ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 20 ราชันย์ซากศพหวนชีพ!
บทที่ 20 ราชันย์ซากศพหวนชีพ!
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ลู่เฉินถึงกับประหลาดใจ เขาหันไปเอ่ยกับโจวอวี๋ว่า “หากไม่อยากหลงอยู่ในค่ายนี้ เจ้าจงตามข้ามา!”
จากนั้นลู่เฉินก็เดินไปตามเสียงกรีดร้องเหล่านั้น
โจวอวี๋ตกใจจนรีบวิ่งตามไปไม่ห่าง เนื่องจากกลัวว่าจะพลัดหลง ทว่าการเดินทางกลับดำเนินไปอย่างราบรื่นยิ่งนัก พวกเขาไม่พบเจอกับปัญหาใดเลยตลอดเส้นทาง
โจวอวี๋เห็นเช่นนั้นก็งุนงง “เมื่อครู่ตอนที่ข้าลงมา รอบด้านมีแต่หมอกหนา แต่เหตุใดเจ้าถึงรู้เส้นทางได้?”
“อย่าเอาข้าไปเทียบกับเจ้า!” ลู่เฉินตอบแบบขอไปที
คำพูดของลู่เฉินทำให้โจวอวี๋พึมพำว่า “ข้าว่าข้าบ้าแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะบ้ากว่าข้า!”
ทันใดนั้น เบื้องหน้าพวกเขาพลันมีแสงไฟสว่างจ้า และมีกลุ่มคนที่กำลังตะโกนโหวกเหวกอยู่ตรงนั้น
กระทั่งลู่เฉินพาโจวอวี๋ออกจาก ‘ทางเดิน’ ก็เห็นกลุ่มคนยืนอยู่ในสุสาน
ด้านหน้ามีโลงศพศิลาตั้งอยู่ และฝาโลงถูกกระแทกออกดังปัง ๆ ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังจะออกมาอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนผู้ฝึกตนที่อยู่รอบ ๆ ต่างพากันตกใจจนสั่นสะท้าน
“ด้วยความกล้าหาญเพียงเท่านี้ กลับยังกล้าดีมาขุดหาสมบัติอีกหรือ?” ลู่เฉินส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา ขณะที่โจวอวี๋นั้นเมื่อพบว่าไม่มีสิ่งอันตรายก็ร้องตะโกนขึ้น “ผู้ใดกันที่ร้องบอกว่าศพคืนชีพ?”
ใครบางคนตอบมาอย่างตะกุกตะกัก “นะ..ในโลงหินนั่นมีศพอยู่”
“ใช่ ข้าเองก็เห็น ในนั้นมีดวงตาสีเลือดอันน่าสยดสยองอยู่ด้วย!”
”เป็นศพที่แห้งเหี่ยวอยู่ศพหนึ่ง!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น โจวอวี๋พลันรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว ขณะที่คนอื่น ๆ โดยรอบก็เอาแต่คิดหาทางออก ทว่ารอบด้านเต็มไปด้วยค่ายกล จึงทำให้พวกเขาไม่กล้าเข้าไปยุ่งตามอำเภอใจ เพราะกลัวว่าจะหลุดเข้าไปในค่ายกลอีกครั้ง
ในขณะที่ลู่เฉินเพียงจ้องเขม็งไปที่โลงศพศิลา เพราะเขาพบว่าในโลงนี้มีพลังปราณอันแข็งแกร่งซ่อนอยู่
“หรือว่าในโลงศพนี้จะมีแดนลับซ่อนอยู่?” ลู่เฉินเดินเข้าไปใกล้ทีละก้าวด้วยสีหน้าใคร่รู้
เมื่อทุกคนเห็นท่าทีเช่นนั้นก็พลันตะโกนว่า “เจ้าหนู อย่าเข้าไปใกล้มัน ระวังจะตายโดยไม่รู้ตัวนะ!”
“ใช่ ศพนั่นดุร้ายมาก!”
”ใช่แล้ว!”
ขณะที่คนเหล่านี้ร้องตะโกน ทันใดนั้นฝาโลงก็ถูกเตะออก ก่อนจะมี ‘คน’ ลอยออกมาจากข้างใน
ชายคนนี้มีผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เรือนกายเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก และยังมีขนสีเขียวขึ้นตามร่างกาย ดูแล้วแปลกประหลาดยิ่งนัก
แต่นี่ไม่ใช่ประเด็น …เพราะเมื่อฟังจากลมหายใจของอีกฝ่าย แล้วจะพบว่า ชายคนนี้น่าจะอยู่ในขั้นหลอมแก่นแท้!
ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงพากันสั่นสะท้าน “เป็นซากศพขั้นหลอมแก่นแท้จริงหรือ?”
