ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 17 หากจะแก้ไขชาติที่เก้า ต้องรีบปลูกรากวิญญาณ!
บทที่ 17 หากจะแก้ไขชาติที่เก้า ต้องรีบปลูกรากวิญญาณ!
ทุกคนคิดว่าลู่เฉินจะประนีประนอม
แต่ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าลู่เฉินกลับตอบมาว่า “ข้าบอกแล้ว นอกเสียจากเจ้าจะเข้าร่วมสำนักเก้าสุขสงบ และรับตำแหน่งบุตรศักดิ์สิทธิ์ ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต้องคุยกัน!”
“เจ้า! เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าลงมือจริง ๆ หรือ?” โจวอวี๋ถามพลางตั้งท่าขู่
“อย่าดีกว่า ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเสียใจภายหลัง!” ลู่เฉินฉีกยิ้มอย่างลึกลับ
โจวอวี๋รู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมาทันที เจ้าหนุ่มคนนี้เอาความกล้ามากมายมาจากไหนกัน?
และในระหว่างนั้น ลู่เฉินก็เดินไปยังราชสีห์ขนเพลิง
ทว่าทันใดนั้น พลังปราณพลันพรั่งพรูออกจากร่างของโจวอวี๋ ก่อนที่เจ้าตัวจะหัวเราะขึ้นมา “สัตว์อสูรตนนี้ข้าจอง เจ้าเลิกคิดจะจับมันเสียเถิด!”
ทันทีที่เอ่ยจบ หอกยาวของโจวอวี๋ก็ถูกขว้างออกไป
หอกยาวนี้ทะลวงผ่านปราณกระบี่ของปิงหลิวหลี มันพุ่งโจมตีไปที่ร่างของราชสีห์ขนเพลิง ทำให้สัตว์อสูรตนนั้นร้องโหยหวนขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่ร่างของมันจะหดเล็กลง กระทั่งกลายเป็นซากศพแห้งกรอบต่อหน้าทุกคน
ทุกคนในที่นี้พลันตกตะลึง
บ้างก็เอ่ยอย่างติดอ่างว่า “ห… หะ… หอก หอกนั่น!”
“ศาสตราวิญญาณระดับสุดยอด หอกกลืนอสูร!”
“มันกลืนกินเร็วไปหน่อยกระมัง!”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว นี่คือสมบัติกลืนกินที่สามารถคร่าชีวิต โลหิต และกายเนื้อของสัตว์อสูรได้อย่างรวดเร็ว!” ใครบางคนที่มีความรู้รอบตัวได้เอ่ยขึ้น
ส่วนโจวอวี๋ที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นก็ได้เอ่ยหยอกเย้าลู่เฉิน “เป็นอย่างไร โกรธหรือไม่?”
ทุกคนคิดว่าลู่เฉินคงจะต้องโกรธจัด ทว่าชายหนุ่มกลับเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ ราชสีห์ขนเพลิง แล้วมองดูซากศพของมัน
ในขณะที่โจวอวี๋โบกมือข้างหนึ่ง หอกยาวพลันกลับมาอยู่ในมือเขาอีกครั้ง
“เมื่อราชสีห์ขนเพลิงไร้ชีวิต มันก็ไม่ได้มีมูลค่าอันใดอีก!” โจวอวี๋กล่าวพลางจ้องมองสีหน้าของลู่เฉิน เขากำลังจินตนาการถึงความรู้สึกผิดหวังของอีกฝ่าย
ทว่าผู้ใดจะรู้ว่าลู่เฉินกลับใช้มือหนึ่งตะปบไปที่ซากแห้งของราชสีห์ขนเพลิง ก่อนจะฉีกยิ้มออกมา “ขอบใจเจ้ามาก”
“ขอบใจมาก?” โจวอวี๋ตกตะลึง เขาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร
ลู่เฉินพลันหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย “ข้าต้องการเพียงกระดูกศีรษะของมันเท่านั้น!”
“อะไรนะ?!” โจวอวี๋ถึงกับตกตะลึง
และไม่ใช่แค่โจวอวี๋เท่านั้น เพราะทุกคนในที่นี้ล้วนตะลึงไปตาม ๆ กัน เดิมทีพวกเขาคิดว่าลู่เฉินต้องการจับราชสีห์ขนเพลิงแบบตัวเป็น ๆ หรือไม่ก็คงต้องการโลหิตหรือเนื้อของมัน
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าลู่เฉินกลับต้องการเพียงกระดูกของมันเท่านั้น!
หลังจากที่โจวอวี๋ได้สติกลับมา เขาก็ไม่รอช้า พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว คิดหมายจะแย่งกระดูกศีรษะนั้นมา ทว่าเวลานั้นลู่เฉินกลับทำให้ทุกคนถึงกับตะลึงค้าง
พวกเขาเห็นว่ากระดูกของราชสีห์ขนเพลิงค่อย ๆ กลายเป็นเปลวเพลิง จากนั้นก็ไหลเข้าไปในร่างกายของลู่เฉิน
กระทั่งโจวอวี๋มาอยู่ตรงหน้าลู่เฉิน กระดูกราชสีห์ขนเพลิงก็เหลือเพียงแผ่นหนังแห้งกรอบเท่านั้น
“ต้องการหรือไม่?” ลู่เฉินส่งแผ่นหนังอันแห้งกรอบของอสูรขนเพลิงให้โจวอวี๋ที่อยู่ตรงหน้า
โจวอวี๋ถึงกับมองตาค้าง “แล้ว แล้วกระดูกศีรษะเล่า?”
