ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 18 ท้าประลองฝีมือ ผู้รับคำท้าไม่ปฏิเสธ
บทที่ 18 ท้าประลองฝีมือ ผู้รับคำท้าไม่ปฏิเสธ
เมื่อลู่เฉินเห็นหอก เขาไม่ได้ตกใจ แต่มองไปที่ปิงหลิวหลี “ให้เจ้า!”
“ข้าหรือ? ยามนี้เนี่ยนะ? เจ้ากำลังล้อเข้าเล่นอยู่หรือ” ปิงหลิวหลีรู้สึกหดหู่อย่างมาก
ถึงอย่างไรเสียโจวอวี๋ก็อยู่ในขั้นสร้างรากฐานระดับสมบูรณ์พร้อม ในขณะที่ตนเองนั้น แม้ว่าจะมีอักขระยันต์เยียวยาที่ใช้ระงับอาการบาดเจ็บของลู่เฉิน แต่ก็ทำได้เพียงระเบิดพลังขั้นสร้างรากฐานระดับกลางหรือระดับปลายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น!
ปิงหลิวหลีจึงคิดว่าตนไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของโจวอวี๋ได้
แม้แต่โจวอวี๋เองก็หัวเราะเยาะลู่เฉิน “พลังของนางเมื่อครู่ มากสุดก็แค่ขั้นสร้างรากฐานระดับปลายเท่านั้น!”
“เจ้าแน่ใจหรือ?” หลังจากที่ลู่เฉินเอ่ยจบ เขาก็วางมือลงบนแผ่นหลังของปิงหลิวหลีอีกครั้ง
ปิงหลิวหลีไม่เข้าใจว่าเหตุใดลู่เฉินถึงยัง ‘ดื้อรั้น’ เช่นนี้
ทว่าครู่ต่อมา เจ้าสำนักสาวก็ต้องพบกับเรื่องประหลาด นั่นคือพลังของนางเปลี่ยนไปไม่น้อย จากขั้นสร้างรากฐานระดับสมบูรณ์พร้อม บัดนี้ได้ทะลวงสู่ขั้นหลอมแก่นแท้ระดับต้น!
“นี่มัน!” ปิงหลิวหลีรีบสำรวจร่างกายตนเอง ก่อนจะพบว่าแสงสีทองของอักขระยันต์เยียวยานั้นแข็งแกร่งขึ้นมาก
ลู่เฉินเผยรอยยิ้มที่ดูแปลกประหลาด พลางเอ่ยถาม “ยามนี้ใช้ได้แล้วสินะ?”
“นี่… นี่มันเรื่องอันใดกัน?” ปิงหลิวหลีพลันประหลาดใจ
สาเหตุที่ลู่เฉินทำได้เช่นนี้ก็เพราะพลังปราณของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาห้าส่วน ส่งผลให้เมื่อสำแดงเคล็ดวิชาอันใด ก็ย่อมมีอานุภาพเพิ่มขึ้นห้าส่วนเช่นกัน!
ดังนั้น พลังของอักขระยันต์เยียวยาจึงแข็งแกร่งขึ้นด้วย!
และพลังวิญญาณก่อกำเนิดที่ปิงหลิวหลีได้ระเบิดออกมานั้นก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
ทว่าลู่เฉินไม่ได้บอกเหตุผลกับหญิงสาวเจ้าสำนัก เขาเพียงกล่าวว่า “สั่งสอนเขาก่อน!”
ในขณะที่ปิงหลิวหลีกำลังตื่นเต้นยินดี แต่โจวอวี๋กลับกลัดกลุ้ม เขาก้าวถอยหลังไปทีละก้าว พลางเอ่ยถาม “เหตุใดจู่ ๆ เจ้าถึงแข็งแกร่งขึ้น?”