โจวอวี๋สูดหายใจเฮือกใหญ่ ขณะที่ซากศพซึ่งแห้งเหี่ยวก็ส่งเสียงหึ่ง ๆ ออกมา ราวกับว่ามันกำลังหายใจ เสียงนี้สะท้อนไปมา ฟังแล้วน่ากลัวยิ่งนัก
ทว่าลู่เฉินกลับยังคงก้าวต่อไปทีละก้าวโดยไม่เกรงกลัว
“เจ้าบ้า!” โจวอวี๋ตกตะลึง
ยามที่ลู่เฉินอยู่ห่างจากซากศพไปเพียงสามก้าว เขาหลับตาลง จากนั้นส่งจิตสัมผัสแทรกซึมเข้าไปยังหนึ่งในแปดจุดชีวิตซึ่งอยู่รอบ ๆ จุดตันเถียนของเขา
และจุดชีวิตนั้นก็คือชาติภพที่ลู่เฉินถือกำเนิด ณ แดนซากศพ แล้วกลายเป็นราชันย์ซากศพนั่นเอง!
เมื่อชายหนุ่มกระตุ้นจุดชีวิตนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง
สิ่งที่พวกเขาเห็นคือ… การปรากฏของเงาลวงตา ซึ่งครอบทับร่างของลู่เฉินไว้ และมันก็มีลักษณะคล้ายกับซากศพของคนตาย!
“เขา เขากลายเป็นซากศพงั้นหรือ?” ใครบางคนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงตะกุกตะกัก
“นี่เขาติดพิษศพงั้นหรือ?”
“มันจบแล้ว มันจบแล้ว!”
โจวอวี๋ตกตะลึง “กลายเป็นศพไปแล้ว?”
“ทุกคนถอยไป อย่าเข้าใกล้พวกเขา มิฉะนั้นจะกลายเป็นศพ!”
แท้จริงแล้วมันไม่ใช่การกลายเป็นศพ แต่ลู่เฉินได้ยืมพลังจากภพที่เขาเคยเป็น ‘ราชันย์ซากศพ’ และสิ่งนี้ก็คือการใช้ ‘เคล็ดหวนชีพ’ !
ในชาติภพที่แปด ลู่เฉินได้ทำความเข้าใจความลับของ ‘เคล็ดนพชาติหวนคืน’ อย่างละเอียด ทำให้เขาสามารถดึงพลังของชาติภพที่ผ่าน ๆ มาได้
ทว่าพลังนี้จะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอก็ขึ้นอยู่กับขั้นพลังในชาติที่เก้าของลู่เฉิน
ตัวอย่างเช่นภพที่เก้าของลู่เฉินในยามนี้ เขาอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณระดับห้า ดังนั้นเคล็ดวิชาที่ใช้ออกในครานี้ จึงเรียกออกมาได้เพียงเปลือกนอก ซึ่งดูเหมือนกายเนื้อที่แห้งแตก และเป็นสีดำ
แม้ไม่อาจเข้าถึงพลังทั้งหมดเหมือนตอนที่เป็น ‘ราชันย์ซากศพ’ แต่ ‘เคล็ดหวนชีพ’ ก็มีข้อดี นั่นคือทำให้เขาสามารถมองข้าม ‘พิษศพ’ รวมถึงไม่ได้รับผลข้างเคียงจากการโจมตีของซากศพเหล่านั้นด้วย!
ไม่เพียงแค่นั้น ‘ราชันย์ซากศพ’ ยังมีปราณแห่งจอมราชันย์ เขาจึงเป็นเสมือนราชาแห่งเหล่าซากศพทั้งมวล!
ดังนั้นเมื่อลู่เฉินมองไปที่ซากศพนั้น มันก็พลันถอยห่างออกไปด้วยความตกใจ ถึงขนาดกระโดดกลับเข้าไปในโลงศพ จากนั้นก็ปิดฝาโลงเสร็จสรรพ บรรยากาศโดยรอบจึงเงียบกริบขึ้นมาทันใด
“…นี่มัน?” ทุกคนต่างมึนงง นึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
จากนั้นลู่เฉินก็เลิกใช้ ‘เคล็ดหวนชีพ’ และกลับคืนสู่สภาพเดิม
ส่วนโจวอวี๋ยังคงตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น “เจ้าเป็นอันใดหรือไม่?”
ลู่เฉินหันกลับมายิ้มให้อีกฝ่าย “คิดว่าข้าจะเป็นอันใดงั้นหรือ?”
“นะ… นี่มันเป็นไปได้อย่างไร เจ้าเพิ่ง…” โจวอวี๋ไม่อาจลืมฉากที่เพิ่งเกิดได้ และคนอื่น ๆ เองก็เช่นกัน
“เจ้าอย่าเพิ่งไปไหน รอข้ากลับมาก่อน!” หลังจากที่ลู่เฉินเอ่ยจบ เขาก็เดินไปเปิดฝาโลงแล้วกระโดดเข้าไป ก่อนจะปิดฝาโลงอีกครั้ง
ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างตกตะลึง
โจวอวี๋อยากตามอีกฝ่ายเข้าไป แต่เมื่อนึกถึงซากศพอันน่ากลัว เขาก็ได้แต่อดทนไว้พลางเผยสีหน้าสงสัยออกมา “เมื่อครู่นี่ เขาทำอันใดกันแน่?”