“หากเจ้าใช้อาวุธกลืนอสูรของเจ้าได้ ข้าก็ย่อมมีวิธีกลืนกระดูกอสูรเช่นกัน” ลู่เฉินฉีกยิ้มกว้างจนตาหยี
ผู้คนที่ได้ฟังจนถึงยามนี้ต่างก็ตัวสั่นงันงก
“กลืน กลืนกระดูกอสูร…”
“นี่ นี่มันพลังอะไร?”
บัดนี้พวกเขาสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของลู่เฉินแล้ว
ปิงหลิวหลีเองก็เช่นกัน หญิงสาวยังคงจ้องมองแผ่นหนังอันแห้งกรอบด้วยสีหน้าตกตะลึง ในขณะที่ลู่เฉินส่งแผ่นหนังนั้นให้โจวอวี๋ แล้วนั่งขัดสมาธิลง
“ชายผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่?” พวกเขาต่างก็เผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาเมื่อเห็นการกระทำของลู่เฉิน
โจวอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ใช้หอกยาวชี้ไปหาอีกฝ่าย “เจ้า เจ้าอย่ามาล้อเล่นกับข้า!”
ลู่เฉินยังคงหลับตา จิตสัมผัสของเขากำลังสำรวจภายในร่างกายของตนเอง
หลังจากที่กลืนกระดูกราชสีห์ขนเพลิงเข้าไป มันก็ผสานเข้ากับลำแสงสีเขียว และแสงสีเขียวนั้นก็ได้กลายเป็นแสงดาวสีเขียว ก่อนจะทะลักเข้าไปในจุดชีวิตที่เก้าอันริบหรี่
ครู่ต่อมา จุดแสงที่เก้านั้นก็แข็งแกร่งขึ้น
ทันใดนั้น ลู่เฉินก็พลันเห็นฉากที่น่าประหลาดใจ
จุดชีวิตทั้งแปดต่างโคจรรอบจุดชีวิตที่เก้า ไม่เพียงแค่นั้น เพราะแม้แต่พลังปราณอันอ่อนแอที่แผ่ออกมาจากจุดชีวิตที่เก้า ก็ยังทำให้ระดับความเข้มข้นของปราณในจุดตันเถียนของลู่เฉินเพิ่มขึ้นถึงห้าส่วน!
ครู่ต่อมา เคล็ดวิชาบทแรกของ ‘เคล็ดนพชาติหวนคืน’ ก็พลันแวบเข้ามาในหัวของเขา
‘เคล็ดควบกลั่นลมปราณ’ !
เคล็ดควบกลั่นลมปราณนี้ ทำให้ปริมาณพลังปราณหดตัวลง ซึ่งจะทำให้ปราณมีความเข้มข้นมากขึ้นถึงสิบส่วน!
เมื่อระดับความเข้มข้นของพลังปราณเพิ่มขึ้นสิบส่วน นั่นคือสองเท่าของขั้นพลังนั้น ๆ ทำให้เมื่ออยู่ในขั้นสร้างรากฐาน เขาจะแข็งแกร่งกว่าผู้อื่นที่อยู่ในขั้นเดียวกัน!
ทว่าตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณระดับห้า พลังปราณของเขาตอนนี้จึงเพิ่มขึ้นเพียงห้าส่วนเท่านั้น หากต้องการทะยานสูงขึ้นไปกว่านี้ เขาจำเป็นต้องบรรลุให้ถึงระดับสิบ ซึ่งต้องอาศัยวัตถุดิบที่เพียงพอ อย่างเช่นศิลาวิญญาณ และสมุนไพรวิญญาณ
วัตถุดิบเหล่านั้น ลู่เฉินสามารถหามันได้ในหุบเขาอสูรเมฆาที่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้ แต่เพราะเขาไม่มีรากวิญญาณ หากต้องการดูดซับพลังปราณจากศิลาวิญญาณและสมุนไพรวิญญาณ ส่งผลให้เขาต้องเหนื่อยกว่าปกติ
ด้วยเหตุนี้ สิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้ก็คือการ ‘เพาะปลูก’ รากวิญญาณให้ตนเอง แต่คุณภาพของรากวิญญาณจะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับวิธีการและวัตถุดิบที่ใช้
วิธีการ ‘เพาะปลูก’ ของลู่เฉินนั้นมีมากมาย ทว่าหลังจากขบคิดไปมา สุดท้ายเขาก็เลือกวิธีการที่ยากที่สุด!
“ในเมื่อจะเพาะปลูก ก็ต้องเพาะปลูกรากวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุด!”
