ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 23 ทำลายค่ายกล!
บทที่ 23 ทำลายค่ายกล!
เสียงหัวเราะของเถ้าแก่อู๋ และความแข็งแกร่งของโจวอวี๋ทำให้ทุกคนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงจ้องไปยังเปลวไฟรอบกายด้วยความหวาดกลัว
มีเพียงลู่เฉินที่ยังคงเดินตรงไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เจี่ยลัวรู้ว่าทักษะค่ายกลของลู่เฉินนั้นเหนือกว่าตนเองไปไกลลิบ เขาจึงเชื่อมั่นในตัวอีกฝ่าย และติดตามไปอย่างเงียบ ๆ เช่นเดียวกับโจวอวี๋ซึ่งตามมาอย่างว่องไว
ผู้คนยังคงสงสัย
จากนั้นพวกเขาก็พลันได้เห็นฉากอันน่าอัศจรรย์ใจ! นั่นคือ… เปลวไฟรอบ ๆ ไม่ได้โจมตีพวกเขาแม้แต่น้อย!
“นี่มันอะไรกัน!”
“เขา… เขารู้จริง ๆ หรือว่าพื้นที่ปลอดภัยอยู่ตรงไหน?” บางคนถึงกับอุทาน
‘พื้นที่ปลอดภัย’ คือเส้นทางสำรองซึ่งจะไม่ถูกโจมตีจากค่ายกล ซึ่งพื้นที่นี้หาได้ยากยิ่ง มีเพียงผู้สร้างมันขึ้นมาหรือไม่ก็ผู้ฝึกตนขั้นพลังสูง ๆ เท่านั้นที่จะมองเห็นได้
ทว่าลู่เฉินอยู่เพียงขั้นกลั่นลมปราณเท่านั้น เหตุใดเขาถึงพบมันได้?
สิ่งนี้ทำให้ผู้คนพากันสงสัย แม้แต่เถ้าแก่อู๋ซึ่งอยู่ในความมืดก็ตกใจกับภาพตรงหน้า เขาร้องถามทันทีว่า “นี่เจ้าเป็นใครกันแน่!”
ทว่าลู่เฉินไม่ตอบ ชายหนุ่มยังคงเดินต่อไปโดยไม่แยแส
และมีผู้คนติดตามมาไม่ห่าง
ระหว่างทางไม่มีสิ่งใดโจมตีพวกเขาแม้แต่น้อย แม้ทุกคนจะประหลาดแต่ก็มีความสุข บางคนถึงกับพึมพำขึ้นว่า “ผู้ชายคนนี้น่าทึ่งจริง ๆ!”
”เห็นไหมเล่า!”
โจวอวี๋เอ่ยเสียงแข็ง “ข้าบอกพวกเจ้าแล้ว ถ้าติดตามเขา พวกเจ้าจะออกไปได้!”
ทุกคนพลันตื่นเต้นด้วยความดีใจ!
ไม่ว่าเถ้าแก่อู๋จะทำการควบคุมค่ายกลแห่งนี้อย่างไร เขาก็ไม่สามารถบงการให้ค่ายกลโจมตีลู่เฉินและคนอื่น ๆ ได้
”ให้ตายสิ!” เถ้าแก่อู๋ตะโกนออกมาด้วยโทสะ
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากที่ทุกคนพบเห็นแสงสว่างตรงทางออก พวกเขาก็วิ่งไปด้วยความประหลาดใจ แล้วปีนออกไปด้านนอกทีละคน
ลู่เฉินหันไปบอกโจวอวี๋ “เจ้าก็ออกไปด้วย”
“แล้วเจ้าเล่า?” โจวอวี๋สงสัยทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีคล้ายไม่คิดจะออกไป
ลู่เฉินเพียงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าจะจัดการไอ้แก่นั่นเสียหน่อย!”
”ลำพังเพียงแค่เจ้า?”
ทว่าลู่เฉินไม่ตอบ เพราะเขาเดินหายเข้าไปในม่านหมอกพร้อมกับเจี่ยลัวเสียแล้ว
เมื่อมองไม่เห็นพวกเขาอีก โจวอวี๋จึงบ่นขึ้นมา “เจ้าคนผู้นี้ …ข้าไม่เข้าใจเขาเลย!”
…
จากนั้นเพียงไม่นาน ลู่เฉินก็พบเถ้าแก่อู๋ที่ซ่อนตัวอยู่ ณ ที่หนึ่ง
เถ้าแก่อู๋เห็นว่าโจวอวี๋ไม่ได้ติดตามมาด้วยก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “เจ้าหนู เจ้านี่ใจกล้าดีนะ!”