“ข้าแข็งแกร่งอยู่แล้ว!” เมื่อพลังของปิงหลิวหลีกลับคืนมา น้ำเสียงของนางก็เปลี่ยนไป ขณะที่ลู่เฉินมองโจวอวี๋ยิ้ม ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “ยังจะเข้ามาอีกหรือไม่?”
“เจ้า!” โจวอวี๋เริ่มวิตกและลังเล
ส่วนลู่เฉินพลันฉีกยิ้มกว้าง “หากอยากรู้ว่าข้ารู้เคล็ดวิชาอสูรอัคคีเพลิงได้อย่างไร และทำอย่างไรให้เคล็ดวิชาอสูรอัคคีเพลิงแข็งแกร่งขึ้น เจ้าก็ต้องยอมเข้าร่วมสำนักเก้าสุขสงบ แล้วกลายเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เสีย!”
“เจ้าทำให้เคล็ดวิชาอสูรอัคคีเพลิงแข็งแกร่งขึ้นได้?” โจวอวี๋เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ขณะที่ลู่เฉินชี้ไปที่ปิงหลิวหลี “ข้าทำให้พลังบ่มเพาะของนางแข็งแกร่งขึ้นได้ แล้วเจ้าว่ามีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีกรึ?”
โจวอวี๋ได้ยินดังนั้นก็เริ่มตกอยู่ในภวังค์ ส่วนลู่เฉินก็ยังคงฉีกยิ้มพลางก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง “เจ้าค่อย ๆ ไตร่ตรองเถิด! ใช้เวลาที่มีคิดเกี่ยวกับมันให้ดี!”
ปิงหลิวหลีตามลู่เฉินไปอย่างรวดเร็ว ส่วนโจวอวี๋ยังคงพึมพำกับตัวเองว่า “แม้จะไม่เข้าร่วม ข้าก็ย่อมสามารถเข้าใจเองได้!”
ทว่าโจวอวี๋กลับเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างเงียบ ๆ
“เขาตามมาแล้ว” ยามที่ปิงหลิวหลีเห็นโจวอวี๋ยู่ข้างหลัง นางก็หันไปกล่าวกับลู่เฉินอย่างฉงน แต่ท่าทีของลู่เฉินกลับยังคงสงบ “ก็แล้วแต่เขา”
ปิงหลิวหลีส่งเสียงรับคำ ก่อนจะเริ่มตรวจสอบอักขระยันต์เยียวยาในร่างกายของตนเอง ทันใดนั้นความสับสนของนางก็บังเกิดขึ้น
‘ขั้นพลังของเขาเพิ่งจะอยู่เพียงขั้นกลั่นลมปราณระดับห้าแท้ ๆ แล้วเหตุใดพลังของอักขระยันต์ถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ได้?’ เจ้าสำนักสาวได้แต่ครุ่นคิด
ทว่าไม่มีผู้ใดไขความกระจ่างให้ปิงหลิวหลีได้ และนางเองก็รู้ดีว่าลู่เฉินไม่มีทางบอกนางง่าย ๆ หญิงสาวจึงทำได้เพียงสะกดความอยากรู้ของตนเอง แล้วเร่งตามฝีเท้าของลู่เฉินไปยังสุสานโบราณ
…
นอกสุสานโบราณมีผู้คนมารวมตัวกันอยู่นับไม่ถ้วน
ทว่าสุสานโบราณแห่งนี้ถูกบางสิ่งบางอย่างระเบิดเละจนสภาพผิดไปจากเดิม ดังนั้นสิ่งที่ทุกคนเห็นยามนี้จึงมีเพียงก้อนหินระเกะระกะ รวมทั้งหมอกบาง ๆ ที่ลอยออกจากซอกหุบเขาเท่านั้น
“ลงไปหรือ?” มีใครบางคนอยากลงไปแต่ไม่กล้า