นั่นคือ รากวิญญาณสวรรค์ผกผัน!
‘รากวิญญาณสวรรค์ผกผัน’ ที่ว่านี้ ลู่เฉินไม่เคยเพาะปลูกให้ใครมาก่อน เพราะในยามเพาะปลูกนั้นมันต้องการพลังปราณมหาศาลมาหล่อเลี้ยง ยิ่งไปกว่านั้น ขั้นพลังก็ไม่ควรเกินขั้นกลั่นลมปราณ และยังต้องใช้ปณิธานที่แน่วแน่อีกด้วย
ขั้นพลังยุทธ์ของลู่เฉินนั้นมีเพียงพอ และพลังปราณก็ยังเข้มข้น
ส่วนปณิธานนั้น ลู่เฉินเองก็มีเช่นกัน และในฐานะชาติภพที่เก้า มันก็ยิ่งทำให้ปณิธานของเขาเหนือกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน!
ส่วนความเข้มข้นของพลังปราณ ย่อมชดเชยได้จากเขตค่ายกล ทว่าระหว่างขั้นตอนเหล่านั้นห้ามถูกรบกวนเด็ดขาด!
ดังนั้นลู่เฉินจึงนึกถึงสถานที่แห่งหนึ่งขึ้นมาทันที และนั่นก็คือเขตที่เก้าของหุบเขาอสูรเมฆา!
ครั้นลู่เฉินวางแผนในหัวเสร็จสิ้น ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่โจวอวี๋ใช้หอกชี้ไปทางลู่เฉินด้วยความโกรธ “เจ้า… จะลุกขึ้นมาดี ๆ หรือไม่?”
ลู่เฉินเบิกตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันไปทางปิงหลิวหลี “ไปกันเถอะ”
ปิงหลิวหลีรีบเข้ามาหา ก่อนจะกระซิบเสียงเบาว่า “เจ้า… เจ้าไม่กลัวว่าเขาจะขว้างหอกใส่หรือ?”
“เขาไม่กล้าหรอก!”
“เพราะเหตุใด?” ปิงหลิวหลีถึงกับฉงน ในขณะที่ลู่เฉินฉีกยิ้มกว้าง “หากข้ารู้เคล็ดวิชากระบี่เก้าสุขสงบ เจ้าจะสังหารข้าหรือไม่?”
“เรื่องนี้…” ปิงหลิวหลีตระหนักขึ้นมาได้ทันที เพราะถึงอย่างไรเสียเคล็ดวิชากระบี่เก้าสุขสงบก็ย่อมสำคัญต่อสำนัก “เช่นนั้นเจ้ากับตระกูลโจวเกี่ยวข้องอันใดกัน?”
ลู่เฉินไม่ได้ตอบสิ่งใดออกไป
“อย่าเงียบสิ!” ปิงหลิวหลีรู้สึกหงุดหงิด ในขณะที่ลู่เฉินเพียงเดินไปตามทางที่เขาตั้งใจไว้
โจวอวี๋ที่อยู่ด้านหลังเห็นดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ “ข้า… ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่สามารถจัดการเจ้าได้!”
และในขณะนั้น พลันมีเสียง ‘ตูม!’ ดังขึ้นจากพื้นที่ใกล้ ๆ กัน
“สุสานโบราณ พบสุสานโบราณแล้ว!” เสียงใครบางคนตะโกนขึ้นมาจากไกล ๆ
จากนั้นก็ตะโกนซ้ำอีกว่า “ช่างเป็นพลังปราณที่แข็งแกร่งจริง ๆ!”
ลู่เฉินที่กำลังจะจากไป พลันสัมผัสได้ถึงไอปราณแข็งแกร่งรอบด้านที่แผ่ออกมา
และเมื่อไอปราณอันแข็งแกร่งนั้นพุ่งเฉียดผ่านข้างกายลู่เฉิน ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ว่าพลังปราณนี้มีความเข้มข้นไม่น้อย!
“ดูแล้วในสุสานโบราณน่าจะมีค่ายกลรวมวิญญาณชีพจรอยู่” แววตาลู่เฉินเปล่งประกายขึ้นทันใด เขาหยุดฝีเท้า และหันไปสั่งปิงหลิวหลี “ไป!”
ปิงหลิวหลีตกตะลึง “เจ้าไม่สนใจสุสานโบราณไม่ใช่หรือ?”
“แต่ก่อนไม่ ทว่าตอนนี้สนใจแล้ว!” หากลู่เฉินจะเพาะปลูกรากวิญญาณ ย่อมต้องใช้สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยพลังปราณ และเมื่อเจอสถานที่อันเหมาะสมกับตนเองแล้ว เขาย่อมปรารถนาที่จะเข้าไป!
ปิงหลิวหลีถึงกับงุนงง “เจ้านี่มัน!”
ขณะเดียวกัน โจวอวี๋พลันขว้างหอกเฉียดผ่านหน้าลู่เฉินไป ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อยากไปสุสานโบราณ? เช่นนั้นต้องถามหอกข้าก่อน!”