“แน่นอน เพราะข้าต้องการกำจัดขยะอย่างเจ้า!” ลู่เฉินจ้องไปยังเถ้าแก่อู๋ ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำทีคล้ายได้ยินเรื่องตลกอย่างไรอย่างนั้น ชายแก่หัวเราะลั่นพลางเอ่ยว่า “ลำพังแค่เจ้าน่ะหรือ?”
ลู่เฉินเผยรอยยิ้มแฝงเลิศนัย “ข้าได้ปรับเปลี่ยนค่ายกลนี้แล้ว เจ้าออกไปไม่ได้หรอก!”
เถ้าแก่อู๋ไม่เชื่อ จึงพยายามที่จะออกไป ทว่าเมื่อเขาเดินไปได้ไม่นาน กลับพบว่าตนเองกำลังวิ่งชนกับผนังถ้ำ!
“เกิดอะไรขึ้น?”เถ้าแก่อู๋เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ขณะที่ลู่เฉินยิ้มเยาะ “บอกข้ามา เหตุใดเจ้าจึงใส่ร้ายศิษย์น้องของเจ้า!”
เถ้าแก่อู๋ปฏิเสธ “ข้า… ข้าไม่ได้ใส่ร้าย!”
“โอ้ อย่างนั้นรึ?” น้ำเสียงของลู่เฉินเข้มขึ้น ขณะที่เถ้าแก่อู๋ไม่ต้องการจะโต้เถียงกับลู่เฉินให้เสียเวลา “อย่าเสียเวลาอีกเลย เจ้าจงตายเสียเถอะ!”
ทันใดนั้นในมือเถ้าแก่อู๋พลันปรากฏลูกไฟสีมรกตกะพริบขึ้นทีละลูก ก่อนที่พวกมันจะกลายเป็นศร และพุ่งเข้าใส่ลู่เฉินทันที!
ฟิ่ว! ฟิ่ว! ฟิ่ว!
เจี่ยลัวเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งไปด้านหน้าลู่เฉินเพื่อกำบัง ก่อนจะขยับมือคล้ายต้องการจะใช้วิชาบางอย่าง
ก่อนที่ในเวลาต่อมา เถาวัลย์สีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนจะกลายเป็นเกราะป้องกันขนาดใหญ่! ทำให้ลูกธนูเหล่านั้นไม่อาจเจาะเข้ามาถึงเป้าหมายได้
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เถ้าแก่อู๋รู้สึกแปลกใจ เพราะเกราะเถาวัลย์นี้ดูแห้งเหี่ยว ปราศจากไอแห่งความมีชีวิตชีวา
“เจ้า… เจ้าไม่ใช่ศิษย์น้องของข้า!” สีหน้าของเถ้าแก่อู๋พลันเปลี่ยนไป
ในขณะที่เจี่ยลัวเพียงหัวเราะออกมา…
เถ้าแก่อู๋ยังไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ก่อนจะเป็นลู่เฉินที่เอ่ยถามเจี่ยลัวว่า “มันเกิดอะไรขึ้นกับอาจารย์ของเจ้ากันแน่?”
คำถามนี้ทำให้เถ้าแก่อู๋สงสัยถึงตัวตนของอีกฝ่าย “ชายคนนี้เป็นใคร?”
ครั้นลู่เฉินได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากเจี่ยลัวแล้วจึงรู้ว่า
…แท้จริงแล้วอาจารย์ของเจี่ยลัวถูกสัตว์อสูรในหุบเขาเมฆาอสูรฆ่าตาย และในขณะที่กำลังจะตาย อีกฝ่ายก็ได้มอบคัมภีร์บางอย่างให้เจี่ยลัว!
เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ลู่เฉินจึงหันไปกล่าวกับเถ้าแก่อู๋ว่า “ที่แท้อาจารย์ของเจ้าก็ถูกสัตว์อสูรฆ่าตาย ย่อมหมายความว่าการตายครั้งนั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจี่ยลัว!”
ทว่าเถ้าแก่อู๋กลับแย้งขึ้น “เป็นเขานั่นแหละที่ฆ่าอาจารย์! ข้ามีหลักฐาน!”
“หลักฐาน?” ลู่เฉินรู้สึกสงสัยขึ้นมา เถ้าแก่อู๋จึงหยิบหินก้อนหนึ่งออกมา ก่อนจะฉีดพ่นพลังปราณเข้าไป ทำให้หินฉายภาพบางอย่างออกมา!
ในภาพปรากฏให้เห็นชายผู้หนึ่งได้แทงชายชราด้วยดาบ ก่อนจะค้นหยิบเอาบางอย่างมาจากชายชราผู้นั้น
ลักษณะท่าทางของผู้ลงมือสังหารชายชรานั้นเหมือนกับเจี่ยลัวไม่ผิดเพี้ยน เพียงแค่ดูอ่อนวัยกว่าเล็กน้อย…
ครั้นเห็นภาพเหล่านี้ เจี่ยลัวพลันกรีดร้องลั่น รีบบอกปัดทันทีว่าไม่ใช่ตน!