ทว่าก็ยังมีผู้ที่ใจกล้าอยู่บ้าง พวกเขาไม่รอช้า เร่งพุ่งตัวเข้าไปผ่านหว่างหินเหล่านั้นทันที ในมือของพวกเขากำศิลาเรืองแสงเอาไว้มั่น
ไม่เพียงเท่านั้น บางคนหยิบเชือกออกมามัดไว้กับต้นไม้ใหญ่ใกล้เคียง จากนั้นก็ทิ้งตัวไปตามซอกเขา
เวลานั้น บรรยากาศบริเวณทางเข้าจึงดูคึกคักยิ่ง
ลู่เฉินมาถึงที่นี่แล้วก็เริ่มหลับตา อาศัยจิตสัมผัสอันแข็งแกร่งของตนเพื่อตรวจสอบดูว่าจุดใดมีไอปราณที่แข็งแกร่ง
สุดท้ายก็ลืมตาขึ้น และเดินไปยังจุดที่เป็นซากปรักหักพัง
“ทางเข้าอยู่ตรงนั้นไม่ใช่หรือ?” ปิงหลิวหลีเห็นลู่เฉินกำลังเดินไปยังบริเวณที่ไร้ผู้คนก็รู้สึกฉงน แต่ชายหนุ่มไม่คิดหยุดฝีเท้า
ครั้นเดินไปถึงพื้นที่หนึ่ง เขาก็ชี้ลงไปด้านล่าง “ที่นี่มีทางเข้า และยังดีกว่าทางเข้าเหล่านั้นด้วย”
“ทางเข้ามีการแบ่งว่าดีหรือไม่ดีได้ด้วยหรือ?” ปิงหลิวหลีรู้สึกงุนงง
ในขณะที่ลู่เฉินหันกลับมาสั่งนาง “เปิดมันออก!”
“เหตุใดเจ้าไม่เปิดเอง!” เมื่อหญิงสาวสัมผัสได้ถึงท่าทีของลู่เฉินที่สั่งนางราวกับสั่งสาวใช้ก็พลันรู้สึกไม่พอใจ และในขณะเดียวกันก็ยังรู้สึกหดหู่ขึ้นมา
ลู่เฉินเห็นดังนั้นจึงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “เชื่อหรือไม่ ข้าจะบอกฐานะของเจ้ากับทุกคน”
“เจ้า!” ปิงหลิวหลีคิดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะ ‘ไร้ศีลธรรม’ เช่นนี้
ทว่าเพื่อรักษาหน้า นางจึงจำใจต้องทำงานหนักอีกครั้ง ส่วนโจวอวี๋ก็กำลังเมียงมองอยู่ใกล้ ๆ ด้วยความสงสัย “บริเวณนี้มีแต่หิน มันมีทางเข้าที่ไหนกัน?”
“เด็กเอ๋ย มีอีกหลายสิ่งที่เจ้ายังไม่รู้!” คำพูดของลู่เฉินทำให้โจวอวี๋ไม่พอใจ “เด็กอะไร ข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า และอายุก็มากกว่าเจ้าเสียอีก!”
ปิงหลิวหลีเห็นการกระทำเหล่านี้ก็รู้สึกได้ว่าชินเสียแล้ว เพราะแม้แต่นางที่อยู่ในขั้นก่อกำเนิด แต่ลู่เฉินก็ยังคงเรียกนางว่าสาวน้อยอยู่ดี
ทว่าสำหรับลู่เฉินนั้นอายุไม่ใช่สิ่งสำคัญ เขาจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หนทางแห่งการฝึกฝนทั้งยาวไกลและยาวนาน ดังนั้นอายุจึงไม่มีความหมายใด!”
“ไม่มีความหมาย? เจ้าล้อเล่นหรือไร?” โจวอวี๋ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ดูอย่างไรลู่เฉินก็อายุเพียงแค่สิบกว่าปีเท่านั้น เหตุใดเขาถึงได้พูดจาด้วยท่าทีเช่นนี้กัน?
