ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 24 สามยอดอัจฉริยะตกใจจนขวัญเสีย
บทที่ 24 สามยอดอัจฉริยะตกใจจนขวัญเสีย
ยามนี้ปรากฏให้เห็นสองเงาที่เพิ่งปีนออกจากปากถ้ำ
เป็นลู่เฉินกับเจี่ยลัวนั่นเอง…
ครั้นออกมาแล้ว ทุกคนต่างทยอยเข้ามาขอบคุณลู่เฉิน แม้กระทั่งมอบสิ่งของให้ชายหนุ่มเป็นการตอบแทน
และคนเหล่านั้นก็จากไป
ปิงหลิวหลีก้าวเข้ามาหาพลางพิจารณาเจี่ยลัวด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “เขาคือปรมาจารย์ด้านค่ายกลระดับเก้าดาวอันดับหนึ่งแห่งแดนทักษิณาผู้นั้นหรือ?”
ลู่เฉินส่งเสียงอืม ส่วนเจี่ยลัวไม่ได้พูดจา เขาเพียงยืนอยู่อย่างเงียบ ๆ
เจ้าสำนักสาวถามอีกครั้งด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดเขาถึงซ่อนตัวอยู่ในนั้น?”
“ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนฆ่าอาจารย์ของตนเองหรอกหรือ?” โจวอวี๋กล่าว
“ไม่ใช่ เขาถูกคนใส่ร้าย ยิ่งไปกว่านั้น คนที่อยู่เบื้องหลังก็น่าจะไม่ธรรมดา” ลู่เฉินอธิบาย โจวอวี๋ได้ยินแล้วก็รู้สึกงงงวยเข้าไปใหญ่
ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันไปทางปิงหลิวหลีแล้วกล่าวว่า “ตั้งแต่นี้ไป พวกเขาทั้งสองคือคนของสำนักเก้าสุขสงบ”
“อะไรนะ?” ปิงหลิวหลีเบิกตากว้าง สีหน้าฉายชัดถึงความคาดไม่ถึง
โจวอวี๋เป็นนายพรานที่แข็งแกร่ง แม้แต่สามดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังต้องการตัวเขา ในขณะที่เจี่ยลัวก็นับว่าเป็นยอดฝีมือด้านค่ายกล ทว่าพวกเขาทั้งคู่กลับจะมาเข้าร่วมสำนักเก้าสุขสงบงั้นหรือ?!
สำหรับปิงหลิวหลีแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ดั่งสวรรค์ประทานพร!
โจวอวี๋ทำท่าจนปัญญา “เขามันต่ำช้า หลอกลวงข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะแพ้เขาได้อย่างไร!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ปิงหลิวหลีพลันอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หลังจากที่โจวอวี๋บ่นกระปอดกระแปดเสร็จสิ้น ปิงหลิวหลีก็ได้รู้ว่าลู่เฉินใช้ประโยชน์จากค่ายกล ซึ่งสิ่งนี้ก็ทำให้นางต้องหันไปมองลู่เฉินอย่างสงสัย “เจ้ามีความรู้ด้านค่ายกลจริง ๆ หรือ?”
“ข้าทำเป็นตั้งหลายอย่าง!” ลู่เฉินพูดจบก็เดินไปที่แห่งหนึ่ง
“นั่นเจ้าจะไปไหน?” เมื่อเห็นลู่เฉินเดินลึกเข้าไป นางก็เริ่มสงสัยขึ้นมา และโจวอวี๋เองก็เช่นกัน
ส่วนเจี่ยลัว… เขายังคงไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงแค่เดินตามไปเงียบ ๆ
“เขตเก้า!” คำพูดของลู่เฉินทำให้ทั้งสามคนหน้าเปลี่ยนสีและหยุดฝีเท้าลง
หลังจากที่เห็นว่าทั้งสามหยุดนิ่งแทบกลายเป็นหุ่นไม้ ชายหนุ่มก็เริ่มสงสัยขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้น?”
“เจ้า… คิดจะไปยังเขตเก้าจริง ๆ งั้นหรือ?” ใบหน้าของปิงหลิวหลีเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“เกรงว่าเขาจะพูดจริง” โจวอวี๋พึมพำกับตัวเอง “ในใต้หล้านี้ เกรงว่าจะหาคนบ้ามากกว่าเจ้านี่ไม่ได้แล้ว!”
แม้ว่าเจี่ยลัวจะไม่ได้พูดจา แต่ดวงตาของเขาก็จับจ้องไปทางลู่เฉินนิ่งงัน ราวกับว่าสมองกำลังประมวลอย่างหนัก
ลู่เฉินมองพวกเขา จากนั้นก็จ้องเขม็งไปที่ปิงหลิวหลี “ลืมเรื่องของตัวเองไปแล้วหรือ? เจ้าต้องการสมุนไพรจำนวนมากมารักษาอาการบาดเจ็บ และที่เขตเก้า มันก็สามารถตอบโจทย์ข้อนี้ได้เป็นอย่างดี”
ครั้นเอ่ยจบ ลู่เฉินก็มองไปทางโจวอวี๋ต่อ “ส่วนเจ้า การประสานกันของรากวิญญาณคู่ค่อนข้างอ่อนแอ หากอยากให้มันพัฒนาและสำแดงพลังได้มากกว่านี้ เจ้าต้องฟังคำชี้แนะของข้า!”
