ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 16 เพลิงลวงตาจากเคล็ดวิชาอสูรอัคคีเพลิง
บทที่ 16 เพลิงลวงตาจากเคล็ดวิชาอสูรอัคคีเพลิง
“เพราะเมื่อแสนปีที่แล้ว เขาทั้งทรงพลัง และน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!” ใบหน้าของปิงหลิวหลีเต็มไปด้วยความชื่นชม
“ดูจากท่าทีของเจ้าแล้ว คล้ายเจ้าไม่ได้หวาดกลัว แต่ชื่นชมเขา” ลู่เฉินส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่ปิงหลิวหลีจะตอบกลับทันทีว่า “แน่นอน! หากข้าเกิดทันในยุคสมัยนั้น ข้าคงบูชาเขาดั่งเทพเจ้า และกราบฝากตัวเป็นศิษย์ไปแล้ว!”
ลู่เฉินยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เขาพึมพำในใจ ‘หากรู้ว่าข้าคือจอมมารผู้นั้นที่เจ้าคลั่งไคล้ อยากรู้นักว่าเจ้าจะแสดงท่าทีเช่นใด!”
อย่างไรก็ตาม ลู่เฉินไม่มีความตั้งใจที่จะเปิดเผยความจริงข้อนี้ออกไป …อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะจัดการเหล่าชายชุดดำที่คอยแย่งชิงรากวิญญาณของผู้คนในมหาทวีปจิ่วโหยว!
ในขณะนั้นเอง ราชสีห์ขนเพลิงได้เข้าทำร้ายคนของสำนักวิถีอสูรจนบาดเจ็บ กระทั่งหลินเฟิงพลันตะโกนบอกทุกคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสว่า “ถอนตัว!”
กลุ่มคนที่บาดเจ็บได้ถอยจากไปอย่างรวดเร็ว ทว่าก่อนที่หลินเฟิงจะจากไป เขาหันมาพูดกับโจวอวี๋ว่า “ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
“ข้าจะรอ!” โจวอวี๋ยิ้มพลางตอบกลับโดยไม่เกรงกลัว
คำพูดนี้ทำให้หลินเฟิงโกรธจัด ทว่าไม่ได้โต้ตอบ เพียงเร่งพาทุกคนออกไปเท่านั้น
ราชสีห์ขนเพลิงส่งเสียงคำรามก้องกังวาน ทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างหวาดกลัวและพากันหลบซ่อน
ทันใดนั้น ลู่เฉินพลันเดินออกไป!
ปิงหลิวหลีที่เห็นการกระทำดังกล่าวชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่นางจะตะโกนว่า “นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?!”
ผู้ฝึกตนที่อยู่โดยรอบก็ดูตกใจไม่น้อย “ชายผู้นี้กำลังทำอะไร?”
ส่วนหลิวหยุนซานที่กำลังซ่อนตัวอยู่กลางฝูงชน เขาเองก็สงสัย “ศิษย์พี่สือ ไอ้หมอนั่นมันต้องการจะทำอะไรกันแน่?”
สือเซียวกล่าวอย่างเย็นชา “คงอยากตายละมั้ง?”
ครั้นเห็นท่าทีของคนเหล่านั้น โจวอวี๋พลันหัวเราะลั่น และกล่าวเตือนลู่เฉิน “น้องชาย อย่าเข้าไปใกล้ ระวังมันจะกินเจ้าเอานะ!”
“มันไม่กินข้าหรอก” ลู่เฉินกล่าวอย่างใจเย็น
หลังได้ยินเช่นนั้น โจวอวี๋ก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ข้าว่านะ เจ้าต้องเป็นคนโง่แน่ ๆใช่หรือไม่?”
ผู้คนรอบข้างพากันกระซิบว่า “เจ้าหนุ่มคนนี้คิดหรือว่า เพียงแค่การเลียนเสียงสัตว์อสูร จะทำให้สัตว์อสูรระดับเก้าดาวตกใจกลัวจนหนีไป?!”
“เขาคงจะคิดเช่นนั้นแน่!”
