ้ว “พระองค์ไว้ใจเขามากเกินไป”
“รอก่อนเถอะ เมื่อถึงเวลา เจ้าจะต้องเบิกตามองเขาอย่างตกใจแน่นอน!” เขาพูดอย่างมั่นใจ
เลี่ยอิงจึงทำได้เพียงรอต่อไป
…
มีป้อมปราการโบราณหลังหนึ่งตั้งอยู่ในค่ายกลของภูเขาลึกของราชวงศ์หนานโยว
ทุกอย่างภายในป้อมปราการนั้นมืดมาก ซึ่งตู๋เหล่าลิ่วผู้มายังที่แห่งนี้ก็ได้หันมองไปทางว่านฉงหยางที่อยู่ในสภาพอ่อนแอ “อาจารย์ ที่แห่งนี้คือที่ไหน? เหตุใดมันจึงดูมืดมนเช่นนี้?”
“นี่คือสถานที่ฝึกฝนด้านนอกของราชินี”
“ท่านหมายความว่าราชินีผู้นั้นอยู่ที่นี่หรือ?” ตู๋เหล่าลิ่วตกใจทันทีที่ได้ยิน
ว่านฉงหยางตอบรับ “มีร่างแยกอยู่ที่นี่”
“เช่นนั้น เหตุใดพวกเราจึงมาที่นี่ในตอนนี้?”
“หากอยู่ที่นี่ พวกเราจะปลอดภัย” หลังจากว่านฉงหยางเอ่ยจบ เขาก็พาตู๋เหล่าลิ่วขึ้นไปบนชั้นสองของป้อม และเข้าไปในห้องโถงด้านข้าง ก่อนจะพบกับรูปปั้นหินแกะสลัก
“องค์ราชินี!” ว่านฉงหยางกล่าวกับรูปปั้นหินด้วยความเคารพ
ในเวลานั้นเอง เสียงอันอ่อนล้าก็พลันดังขึ้น “เจ้ายังกล้าที่จะมาที่นี่อีกหรือ?”
“ราชินี ข้า… พวกข้าไม่มีที่ไป ดังนั้น…” ว่านฉงหยางผู้นี้ทำอะไรไม่ถูก ขณะที่เสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นอีกว่า “บอกข้าสิ เจ้าทำให้ที่อยู่ของข้าในนครทักษิณารั่วไหลใช่หรือไม่!?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร!” ว่านฉงหยางส่ายหัวทันที แต่น้ำเสียงอ่อนล้าอันเต็มไปด้วยความโกรธนี้ได้เล่าเรื่องการต่อสู้ของนางและลู่เฉินที่นครทักษิณาออกมา
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของว่านฉงหยางพลันเบิกกว้างทันที “ไม่มีทาง!”
“ในนครทักษิณา มีเพียงพวกเจ้าที่รู้ว่าข้าอยู่ในจวนหลังนั้น!”
ว่านฉงหยางส่ายหัวและพูดว่า “เขา… เขาจะต้องมีความสามารถในการติดตามเป็นแน่!”
“ความสามารถในการติดตาม?”
“ถูกต้อง ตอนที่ข้าซ่อนตัวอยู่ในเมืองก็ถูกเขาค้นพบอย่างรวดเร็วเช่นกัน” ว่านฉงหยางผู้นี้อธิบายการเผชิญหน้ากับตู๋เหล่าลิ่วทีละฉาก
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สตรีนางนั้นก็แทบไม่เชื่อ “นครทักษิณานั้นใหญ่โตมาก หากไม่ติดตามก็ไม่มีทางพบได้!”
“ทว่าข้าใช้วิชาลี้วิญญาณ เขาย่อมไม่มีทางติดตามได้!” ว่านฉงหยางอธิบาย หญิงสาวจึงลังเลหลังจากได้ยินสิ่งนี้ “เช่นนั้นมันเป็นไปได้อย่างไร?”
ว่านฉงหยางเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอ่ยว่า “ไปเสีย ติดต่อพระสนมอู่ บอกว่าหากนางต้องการความช่วยเหลือจากข้า ก็จงจัดการกับเด็กคนนี้ให้ข้า และจะเป็นการดีที่สุดหากให้ข้าได้เห็นเขาที่ยังมีชีวิตอยู่!”
“เห็นตอนที่ยังมีชีวิต?”
“ความหมายของข้าคือข้าจะฆ่าเด็กนั่นด้วยน้ำมือของข้าเอง!” นางเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว
ว่านฉงหยางตอบรับ ก่อนจะก้าวถอยหลังและลงมาที่ชั้นหนึ่ง
ตู๋เหล่าลิ่วถามอย่างกระวนกระวายว่า “อาจารย์ ราชินีองค์นี้คือผู้ใด? เหตุใดท่านถึงกลัวนางนัก?”