“แม้ภาพลักษณ์บางคนอาจดูเหมือนเด็ก แต่แท้จริงแล้วพวกเขาอาจอายุหลายร้อยหลายพันปีก็ได้ หรือแม้บางคนภายนอกอาจดูเหมือนแก่ชรา แต่แท้จริงแล้วพวกเขาอาจมีอายุแค่ร้อยปีเท่านั้น” ลู่เฉินยังคงยิ้มขณะกล่าว
ปิงหลิวหลีเห็นด้วยในเรื่องนี้ เพราะถึงอย่างไรนางก็อยู่มานานนับพันปีแล้ว แต่เมื่อมองจากภายนอก นางกลับมีภาพลักษณ์ของหญิงสาวอายุราวยี่สิบสามสิบปีเท่านั้น
ทว่าโจวอวี๋กลับแย้งขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอายุ แต่ขั้นพลังเล่า? อย่างไรข้าก็แข็งแกร่งกว่าเจ้า!”
”ก็แค่ยามนี้เท่านั้น”
คำพูดของลู่เฉินทำให้โจวอวี๋เกิดโทสะขึ้นมา “เช่นนั้นเจ้ากล้าประลองกับข้าหรือไม่?”
“ข้าบอกแล้วว่าแค่ยามนี้ ทว่าหากเจ้าอยากประลอง เช่นนั้นข้าก็จะให้โอกาสเจ้า!” ลู่เฉินไม่ปฏิเสธ
โจวอวี๋ได้ยินเช่นนั้นจึงคว้าหอกขึ้นมาทันที “พวกเรามาประลองกันยามนี้เลยเถิด!”
“หากเจ้าแพ้เล่า?”
“หากแพ้ ข้าจะเข้าร่วมสำนักเก้าสุขสงบ! แต่ถ้าชนะ เจ้าต้องบอกข้าว่าเจ้าเรียนเคล็ดวิชาอสูรอัคคีเพลิงจากที่ใด!” เมื่อเห็นว่าลู่เฉินกำลังจะรับคำท้า โจวอวี๋ก็พลันดีใจขึ้นมา
ปิงหลิวหลีเห็นเช่นนั้นก็หันไปถามลู่เฉิน “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? คิดจะสู้กับเขาจริง ๆ รึ?”
“วางใจได้ เขามีจุดอ่อน!” คำพูดของลู่เฉินทำให้โจวอวี๋ไม่พอใจ “ข้าเนี่ยนะมีจุดอ่อน?”
“รอให้ถึงสุสานโบราณด้านล่างเสียก่อน แล้วข้าจะบอกเจ้าเอง!” คำพูดของลู่เฉินทำให้โจวอวี๋งงงวย แต่เขาก็ยังคิดว่าตนเองไม่มีจุดอ่อน จึงตะโกนตอบไปว่า “เช่นนั้นเจ้าจะประลองกับข้าที่สุสานโบราณ?!”
“ใช่ เมื่อถึงสุสานโบราณ หากเจ้าชนะ ข้าจะบอกความลับของเคล็ดวิชาอสูรอัคคีเพลิง แต่ถ้าข้าชนะ เจ้าก็ต้องทำตามสัญญา!”
“ได้!” โจวอวี๋กระตือรือร้นขึ้นมาทันที
ส่วนปิงหลิวหลีก็ยังคงฉงนอยู่ “หากไม่พึ่งข้า เจ้าจะชนะได้หรือ?”
ลู่เฉินได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองหญิงสาว “เจ้าจงทำหน้าที่ตัวเองต่อไป อย่าได้พูดมาก!”
“ได้ ถึงยามนั้นอย่ามาขอร้องข้าก็แล้วกัน!” ปิงหลิวหลีแค่นเสียงหึ แล้วเริ่มย้ายก้อนหินเหล่านั้นต่อไป
ส่วนโจวอวี๋ก็ตั้งตารอที่จะเข้าไปในสุสานโบราณ พลางครุ่นคิดว่าจะจัดการลู่เฉินอย่างไร