ขณะที่ลู่เฉินเพียงจ้องไปยังหินก้อนนั้น เขาพบว่ามันคือศิลาบันทึกภาพ ซึ่งมีคุณสมบัติในการบันทึกภาพ และยังเห็นได้ชัดว่าศิลาบันทึกภาพก่อนนี้ถูกดัดแปลง!
ชายหนุ่มจึงหันไปเอ่ยกับเถ้าแก่อู๋ว่า “เจ้าช่วยนำศิลาบันทึกภาพก้อนนี้มาให้ข้าดูชัด ๆ ได้หรือไม่?”
เถ้าแก่อู๋เริ่มกังวล “เหตุใดข้าจึงต้องให้เจ้าด้วย?”
“ให้ข้าดู เพราะข้าอยากรู้ว่าภาพนี้มันจริงหรือลวงกันแน่!”
“เจ้าคิดว่าสิ่งนี้มันปลอมกันได้หรือ?” เถ้าแก่อู๋สงสัย ก่อนจะเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายจากชายหนุ่ม “ในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนทั้งนั้นแหละ!”
ทว่าเถ้าแก่อู๋กลับยังคงถือมันไว้พลางจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่าย “ข้าไม่ให้!”
“หากไม่ให้ เช่นนั้นเจ้าก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ออกไป!”
เถ้าแก่อู๋ไม่เชื่อ เขาพยายามเดินหาทางออก แต่กลับทำได้เพียงเดินวนอยู่กับที่
สุดท้าย…. จึงลงเอยด้วยการโยนศิลาบันทึกภาพให้ลู่เฉินอย่างจำยอม
ลู่เฉินหยิบหินดังกล่าวขึ้นมา หลังจากสังเกตมันอย่างถี่ถ้วนก็พบอักขระยันต์บางอย่าง!
อักขระยันต์นี้มีหน้าที่ปรับเปลี่ยนภาพ ซึ่งมันสามารถบันทึกภาพใดก็ได้ดั่งใจต้องการ!
ชายหนุ่มไม่รอช้า เร่งใช้ ‘เคล็ดทลายอักขระ’ ที่ได้ร่ำเรียนเมื่ออยู่ในแดนเซียน
นิ้วมือของชายหนุ่มขยับไหวไม่หยุด ก่อนที่อักขระยันต์เหล่านั้นจะสั่นไหว …แล้วสลายหายไปอย่างช้า ๆ
เมื่ออักขระยันต์เหล่านั้นหายไป ลู่เฉินก็เร่งปล่อยพลังปราณเข้าไปในหินนั้น ภาพบางอย่างที่ถูกบันทึกไว้จึงปรากฏขึ้น!
ภาพเหล่านี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เพราะมันเป็นภาพของชายชราที่ถูกสัตว์อสูรฆ่า โดยมีเจี่ยลัวนั่งร่ำไห้อยู่ด้านข้าง ก่อนจะเป็นชายชราที่มอบคัมภีร์ให้เจี่ยลัว
ครั้นเจี่ยลัวเห็นภาพนี้ คนหนึ่งพลันเงียบงัน ขณะที่อีกคนก็กล่าวออกมาอย่างตระหนก “ไม่… มันเป็นไปไม่ได้!”
“ใครให้ศิลาบันทึกภาพก้อนนี้แก่เจ้า?” ลู่เฉินรู้ดีว่าเถ้าแก่อู๋ยังอยู่ในขั้นสร้างรากฐาน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะใช้อักขระยันต์ประเภทนี้ได้
เถ้าแก่อู๋กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าทันใดนั้นเขาก็กรีดร้องโหยหวนและล้มลงกับพื้น ก่อนที่เลือดมากมายจะทะลักออกจากทวารทั้งเจ็ด!
เพียงอึดใจหนึ่ง ร่างกายของเถ้าแก่อู๋ก็แข็งทื่อไปแล้ว!
เจี่ยลัวตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ขณะที่ลู่เฉินเดินเข้าไปตรวจสอบ
ชายหนุ่มพบอักขระยันต์ภายในตันเถียนของอีกฝ่าย มันคืออักขระยันต์สีดำที่อ่านได้ว่า ‘หุ่นเชิด’
เจี่ยลัวยังคงยืนนิ่งงันด้วยความตกใจ
ในขณะที่ลู่เฉินกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เขามีอักขระยันต์หุ่นเชิดอยู่ในร่างกาย และมันก็ซ่อนได้แนบเนียนทีเดียว ข้าจึงตรวจไม่พบในคราแรก”
“หมายความว่า มีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้?” เจี่ยลัวถามอย่างโกรธแค้น ลู่เฉินจึงพยักหน้า “ดูเหมือนว่าในสำนักค่ายกลสวรรค์จะมีคนคิดร้ายกับเจ้า! และขั้นพลังของคนผู้นั้นก็ไม่อ่อนแอเพราะถึงขั้นที่สามารถใช้อักขระยันต์ได้!!”