สำหรับการเลียนเสียงสัตว์อสูร ทุกคนย่อมเคยเห็นมันมาแล้ว ผนวกกับท่าทีไร้ความกลัวของลู่เฉินในขณะนี้ พวกเขาจึงคิดว่าชายหนุ่มคงจะต้องการใช้ ‘การเลียนเสียง’ นั่นอีกเป็นแน่!
โจวอวี๋ซึ่งอยู่ในกลุ่มผู้ชมยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ “น้องชาย เจ้ากำลังวางแผนที่จะแสดงอันใดกันแน่?”
“มันไม่ใช่การแสดง แต่ข้าสามารถทำให้มันอ่อนแอลงได้จริง ๆ!”
“อ่อนแอลง?” คนอื่น ๆ ไม่รู้ว่าลู่เฉินหมายถึงอะไร และก็เป็นโจวอวี๋ที่ยิ้มและถามกลับไปว่า “อ่อนแอลง? นี่เจ้ากำลังล้อเล่นกับข้าหรือไร?”
ในเวลานี้ ทุกคนต่างเห็นว่ามือของลู่เฉินสั่นเล็กน้อย และในแง่ของความแข็งแกร่ง ก็นับว่าชายหนุ่มผู้นี้ยังอ่อนแอกว่าโจวอวี๋มาก!
“เมื่อไร้ซึ่งรากวิญญาณ ย่อมไร้ประโยชน์ที่จะใช้เคล็ดวิชาอสูรอัคคีเพลิง!” ลู่เฉินลอบถอนหายใจเบา ๆ
แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อลู่เฉินประกบฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าหากัน เปลวไฟก็พลันพุ่งออกไป ก่อนจะกระทบเข้ากับร่างของราชสีห์ขนเพลิงที่กำลังบ้าคลั่งอยู่
ทันใดนั้น… ราชสีห์ขนเพลิงที่ดุร้ายพลันอ่อนกำลังลงอย่างเห็นได้ชัด!
“มันอ่อนแอลง!” หลายคนถึงกับอุทานด้วยความตกใจ
ดวงตาของปิงหลิวหลีเบิกกว้าง นางไม่เข้าใจอันใดเลยสักนิด “นี่มันความสามารถอะไรกัน?”
ใบหน้าของโจวอวี๋พลันบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด ก่อนจะพึมพำออกมาว่า “เขารู้วิธีการใช้ไฟลวงตาของเคล็ดวิชาอสูรอัคคีเพลิงได้อย่างไร?!”
เคล็ดวิชาอสูรอัคคีเพลิงสามารถแบ่งได้เป็นสองประเภท หนึ่งคือ ‘เพลิงแท้’ และสองคือ ‘เพลิงลวงตา’ !
‘เพลิงแท้’ จะทำให้สัตว์อสูรธาตุไฟทรงพลังขึ้น ในขณะที่ ‘เพลิงลวงตา’ จะทำให้สัตว์อสูรธาตุไฟอ่อนแอลง
ทว่านี่เป็นเคล็ดวิชาของบรรพบุรุษเขานะ! และใช่ว่าคนในตระกูลจะรู้จัก ‘เพลิงลวงตา’ เสียทุกคนด้วยซ้ำ ทว่าลู่เฉิน… ชายหนุ่มผู้นี้กลับสามารถใช้มันได้!
สิ่งนี้ทำให้โจวอวี๋จ้องไปยังลู่เฉินด้วยสายตาอันยากที่จะคาดเดาได้
เมื่อราชสีห์ขนเพลิงพบว่าตัวมันอ่อนกำลังลง จึงเกิดอาการตื่นกลัว และตั้งท่าจะหลบหนีไป ลู่เฉินที่เห็นดังนั้นจึงตะโกนบอกปิงหลิวหลีที่กำลังมึนงงว่า “เจ้ามัวยืนงงอันใด รีบฆ่ามันเร็วเข้า!”
ปิงหลิวหลีฟื้นคืนสติทันใด จากนั้นนางก็ใช้เคล็ดวิชากระบี่เก้าสุขสงบส่งเงากระบี่ออกไป
ปราณกระบี่เข้าพัวพันอยู่รอบ ๆ สัตว์อสูรเพลิงตนนั้น ทว่าเจ้าสำนักสาวก็ทำได้เพียงเท่านี้ เพราะอาการบาดเจ็บของนางยังไม่หายดี
ปิงหลิวหลีที่รู้ถึงสภาพของตนเองดีจึงหันไปเอ่ยกับลู่เฉินอย่างหดหู่ “เจ้าช่วยใช้อักขระยันต์นั่นกับข้าอีกทีได้หรือไม่?”