“อย่ากล่าวถึงนางอีก!” ว่านฉงหยางเตือน
ตู๋เหล่าลิ่วทำได้เพียงเงียบปากไม่พูดอะไร แต่ในใจกลับอยากรู้อยากเห็นอย่างยิ่ง ก่อนที่ว่านฉงหยางผู้นั้นหยิบนกกระดาษส่งเสียงออกมา และหลังจากใส่สิ่งที่เขาต้องการจะพูดแล้ว เขาก็ปล่อยให้นกกระดาษบินออกไป
หลังจากนั้น นกกระดาษก็บินไปที่ตำหนักของพระสนมในพระราชวังแห่งนครทักษิณา
พระสนมอู่อยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มือเรียวกำลังเติมแต่งดวงหน้า เมื่อนกกระดาษปรากฏขึ้นที่หลังมือของนาง มันก็กลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าสู่ร่างกายของนาง
“พระสนมอู่ ราชินีตรัสว่าหากเจ้าต้องการให้นางช่วยเจ้า เจ้าจะต้องช่วยนางจับเป็นคนผู้หนึ่ง” เสียงนี้เป็นของว่านฉงหยาง
ไม่เพียงเท่านั้น ว่านฉงหยางยังให้ข้อมูลของลู่เฉินแก่พระสนมอู่
เดิมทีพระสนมอู่มีความแค้นต่อลู่เฉินอยู่แล้ว นางถึงกับคาดหวังว่าว่านฉงหยางและคนอื่น ๆ จะจัดการลู่เฉินได้ ทว่าสิ่งที่นางไม่คาดคิดก็คือว่านฉงหยางผู้นี้กลับไม่สามารถจัดการลู่เฉินได้ อีกทั้งยังจะให้นางจัดการเองเสียด้วย
พระสนมอู่โกรธจัดจนผุดลุกขึ้นยืน “ช่างเป็นกลุ่มคนที่พึ่งไม่ได้เสียจริง!”
แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ นางก็ทำได้เพียงตะโกนอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ผู้ใดก็ได้!”
ในเวลานี้เอง เงาสีดำพลันปรากฏขึ้นข้างหลัง
นี่คือสตรีนางหนึ่งในอาภรณ์คลุมดำ บนใบหน้ามีหน้ากากสีดำปกปิดไว้ และยังมีดอกกุหลาบสีดำบนหน้ากากอีกด้วย
“คุณหนู!” หญิงคนนั้นเอ่ยด้วยความเคารพ
“เฮยเม่ย จงไปส่งข้อความถึงท่านโหวแทนข้า และบอกกล่าวกับองค์ชายเหล่านั้น” พระสนมอู่พูดอย่างเย็นชา สตรีผู้นั้นตอบรับอย่างว่องไว “ทราบแล้วเจ้าค่ะ!”
หลังจากที่พระสนมอู่อธิบายไปครู่หนึ่ง ร่างสตรีที่ราวกับเงาสีดำผู้นั้นก็หายตัวไป
แววตาของพระสนมอู่ฉายประกายเย็นชา “ข้าไม่เชื่อว่าจะจัดการเจ้าไม่ได้!”
…
ยามนี้ลู่เฉินซึ่งอยู่บนรถม้าได้ออกจากนครทักษิณาไปแล้ว ไม่นานเขาก็มาถึงเมืองภูเขาใกล้เคียง และมาถึงเมืองพำนักเซียนในอีกสองชั่วยามต่อมา
สามารถมองเห็นได้ว่าเมืองแห่งนี้สร้างอยู่ในหุบเขา ดังนั้นการสัญจรไปมาในเมืองนี้จึงไม่สะดวกนัก อีกทั้งยังมีทางเข้าเพียงทางเดียวเท่านั้น
แต่กลับมีผู้คนมากมายอาศัยอยู่ในเมืองนี้ เพราะสมุนไพรมีค่าบางอย่างสามารถเก็บได้ในเทือกเขานี้ ดังนั้นพ่อค้าบางคนจึงแวะเวียนมาซื้อวัตถุดิบยาที่นี่ ดังนั้นผู้ฝึกตนจำนวนมากจะมาเลือกเก็บจากที่นี่ พอผ่านไปนานเข้ามันก็กลายเป็นแหล่งซื้อขายหญ้าวิญญาณที่สำคัญยิ่งของราชวงศ์หนานโยวไปเสียแล้ว
ทว่ามีค่ายกลขนาดใหญ่ที่ไม่สมบูรณ์จำนวนมากใกล้กับเทือกเขานี้ ซึ่งทำให้ผู้คนจำนวนมากมักหายตัวไปเสียเฉย ๆ
แต่ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของราชวงศ์หนานโยว ดังนั้นราชวงศ์จึงมอบให้องค์ชายหกดูแล
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในเมือง ทำให้ผู้คนจำนวนมากพากันทยอยจากไป และแม้แต่เหล่าผู้ฝึกตนก็ออกจากเมืองไปอย่างเร่งรีบ ดังนั้นหลังจากที่ลู่เฉินและคนอื่น ๆ ลงจากรถม้า พวกเขาก็เห็นหลายคนกำลังวิ่งออกจากเมืองไป
หนานเหยาจ้องมองภูเขาที่ห่างออกไปจากตัวเมืองและพูดว่า “อาจารย์ ท่านรู้หรือไม่ว่าทำไมที่นี่ถึงเรียกว่าเมืองพำนักเซียน?”
“แน่นอนว่ารู้!” ลู่เฉินมองไปที่ค่ายกลด้านข้าง และนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งแสนปีที่แล้ว