“หรือว่าจะเป็น… เขา!” สีหน้าของเจี่ยลัวพลันเปลี่ยนไป
”ผู้ใด?”
“อาจารย์ของข้าบอกว่าในสำนักค่ายกลสวรรค์ มีปรมาจารย์อักขระยันต์ผู้ทรงพลังที่มุ่งหมายเอาชีวิตพวกข้าอยู่ ดังนั้นอาจารย์และข้าจึงเดินทางมายังหุบเขาเมฆาอสูร เพื่อดูว่ามีวิธีใดหรือไม่ที่จะจัดการกับคนผู้นั้นได้ แต่อาจารย์ข้ากลับถูกสัตว์อสูรฆ่าตายไปเสียก่อน เหลือแค่ตัวข้าที่รอด”
เจี่ยลัวนึกถึงเหตุการณ์ในครานั้นก็พลันน้ำตาไหล
ลู่เฉินจ้องศิลาก้อนนั้นและเอ่ยว่า “บางที… มันอาจจะไม่ใช่สัตว์อสูรที่ฆ่าอาจารย์เจ้า แต่เป็นปรมาจารย์อักขระยันต์นั่นที่วางแผนร้ายไว้!”
“แผนร้าย?”
“ภาพนี้ต้องถูกบันทึกในระยะใกล้แน่นอน และต้องมีใครบางคนบันทึกมันตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยวิธีที่ทำให้เจ้าไม่รู้ตัว” ลู่เฉินอธิบาย
สีหน้าของเจี่ยลัวเปลี่ยนไปทันที เขากำหมัดแน่นด้วยความเจ็บแค้น “ผู้อาวุโส โปรดล้างแค้นให้อาจารย์ข้าด้วย!”
สำหรับเรื่องนี้ เห็นทีลู่เฉินคงจะนิ่งเฉยไม่ได้อีก และหากเขาทำลายแผนการของอีกฝ่าย ปรมาจารย์อักขระยันต์ผู้นั้นย่อมรู้ตัวเขาแน่!
ดังนั้นไม่ว่าเขาจะช่วยหรือไม่ คนผู้นั้นก็ย่อมมีปัญหากับเขาอย่างแน่นอน!
”ได้!”
สุดท้าย ลู่เฉินก็เอ่ยอย่างหนักแน่น
เจี่ยลัวได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที “ข้ายินดีที่จะติดตามท่านและเข้าร่วมสำนักเก้าสุขสงบ!”
“เจ้าจะไม่กลับไปยังสำนักค่ายกลสวรรค์หรือ?”
“ข้าเคยคิดว่าอาจารย์ของข้าถูกสัตว์อสูรฆ่าตาย แต่ตอนนี้ ถ้าข้ากลับไป เกรงว่าข้าย่อมถูกปรมาจารย์อักขระยันต์ผู้นั้นกำจัดแน่!”
ลู่เฉินจึงตบไหล่เขาพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ!”
หลังจากที่เจี่ยลัวตอบรับ เขาก็มองไปยังศพของเถ้าแก่อู๋อีกครั้ง แล้วเดินตามลู่เฉินออกไป
…
ด้านนอกสุสานโบราณ
ทุกคนพากันพูดถึงความสามารถของลู่เฉิน ขณะที่ปิงหลิวหลีนั้น เมื่อเห็นว่าลู่เฉินไม่ได้ออกมาพร้อมกับโจวอวี๋ นางก็กังวลขึ้นมาทันที “เกิดอะไรขึ้นกับเขา?”
หลังจากที่โจวอวี๋บอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ปิงหลิวหลีก็ถึงกับตกใจ “อะไรนะ! นี่เขารู้เกี่ยวกับค่ายกลด้วยงั้นหรือ?”
“เจ้าไม่รู้ว่าเขาเข้าใจวิชาค่ายกล?” โจวอวี๋ถามด้วยความแปลกใจ
”ข้าจะรู้ได้อย่างไร?”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ย่อมไม่มีคุณสมบัติพอจะเป็นสาวใช้ของเขา!” โจวอวี๋กล่าวล้อเลียน
ปิงหลิวหลีได้ยินแล้วก็เบิกตากว้าง รีบแย้งขึ้นทันที “ข้าไม่ใช่สาวใช้ของเขา!”
“เช่นนั้นทำไมเจ้าต้องเชื่อฟังเขาขนาดนั้นด้วยเล่า?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าสำนักสาวก็แทบรอไม่ไหวที่จะจับตัวลู่เฉินออกมา และให้เขามาอธิบายความจริงทั้งหมดแก่โจวอวี๋!