ลู่เฉินพลันส่ายหน้าอย่างระอา “เจ้านี่นะ!”
ปิงหลิวหลีคุ้นชินกับท่าทีนี้แล้ว นางจึงทำได้เพียงหดหู่ใจ จากนั้นลู่เฉินก็เดินเข้าไปใกล้ และประทับฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของนาง พลางเอ่ยว่า “เอาล่ะ ครั้งนี้ข้าจะทำให้มันใช้งานได้ยาวนานขึ้นก็แล้วกัน!”
ปิงหลิวหลีไม่รู้ว่าลู่เฉินกำลังหมายถึงสิ่งใด แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่ฟื้นคืนกลับมา นางไม่รอช้า เร่งส่งปราณกระบี่เข้าปะทะกับราชสีห์ขนเพลิง!
สำหรับราชสีห์ขนเพลิงที่อ่อนแอลง พลังของมันในขณะนี้ต่ำกว่าสัตว์อสูรระดับเจ็ดดาวเสียอีก มันจึงได้แต่แผดเสียงคำรามออกมาอย่างขัดใจ
โจวอวี๋ที่เห็นภาพทั้งหมดนี้ไม่อาจข่มความสงสัยเอาไว้ได้ เขาเดินเข้าไปหาลู่เฉินแล้วถามขึ้นว่า “นี่เจ้าเป็นใครกันแน่?!”
“ลู่เฉิน” ลู่เฉินตอบพลางฉีกยิ้ม
เมื่อโจวอวี๋ได้ยินคำตอบ ก็ขมวดคิ้วแน่น “อย่ามาล้อเล่นกับข้า!”
”คำตอบข้ามันตลกงั้นหรือ?”
“ใช่ ใครบ้างจะไม่รู้ว่านามลู่เฉินนั้นเป็นเซียนอันดับหนึ่งแห่งมหาทวีปจิ่วโหยวเมื่อแสนปีที่แล้ว!” โจวอวี๋กลอกตา ในขณะที่ผู้คนรอบข้างพากันหัวเราะ
และยังมีใครบางคนพูดออกมาว่า “เขาชื่อลู่เฉินจริง ๆ แต่ ‘ลู่’ นั้นมาจากตระกูลลู่”
“ใช่ แล้วเขาก็เพิ่งถูกขับออกจากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ด้วย!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โจวอวี๋ก็กวาดสายตามองลู่เฉิน ก่อนจะถามด้วยความสงสัย “แค่บังเอิญชื่อเดียวกันหรือ?”
ลู่เฉินเพียงยิ้มและไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เขากำลังจะเดินไปหาราชสีห์ขนเพลิง แต่โจวอวี๋กลับใช้หอกยาวในมือหยุดเขาเอาไว้ “เจ้าต้องตอบคำถามข้ามาก่อน”
“ตอบคำถามใด?” ลู่เฉินคล้ายจะคาดเดาได้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการจะถามสิ่งใด
“เหตุใดเจ้าจึงรู้เคล็ดวิชาอสูรอัคคีเพลิง!”
ทุกคนต่างเบิกตากว้าง และแม้แต่ปิงหลิวหลีเองก็ตกตะลึงเช่นกัน “เขารู้จักวิชาอสูรอัคคีงั้นหรือ?”
โจวอวี๋เริ่มมีท่าทีจริงจัง “ใช่… เขารู้!”
ปิงหลิวหลีหันมองลู่เฉินด้วยสายตาแปลกประหลาด นางพึมพำกับตัวเองว่า “เขามีความสามารถแปลก ๆ มากมายขนาดนี้ได้อย่างไร?!”
“หากเจ้าเข้าร่วมสำนักเก้าสุขสงบและกลายเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของสำนัก เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะบอกเจ้าเอง!”
