ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 163 พรรคเมฆาเพลิงขายสินค้าปลอม และยังขู่เข็ญ!
บทที่ 163 พรรคเมฆาเพลิงขายสินค้าปลอม และยังขู่เข็ญ!
หนานเหยาพลันรู้สึกกระวนกระวายเมื่อเห็นท่าทีของหนานลัว นางรีบเอ่ยทันทีว่า “เสด็จพี่แปด ท่านอายุมากแล้ว อาจสับสนได้ง่าย!”
“น้องหญิงเก้า เจ้าหายไปห้าพันปี และตลอดห้าพันปีมานี้ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น” หนานลัวพูดอย่างอ่อนใจ
ทว่าหนานเหยากลับชี้ไปทีลู่เฉินแล้วกล่าวว่า “ไม่ว่าอันใดจะเกิดขึ้น ลู่เฉินก็คือท่านอาจารย์ของข้า”
เมื่อได้ยินดังนั้น หนานลัวพลันตีสีหน้าเคร่งขรึม “น้องหญิงเก้า ข้าเกรงว่าเจ้าจะถูกผู้อื่นหลอกแล้ว”
“เสด็จพี่แปด ที่ข้ายังมีชีวิตอยู่เป็นอย่างดีในตอนนี้ล้วนเป็นเพราะท่านอาจารย์สอนข้า มิฉะนั้นข้าจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ก็คงเป็นเรื่องที่พูดยากทีเดียว” หนานเหยายังคงยืนหยัดข้างลู่เฉิน
หนานลัวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา “เช่นนั้นข้าจะลองดู”
“ขั้นพลังของท่านสูงมาก ดังนั้นมันยังจะมีอันใดให้ลองกัน!” หนานเหยาไม่อยากให้หนานลัวลงมือ
แต่ผู้ใดจะรู้ว่านางยังไม่ทันจะกล่าวจบ หนานลัวก็พลันปล่อยการโจมตีออกมาแล้ว และเป้าหมายก็คือลู่เฉิน!
ยามแรกหนานลัวคิดว่าลู่เฉินคงจะหวาดกลัว ตกใจ หรือแม้แต่คุกเข่าร้องขอความเมตตา แต่ลู่เฉินกลับไม่เป็นอันใด ทั้งยังส่งยิ้มให้หนานลัวอีกด้วย “เจ้าจะลองอีกนานแค่ไหน?”
ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้หนานลัวตกตะลึง คิ้วของเขากระตุกอย่างไม่อาจควบคุม เห็นได้ชัดว่าแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
หนานเหยาจึงพูดด้วยความโกรธเคือง “เห็นแล้วสินะว่าท่านอาจารย์ของข้าน่ะทรงพลัง!”
ทว่าหนานลัวยังอยากทดสอบอีก ดังนั้นจึงพุ่งทะยานเข้าไป แต่เมื่อเขาปะทะกับลู่เฉิน จู่ ๆ ชายหนุ่มก็หายวับไป ก่อนจะไปปรากฏตัวอยู่บริเวณประตูพร้อมรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า “เจ้าอยากจะจับข้าหรือ?”
ความสามารถของลู่เฉินที่จู่ ๆ ก็หายตัวไปและมาอยู่ที่ประตูเช่นนี้ทำให้หนานลัวตกใจ “เจ้าเป็นใคร?”
เมื่อสบโอกาส หนานเหยาจึงเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “เห็นแล้วสินะว่าท่านอาจารย์ของข้าแข็งแกร่งแค่ไหน!”
ทว่าหนานลัวยังคงจ้องมองลู่เฉินอย่างไม่ลดละ “เจ้าเป็นใครกันแน่?!”
“เขาเป็นท่านอาจารย์ของข้า!” หนานเหยาพูดย้ำ แต่หนานลัวกลับขมวดคิ้ว “ที่เขาเข้าหาเจ้าเพราะมีจุดประสงค์อื่นแน่!”
“ข้าบอกไปแล้วนะเสด็จพี่แปด เหตุใดท่านจึงช่างสงสัยนัก?” หนานเหยารู้สึกหดหู่ใจขึ้นมาเล็กน้อย
“เพราะตอนนี้สถานการณ์ภายในราชวงศ์ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เจ้าคิด”
หนานเหยาไม่รู้ว่ามันหมายถึงอันใด ส่วนลู่เฉิน ตัวเขานั้นรู้ดีว่าหากตนเองไม่พูดอันใด ชายผู้นี้คงไม่ยอมไปแน่
เขาจึงคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ข้าชื่อลู่เฉิน ส่วนเป็นใครนั้น เจ้าก็ไปหาดูที่ตระกูลลู่แห่งเมืองเฟิงเฉิง!”
หนานลัวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งหลังจากได้ยินคำว่าตระกูลลู่แห่งเมืองเฟิงเฉิง “เจ้าเป็นลูกหลานของตระกูลลู่หรือ?”
“ใช่!”
ทว่าหนานลัวยังคงไม่เชื่อ และกำลังคิดเตรียมจะสอบสวนลู่เฉินต่อหลังจากกลับไป “ข้าจะปล่อยให้น้องหญิงเก้าอยู่กับเจ้าไปก่อน แต่หากเจ้ากล้าปฏิบัติกับนางไม่ดี …ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
หลังจากนั้น หนานลัวผู้นี้ก็กลับไป
เมื่ออีกฝ่ายกลับไปแล้ว หนานเหยาก็พลันบ่นออกมาด้วยความไม่พอใจ “เหตุใดพี่แปดจึงกลายเป็นคนเช่นนี้ไปได้นะ!”
“ดูเหมือนว่าพี่ชายของเจ้าจะห่วงใยเจ้ามากทีเดียว” ลู่เฉินมองออกว่าอีกฝ่ายห่วงใยหนานเหยายิ่งนัก ราวกับกลัวว่านางจะถูกทำร้ายอย่างไรอย่างนั้น
หนานเหยาจึงเอ่ยอย่างกลัดกลุ้มว่า “ในราชวงศ์ เขากับข้ามีพ่อแม่คนเดียวกัน และเขายังเป็นคนที่ปกป้องข้าตั้งแต่เด็ก ปกติแล้วพอมีอันใดเกิดขึ้นก็เป็นเขาที่ปกป้องข้า”
ลู่เฉินพยักหน้า “เช่นนั้นเจ้าก็ควรมีความสุข”
“ข้ามีความสุขมาก แต่ช่วงเวลาห้าพันปีที่หายไปนี้ ข้าเกรงว่าคงยากทีเดียวที่จะรื้อฟื้นสัมพันธ์กลับมา”
“อันใด? เพราะเขาแก่แล้ว.. เจ้าเลยรับไม่ได้หรือ?” ลู่เฉินยิ้ม แกล้งพูดหยอกล้อ
ส่วนหนานเหยากลับแสดงท่าทีลังเลออกมา “ไม่ใช่เหตุผลนี้”
“แล้วเหตุใด?”
“ดูเหมือนเขาจะเป็นโรคขี้ระแวงมาก ไม่ใช่คนง่าย ๆ เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป” หนานเหยาไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แต่ลู่เฉินกลับฉีกยิ้ม “นี่เป็นเรื่องปกติ”
“นี่นับว่าเป็นเรื่องปกติหรือ?”
“ในราชวงศ์มีทั้งองค์ชายกับองค์หญิงมากมาย และในบรรดาคนเหล่านี้มีหลายคนที่ต้องการเป็นจักรพรรดิ ทว่าการขึ้นครองตำแหน่งนี้ยากที่จะหลีกเลี่ยงการสู้รบภายใน และแม้กระทั่งอาจลามไปถึงผลกระทบและการสร้างความสัมพันธ์กับกองกำลังอื่น ๆ ด้วย”
“มันต้องขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“ราชวงศ์หนานโยวมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์สามแห่งอยู่เบื้องหลัง และพวกเขาย่อมต้องยืมมือคนเหล่านั้นเพื่อสร้างโอกาสชิงอำนาจ เพียงแค่เจ้าไม่รู้เท่านั้น”
คำพูดของลู่เฉินทำให้หนานเหยากลัดกลุ้มใจ “แม้ว่าข้าจะเคยได้ยินเรื่องนี้ แต่…”
“เอาล่ะ อย่าคิดมาก ตอนนี้เจ้าไม่ได้อยู่ในราชวงศ์แล้ว ข้าเดาว่าคงไม่มีใครโจมตีเจ้าหรอก” หลังจากที่ลู่เฉินพูดจบ เขาก็เอ่ยปลอบหนานเหยาว่าอย่าคิดมาก
หนานเหยาที่ไม่มีทางเลือกอื่นจึงได้แต่ออกจากห้องไปด้วยความกลัดกลุ้ม
ยามนี้เอง ที่หน้าจวนก็ได้มีคนยืนอยู่ และคนคนนี้ก็คือฮั่วถูฝู!