“รากวิญญาณคู่?” ปิงหลิวหลีหันไปมองโจวอวี๋ด้วยความประหลาดใจ
เดิมทีนี่เป็นความลับของโจวอวี๋ แต่ยามนี้มันกลับถูกเปิดเผยออกมาอย่างง่ายดาย!
โจวอวี๋ตกตะลึงในทันที เขาถามอย่างประหลาดใจว่า “เจ้ารู้แม้กระทั่งเรื่องนี้ได้อย่างไร?”
ทว่าลู่เฉินไม่ได้อธิบาย เขามองไปทางเจี่ยลัวแล้วเอ่ยว่า “ส่วนเจ้า หากต้องการของระงับพิษศพในร่างก็จงตามมา ไม่อย่างนั้นมันจะปะทุได้ง่าย ๆ เลยเชียว”
พิษศพ?
ปิงหลิวหลีและโจวอวี๋มองหน้ากันด้วยสีหน้างุนงง ลู่เฉินจึงอธิบายคร่าว ๆ “เขาถูกวางยาพิษจากศพ จึงพูดไม่ได้ชั่วคราว ดังนั้นพวกเจ้าก็อย่าไปคุยกับเขา”
จากนั้นลู่เฉินก็พา ‘ยอดฝีมือ’ ทั้งสามคนออกเดินทางไปด้วยกัน
ระหว่างทาง ปิงหลิวหลีและโจวอวี๋ย่อมไม่อาจสื่อสารกับเจี่ยลัวได้ จึงทำได้เพียงพูดคุยปรึกษากันสองคน และผู้ที่ตกเป็นหัวข้อการสนทนาก็คือลู่เฉิน
แต่เมื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนกันไปเรื่อย ๆ พวกเขาก็ยังคงไม่รู้ความเป็นมาของลู่เฉิน และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่
ทั้งสองจึงเรียกลู่เฉินว่า ‘ตัวประหลาดเฒ่า’
อันที่จริงไม่ใช่แค่สองคนนี้เท่านั้น เพราะแม้แต่เจี่ยลัวที่อยู่ด้านข้างก็ตะโกนอื้อ ๆ ราวกับเห็นด้วยกับความคิดเห็นของคนทั้งคู่
ส่วนลู่เฉินที่เดินอยู่ข้างหน้า ตัวเขานั้นขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจสิ่งใด เขาเพียงเดินทางต่อไปเท่านั้น
ทว่าก็มีเรื่องที่แปลกนัก เพราะระหว่างทางจากเขตสามจนถึงเขตสี่และมาถึงเขตเจ็ด พวกเขาไม่พบสัตว์อสูรตนใดเลย
เรื่องนี้ทำให้โจวอวี๋วิตกขึ้นมา “เหตุใดระหว่างทางถึงไม่มีสัตว์อสูรเลย?”
“ข้าเคยมาถึงเขตหก และมันก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้!” สีหน้าของปิงหลิวหลีกลายเป็นเคร่งขรึม
แม้แต่ตัวนางเองก็เคยมาไกลสุดแค่เขตหก!
แม้แต่เจี่ยลัวเองก็ยังดูงงงวย
ทว่าลู่เฉินกลับสงบนิ่ง ถึงอย่างไรเขาก็เคยผ่านเขตเจ็ดไปที่เขตแปดมาแล้ว
เขตแปดนั้นเขียวชอุ่มและยังสูงชันอย่างมาก แต่ก็อุดมไปด้วยสมุนไพรเช่นกัน
คนทั้งสามที่อยู่ด้านหลังกำลังอยู่ในสภาวะกดดัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจวอวี๋ที่มีท่าทีอึกอักราวกับว่าคอหอยมีอันใดติดอยู่ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ปิงหลิวหลีคือสตรีที่อยู่มานานนับพันปี จึงย่อมมีความรู้มากมาย และนางก็เปิดปากเอ่ยการคาดเดาบางอย่างออกมา “มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น!”
“นั่นคือ?” โจวอวี๋อยากรู้
ปิงหลิวหลีมองไปรอบ ๆ แล้วกล่าวว่า “โดยทั่วไปแล้ว สัตว์อสูรเหล่านั้นจะไม่ปรากฏตัวเฉพาะในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างมาก”
“เจ้าหมายถึงในหุบเขานี้ มีบางอย่างที่น่ากลัวกำลังเกิดขึ้นงั้นหรือ?” ดวงตาของโจวอวี๋เบิกกว้าง ขณะที่ปิงหลิวหลีกล่าวอย่างลึกลับว่า “ใช่ สิ่งนั้นต้องน่ากลัวกว่าสัตว์อสูรธรรมดาเหล่านั้นแน่ บางทีอาจเป็นสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน!”
สัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังอย่างมาก ดังนั้นเมื่อโจวอวี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ถึงกับหน้าซีด
ปิงหลิวหลีเองก็ขนลุกเช่นกัน
ส่วนเจี่ยลัวก็ยิ่งนิ่งค้างราวกับตัวแข็งทื่อไปอย่างไรอย่างนั้น
มีเพียงลู่เฉินเท่านั้นที่สงบนิ่งและลอบยิ้มในใจ ‘เจ้าพวกโง่ทั้งสาม!’
แท้จริงแล้วไม่ใช่ว่าสัตว์อสูรที่ทรงพลังอันใดปรากฏตัว แต่เป็นเพราะกลิ่นอายของ ‘ราชันย์อสูร’ จากแดนหมื่นอสูรของลู่เฉิน และกลิ่นอายแห่งราชันย์ของมันนั้นก็มีเพียงสัตว์อสูรเท่านั้นที่สัมผัสได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง …หากเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งก็ยิ่งสัมผัสได้รุนแรงมากขึ้น ด้วยเหตุนี้สัตว์อสูรเหล่านั้นจึงหวาดกลัว จนต้องหนีไปซ่อนตัวในถ้ำของพวกมัน
และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่พบสัตว์อสูรสักตัวตลอดการเดินทางนี้!
ทว่าก็เพราะเช่นนี้เอง ทั้งสามคนด้านหลังจึงรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังเดินอยู่ในดินแดนแห่งความตาย แม้แต่เสียงลมพัดหรือต้นหญ้าไหวเอนก็ทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนเกือบกรีดร้องเสียงหลงออกมาเสียแล้ว
ทางด้านลู่เฉินที่ยังคงมีท่าทีสบาย ๆ ก็กำลังก้มเก็บสมุนไพร ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นและหันมองคนทั้งสาม
แล้วก็พบว่าขณะนี้… ทั้งสามคนตัวเปียกโชกราวกับเพิ่งขึ้นมาจากน้ำอย่างไรอย่างนั้น!
เมื่อลู่เฉินเห็นเช่นนั้นก็ทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยว่า “พวกเจ้านี่นะ ช่างขี้ขลาดเสียจริง!!”
ทั้งสามมองหน้ากันอย่างเคอะเขิน
ครั้นเห็นว่าสามคนนั้นเริ่มทำตัวไม่ถูก ลู่เฉินก็ฉีกยิ้มออกมา “ข้าเก็บสมุนไพรมาพอสมควรแล้ว ควรไปที่เขตเก้ากันได้แล้ว!”
“ข… ขะ… เขต… เขตเก้า!” โจวอวี๋เอ่ยตะกุกตะกัก ขณะที่ปิงหลิวหลีเบิกตากว้าง “เจ้า จะไปเขตเก้าจริง ๆ หรือ?”
เจี่ยลัวเองก็ตระหนกตกใจเช่นกัน
“ดูท่าทางหวาดกลัวของพวกเจ้าสิ” ลู่เฉินยิ้มอย่างจนปัญญา แล้วเดินไปตามทางของตนต่อไป
โจวอวี๋ตกใจยิ่ง เขารีบตะโกนว่า “สัตว์ประหลาดเฒ่า ไม่ใช่ว่าข้าเคยบอกหรือว่าในแผ่นดินนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปในเขตเก้า!”
ปิงหลิวหลีเองก็ขู่เช่นกัน “ใช่ ในเขตเก้าเต็มไปด้วยค่ายกล ยิ่งไปกว่านั้น จอมมารก็ยังเป็นคนสร้างค่ายกลที่ว่านั่นขึ้นมา!”
เจี่ยลัวเองก็พยักหน้าเห็นด้วย เห็นได้ชัดว่าทั้งสามคนหวาดกลัวเขตเก้าเป็นอย่างยิ่ง
“ก็แค่ค่ายกลเท่านั้น ไม่มีอะไรหรอก!” ลู่เฉินเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ไม่แม้แต่จะสนใจพวกเขา
ทว่าโจวอวี๋กลับกระวนกระวายใจอย่างหนัก “ตัวประหลาดเฒ่า ค่ายกลนี้ไม่ใช่ค่ายกลธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่ค่ายกลสวรรค์ธรรมดา และไม่ใช่ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นค่ายกลเซียนในตำนาน!”
“ใช่แล้ว นั่นคือค่ายกลเซียนที่จอมมารผู้ซึ่งบรรลุกลายเป็นเซียนได้วางเอาไว้ก่อนจากไป!” ปิงหลิวหลีเอ่ยดังกว่าโจวอวี๋เสียอีก เห็นได้ชัดว่านางพยายามหยุดลู่เฉินไม่ให้เดินหน้าต่อไปได้