คำพูดของลู่เฉินทำให้เกิดการถกเถียงกันขึ้นมา แต่ส่วนใหญ่นั้นเป็นไปในทางล้อเลียน
“ผู้ชายคนนี้คิดว่าคนอื่นโง่หรือไร?”
“ใช่แล้ว เขาปฏิเสธสำนักใหญ่ทั้งหลายโดยไม่แม้แต่จะคิด แล้วเหตุใดเขาจะต้องเข้าร่วมกับสำนักเก้าสุขสงบที่กำลังตกต่ำด้วย?”
“นี่มันเรื่องตลกชัด ๆ!”
โจวอวี๋ยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะกล่าวว่า “น้องชาย สิ่งที่ข้าไม่ชอบที่สุดคือการเข้าร่วมสำนักเซียน ดังนั้นข้าย่อมไม่สนใจอยากเข้าร่วมสำนักเก้าสุขสงบ!”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่บอกเจ้า” ลู่เฉินยิ้มให้อีกฝ่าย ขณะที่โจวอวี๋เองก็ยิ้มประหลาดออกมา “แล้วเจ้าคิดว่าเจ้ามีโอกาสต่อต้านงั้นหรือ?”
หลังจากเอ่ยจบ โจวอวี๋ก็พลันหยิบหอกของเขาออกมา
ปิงหลิวหลีร้องด้วยความตกใจ “ระวัง!”
เมื่อสบโอกาส สือเซียวก็กระโจนออกไป แล้วหันไปกล่าวกับโจวอวี๋ด้วยรอยยิ้ม “คุณชายโจว หากท่านกำจัดเขา ข้าจะให้ศิลาวิญญาณระดับต่ำจำนวนแสนก้อน!”
ผู้คนต่างคาดไม่ถึงว่าสือเซียวจะใช้โอกาสนี้ล่อเหยื่อให้ตกหลุมพราง
ไม่เพียงแต่สือเซียวเท่านั้น แม้แต่หลิวหยุนซานก็ออกมาร่วมด้วย “ข้าเองก็จะให้แสนก้อนเช่นกัน!”
ทุกคนต่างถอนหายใจ
ขณะที่ทางด้านปิงหลิวหลีนั้น นางต้องต่อสู้พัวพันอยู่กับราชสีห์ขนเพลิง จึงไม่สามารถลงมือกับสองคนนั้นได้
แต่ใครจะรู้ว่าโจวอวี๋กลับจ้องมองคนทั้งสองด้วยสายตาดูถูก “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร?”
ท่าทีดังกล่าวทำให้ทุกคนสับสน ส่วนสือเซียวคิดว่าเงินอาจไม่เพียงพอ จึงเอ่ยว่า “ข้ามาจากตระกูลสือ และหากเจ้าเต็มใจที่จะช่วยข้าเรื่องนี้ ในอนาคตเจ้าจะได้เป็นแขกผู้มีเกียรติของตระกูลสือ”
“แม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม ข้ายังบอกปัด แล้วเจ้าคิดว่าตระกูลสือของเจ้ามีตัวตนอันใด?” คำพูดคำจาของโจวอวี๋ทำให้ลู่เฉินนึกชื่นชมไม่น้อย
ทว่าใบหน้าของสือเซียวพลันบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด เขาก่นด่าสาปแช่งโจวอวี๋อยู่ในใจ ‘ไอ้บัดซบนี่! เหตุใดจึงทำเป็นเล่นตัวนัก!’
“ถ้าเจ้าไม่อยากตาย ก็จงไสหัวไปเสีย!” โจวอวี๋ตะโกนลั่น และชี้หอกไปหาคนทั้งสอง
การกระทำนี้ทำให้สือเซียวตกใจอย่างมาก เขาเร่งถอยหนีไปพร้อมกับหลิวหยุนซาน ขณะที่ผู้คนโดยรอบพากันหัวเราะ และสิ่งนี้ทำให้สีหน้าของทั้งคู่ดูย่ำแย่ยิ่งนัก
หลังจากนั้น โจวอวี๋ก็หันไปหาลู่เฉิน ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นอย่างไรเล่า เจ้าได้พิจารณาข้อเสนอของข้าอีกครั้งแล้วหรือยัง?”