ฮั่วถูฝูมีสีหน้าฉงนสงสัย และกล่าวกับตัวเองเบา ๆ ว่า “ศิษย์ของเขามีที่มาอย่างไรกันแน่ คิดไม่ถึงว่าจะดึงตัวประหลาดเฒ่าของราชวงศ์หนานโยวออกมาได้”
ถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดอธิบายให้ฮั่วถูฝูฟังได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่คาดเดาไปเรื่อย
ส่วนลู่เฉินและคนอื่น ๆ ก็ยังคงรออยู่เงียบ ๆ ภายในลาน
จนกระทั่งสองวันต่อมา พวกเขาก็ออกจากเมืองและตรงไปที่ยอดเขาเต๋าเมฆา
ตลอดทางมีผู้คนจำนวนมาก บางคนก็มาจากสำนักอื่น ขณะที่บางคนก็เพียงมาเพื่อดูชมความบันเทิง ทำให้รอบ ๆ บริเวณนี้คึกคักเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตรงเชิงเขาที่มีคนมารวมตัวกันอย่างเนืองแน่น
ทว่าการปรากฏตัวของลู่เฉินและคนอื่น ๆ ก็ทำให้เกิดการถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนขึ้นมา
“ดูสิ คนจากสำนักเก้าสุขสงบก็มาแล้ว”
“สำนักเก้าสุขสงบ? พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมงานประลองแล้วไม่ใช่หรือ?”
“ว่ากันว่าปีนี้มีมีบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังคนหนึ่ง ปีนี้พวกเขาจึงมาด้วย”
“ถึงมาก็อยู่อันดับสุดท้ายอยู่ดี”
“คาดว่าพวกเขาคงไม่สามารถรอดผ่านรอบประลองแบบคัดออกได้แน่”
เห็นได้ชัดว่ายามนี้ไม่มีใครมองสำนักเก้าสุขสงบในแง่ดี และมีแม้กระทั่งหัวเราะเยาะสำนักเก้าสุขสงบ ซึ่งปิงหลิวหลีนั้นคุ้นเคยกับท่าทีเหล่านี้นานแล้ว ดังนั้นนางจึงทำเพียงเมินและนิ่งเสีย แต่หนานเหยากลับไม่ชิน “คนพวกนี้ปากเสียจริง ๆ”
ส่วนโจวอวี๋ที่อยู่ในฐานะบุตรศักดิ์สิทธิ์กลับสงบนิ่งมาก
แต่ผู้ใดจะรู้ว่ายามนั้นได้มีกลุ่มคนสวมชุดสีแดงเพลิงปรากฏตัวในป่า และเข้าล้อมรอบลู่เฉินกับคนอื่น ๆ เอาไว้ ทำให้ปิงหลิวหลีพลันหน้าเปลี่ยนสี “คนจากพรรคเมฆาเพลิง พวกเจ้าคิดจะทำอันใด?”
เสียงเยาะเย้ยพลันดังมาจากด้านหลังฝูงชน “ท่านเจ้าสำนักปิง หรือว่าท่านลืมไปแล้วว่าท่านติดค้างอันใดกับพรรคเมฆาเพลิงไว้?”
“โอ้ ข้าเป็นหนี้พวกเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน?!” ปิงหลิวหลีถามด้วยความโกรธ
ชายชราคนหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชน ผมของเขามีสีแดงเพลิง และเขายังแผ่ปราณเพลิงอันทรงพลังออกมาอย่างต่อเนื่อง
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังพกถุงสีแดงไว้ที่เข็มขัด ซึ่งดูเหมือนจะบรรจุสิ่งของไว้ไม่น้อย
เมื่อทุกคนเห็นชายชราผู้นี้ พวกเขาก็เริ่มถกเถียงกันขึ้นมา
“เขาคือผู้อาวุโสใหญ่ของพรรคเมฆาเพลิง หัวเหล่าซาน?”