….
ภายในโลงศพนี้มีขั้นบันได และใต้ขั้นบันไดก็มีห้องลับปรากฏอยู่
และในห้องลับนี้ก็มีค่ายกลอยู่ด้วย!
ลู่เฉินเดินผ่านค่ายกลเข้ามาในห้องโถงใหญ่
เขาพบว่าภายในห้องโถงนี้มีซากศพตนนั้นกำลังนั่งขัดสมาธิเพื่อพักผ่อนอยู่ แต่หลังจากที่ลู่เฉินปรากฏตัว มันก็พลันตื่นตัวและส่งเสียงคร่ำครวญ
“เจ้ากลายเป็นซากศพได้อย่างไร?” ลู่เฉินถามอีกฝ่าย ทว่าภาษาที่อีกฝ่ายตอบกลับมานั้นยากที่จะเข้าใจได้
ทว่านั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับลู่เฉิน “ไม่ต้องกังวล รอข้าเปลี่ยนสภาพก่อน แล้วข้าก็จะรู้ว่าเจ้าพูดอันใด”
ลู่เฉินกระตุ้นพลังของ ‘ราชันย์ซากศพ’ จากนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงอันดังก้อง
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงกลายเป็นซากศพ?”
ซากศพตนนั้นเข้าใจสิ่งที่ลู่เฉินพูด มันจึงดูตกใจยิ่งนัก “เจ้าพูดภาษาศพได้?”
“นั่นไม่สำคัญ” ลู่เฉินยิ้มให้อีกฝ่าย
ซากศพนั้นจึงทอดถอนใจ และเริ่มเล่าว่า “ข้าเป็นปรมาจารย์ค่ายกล ต่อมาพบชีพจรวิญญาณใต้พิภพบริเวณนี้ จึงจัดวางค่ายกลซ่อนชีพจรวิญญาณนี้ไว้ และวางแผนที่จะฝึกบ่มเพาะ ทว่าคิดไม่ถึงเลยว่าข้าจะถูกหนอนซากศพกัดเข้า!”
ลู่เฉินได้ยินเช่นนั้นก็ฉีกยิ้ม ก่อนจะถามออกไปว่า “เช่นนั้นแล้ว เจ้ามีนามว่าอะไร?”
”เจี่ยลัว”
“เจ้าอยากออกไปหรือไม่?” ลู่เฉินมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม ทว่าเจี่ยลัวกลับเอ่ยอย่างหดหู่ใจว่า “หน้าตาข้ากลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว หากออกไปย่อมทำให้ผู้คนหวาดกลัว ยิ่งไปกว่านั้น แสงภายนอกก็ยังทำให้ข้าเจ็บปวด!”
ทว่าลู่เฉินเข้าใจปัญหานี้ดี “ข้ามีวิธีที่จะทำให้ร่างกายภายนอกของเจ้าดูเหมือนมนุษย์ และทำให้ออกไปได้โดยไม่ต้องกลัวแสงอีก แต่ปัญหาด้านการสื่อสารนั้นยังคงมีอยู่”
“จริง… จริงหรือ?” เจี่ยลัวอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว เขาต้องการกลับสู่โลกปกติ ดังนั้นเมื่อได้ยินสิ่งนี้ก็พลันตื่นเต้นขึ้นมา
ลู่เฉินพยักหน้า “จริง! แต่ข้ามีข้อแม้บางอย่าง!”
“พูดมา ไม่ว่าจะข้อแม้อันใด ข้าก็ตกลงทั้งนั้น!” เจี่ยลัวรู้ว่าลู่เฉินไม่ใช่คนธรรมดา ยามนี้เขาจึงคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะพาตนออกไป
ลู่เฉินมองไปรอบ ๆ และกล่าวว่า “ข้าอยากวางค่ายกลที่นี่ ส่วนเจ้า ต้องคอยคุ้มกันอยู่ข้างกายข้า”
“ได้แน่นอน… ไม่มีปัญหา!” ลำคออันแข็งแห้งของเจี่ยลัวพยักหงึก ๆ เป็นพัลวัน ส่วนลู่เฉินก็ฉีกยิ้มและกล่าวอีกว่า “หลังจากออกไปแล้ว เจ้าต้องสัญญากับข้าเรื่องหนึ่ง!”
“ท่านพูดมา!” เจี่ยลัวอยากรู้ว่าตนเองจะต้องสัญญากับอีกฝ่ายในเรื่องใด