“ใช่ เขาคือปรมจารย์ด้านศาสตราวุธระดับห้าดาว!” เสียงขี้อิจฉาหนึ่งดังขึ้น
“พรรคเมฆาเพลิงมีปัญหากับสำนักเก้าสุขสงบได้อย่างไร?” บางคนรู้สึกงงงวยมากขึ้น ในขณะที่บางคนที่รู้เรื่อง ‘วงใน’ ก็เอ่ยว่า “คงเป็นเรื่องเมื่อร้อยปีก่อน… ที่สำนักเก้าสุขสงบไปซื้อสมบัติวิญญาณจากพรรคเมฆาเพลิงแล้วไม่จ่ายเงินกระมัง!”
“ไม่จ่ายเงิน บ้าหรือ?” มีคนตกตะลึง
ปิงหลิวหลีเห็นทุกคนเข้าใจผิดก็มองหัวเหล่าซานด้วยความโกรธเกรี้ยว “หัวเหล่าซาน ตอนแรกพวกเราให้เงินเจ้าแล้ว!”
“ให้? นั่นแค่หนึ่งในสามส่วนเท่านั้น!” หัวเหล่าซานผู้นี้เห็นว่าข่าวลือได้ผลไม่เลวก็หัวเราะอย่างเย็นชา
“ใช่ หนึ่งในสาม ไม่ผิด แต่สิ่งที่เจ้าให้พวกเราล้วนเป็นของมีตำหนิ ไม่เหมือนกับที่เราสั่งไป” ปิงหลิวหลีโกรธ แต่หัวเหล่าซานกลับหัวเราะเยาะ “จนแล้วไม่มีเงินจ่ายก็บอกมา ยังจะหาข้อแก้ตัวมากมายเพื่ออันใด?”
ศิษย์คนอื่น ๆ ของพรรคเมฆาเพลิงพลันโห่ไล่ไปตาม ๆ กัน
ปิงหลิวหลีตวาดออกมา “เจ้าอย่ามาใส่ร้ายผู้อื่นเช่นนี้นะ!”
หัวเหล่าซานเย้ยหยัน “พรรคเมฆาเพลิงของเราคือพรรคหลอมสร้างศาสตราวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งแดนทักษิณา เจ้าคิดว่าเราจะใส่ร้ายพวกเจ้าไปเพื่ออันใดกัน?”
ปิงหลิวหลีที่ได้ยินก็โกรธจัด จากนั้นก็หยิบศาสตราวุธวิญญาณระดับหนึ่งดาวที่มีตำหนิออกมาสองสามชิ้น “เจ้าดูเองสิ สิ่งเหล่านี้คืออันใด แม้แต่ไอวิญญาณก็ยังไม่มี มันใช้ไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
ครั้นทุกคนมองไป จึงได้พบว่าบนศาสตราวุธเหล่านั้นต่างก็มีสัญลักษณ์ของพรรคเมฆาเพลิงสลักอยู่ มันเป็นลวดลายรูปไฟขนาดเล็กซึ่งเป็นตัวแทนการหลอมสร้างของพรรคเมฆาเพลิง
หัวเหล่าซานกล่าวล้อเลียนว่า “เจ้าไม่รู้วิธีใช้มันเอง จะมาบอกว่าของของพวกเราคุณภาพต่ำได้หรือ?”
ศิษย์พรรคเมฆาเพลิงด้านหลังเองก็พากันส่งเสียงโห่และตะโกนส่งเสริม
“จ่ายเงินมา!”
“สำนักเก้าสุขสงบของพวกเจ้าเป็นผียาจก!”
“ไม่มีเงิน ก็อย่าแม้แต่จะคิดจากไป!”
ยามนั้นทุกคนต่างก็มองว่าสำนักเก้าสุขสงบเป็นสำนักที่ ‘ยากจน’ อย่างยิ่ง
ทว่าปิงหลิวหลีที่โกรธจัดจนหน้าแดงกลับไม่อาจทำอันใดได้ นางจึงได้แต่กล่ำกลืนโทสะลงไป
….จนกระทั่งลู่เฉินก้าวมาข้างหน้า เขามองไปที่ศาสตราวุธวิญญาณเหล่านั้นแล้วเอ่ยว่า “ขยะพวกนี้ สามารถนำมาขายให้กับสำนักเก้าสุขสงบได้ด้วยหรือ?”