ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 155 ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ ใช้เช่นไรย่อมได้ ไร้ขีดจำกัด!
บทที่ 155 ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ ใช้เช่นไรย่อมได้ ไร้ขีดจำกัด!
“คุ้มครองชายหนุ่มผู้นั้นอย่างเงียบ ๆ และเมื่อถึงยามจำเป็น แม้ตัวตายก็ต้องปกป้องเขา!” ฮั่วหมอเทียนสั่งการต่อฮั่วถูฝู
เมื่อได้ยินดังนั้น ฮั่วถูฝูพลันตกตะลึงจนปากอ้าค้าง “บรรพชน… นี่”
“เช่นไร? มีปัญหาหรือ?”
“ไม่ ไม่ใช่!”
“ไปเถิด อย่าให้เขารู้ว่าเจ้าแอบติดตามไป”
“เหตุใดจึงไม่สามารถให้เขาล่วงรู้ได้?”
“เขาไม่ชอบให้ผู้ใดมาดูแลคุ้มครอง”
“คุ้มครองเขาเช่นนี้ไม่ดีหรือ?”
“เขาเป็นคนเช่นนี้เอง ชอบคุ้มครองผู้อื่น ทว่ากลับไม่ชอบให้ผู้อื่นมาดูแล” เมื่อฮั่วหมอเทียนพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ทำให้ฮั่วถูฝูรู้สึกแปลกใจ นึกสงสัยว่าลู่เฉินผู้นี้แท้จริงแล้วมีความสัมพันธ์เช่นใดกับฮั่วหมอเทียน?
แต่เมื่อฮั่วหมอเทียนสั่งการแล้ว เขาจึงไม่กล้าถามอะไรมากนัก ทำได้เพียงแค่ขานรับ “ท่านวางใจเถิด ข้าจะไม่ให้เขารู้ตัวเป็นแน่ และจะคุ้มครองเขาอย่างดี”
“ไปเถิด ถ้าไม่ถึงทางตันจริง ๆ เจ้าก็อย่าลงมือเด็ดขาด เขาไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น!” สิ้นคำพูดของฮั่วหมอเทียน ฮั่วถูฝูก็ขานรับเบา ๆ ก่อนจะเดินออกจากที่นี่ไปอย่างเงียบ ๆ
…
อีกด้านหนึ่ง ลู่เฉินและคนอื่น ๆ ได้เดินออกมาจากภูเขาแห่งนี้แล้ว ทำให้ถูกคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาถามไถ่ความเป็นไป แต่ลู่เฉินปฏิเสธที่จะตอบกลับ และรีบออกจากที่นี่พร้อมคนอื่น ๆ ทันที
จนกระทั่งฝ่ากลุ่มคนพวกนั้นออกมาได้แล้ว โจวอวี๋ก็พลันพูดอย่างตื่นเต้นทันทีว่า “ผู้อาวุโส ท่านบอกว่าได้สมบัติวิญญาณมา นั่นเป็นความจริงหรือ?”
ลู่เฉินพยักหน้ารับ จากนั้นจึงนำเสื้อเกราะ รองเท้า และไข่มุกที่มีสีแดงเพลิงออกมา
“ข้าให้ทั้งสามชิ้นนี้” ลู่เฉินนำของทั้งสามชิ้นมอบให้แก่โจวอวี๋
โจวอวี๋มองของทั้งสาม พบกว่าของพวกนี้ไม่มีการเคลื่อนไหวของพลังปราณใด ๆ สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความสงสัย “ผู้อาวุโส ทั้งสามชิ้นนี้ เป็นสมบัติล้ำค่าจริงหรือ?”
คนอื่น ๆ เองก็ต่างแปลกใจ
แต่ใครจะคาดคิดว่าลู่เฉินจะเอ่ยออกมาเช่นนี้ “ทั้งสามล้วนเป็นศาสตราศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่าเจ็ดดาว!”
“อะไรนะ?” ทุกคนต่างเบิกตากว้าง
“สิ่งนี้เรียกว่าเกราะเพลิงสวรรค์ เมื่อรวมกับพลังปราณไฟของเจ้าแล้ว สามารถทำให้เจ้าเพิ่มพลังของม่านป้องกันอย่างน้อยยี่สิบเท่า”
“เพลิง… เกราะเพลิงสวรรค์!” โจวอวี๋เอ่ยอย่างติดขัด
ขณะนั้น ปิงหลิวหลีที่ได้ฟังพลันเบิกตากว้าง “นี่คือเกราะในตำนานที่เล่าลือกัน ว่ากันว่าเป็นศาสตราศักดิ์สิทธิ์ธาตุเพลิงแข็งแกร่งชิ้นหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อห้าหมื่นปีก่อน แต่ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นมาก่อน”
คนอื่น ๆ ต่างพากันสับสนขึ้นมาหลังได้ยินเช่นนั้น แต่ลู่เฉินไม่ได้สนใจท่าทางตกตะลึงของคนพวกนั้นมากนัก กลับชี้ไปยังไข่มุกสีแดงเพลิง “ลูกกลมเพลิงลูกนี้ จะช่วยเพิ่มความเร็วในการฟื้นฟูปราณห้าสิบเท่า”
“อันใดนะ?” โจวอวี๋ตกตะลึง
คนอื่น ๆ เองก็สับสน แต่นี่ยังคงไม่จบ ลู่เฉินยังชี้ไปยังรองเท้าคู่นั้น “สิ่งนี้เรียกว่ารองเท้าเพลิง ทำให้ความเร็วในการเคลื่อนไหวเร็วขึ้นถึงยี่สิบเท่า และเมื่อเหาะเหินจะสามารถเพิ่มความเร็วได้ถึงยี่สิบเท่าหรือมากกว่า”
โจวอวี๋มือสั่นขึ้นมา
“ลองดูเถิด!” ลู่เฉินให้โจวอวี๋ได้ลองสวมใส่ โดยระหว่างนั้น ปิงหลิวหลีที่อยู่ในอาการตกตะลึงพลันได้สติกลับมา “ศาสตราศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ เขาไม่เคยขัดเกลามาก่อน แล้วจะใช้ได้หรือ?”
ปัญหานี้ทุกคนต่างก็อยากรู้
“วางใจเถิด ข้าทำการสื่อสารกับกับศาสตร์วุธวิญญาณของสมบัติวิญญาณพวกนี้แล้ว พวกเขาจะช่วยเหลือโจวอวี๋”
“ศาสตราวุธวิญญาณ… สื่อสาร…?” ทุกคนต่างมองหน้ากัน
คนพวกนี้ไม่รู้ว่าลู่เฉินนั้นมีทักษะที่ทำให้สามารถสื่อสารกับศาสตราวุธวิญญาณได้ และภายใต้ความยิ่งใหญ่ของลู่เฉิน ศาสตราวุธวิญญาณพวกนั้นต่างก็ไม่กล้าทำผิดต่อเขา พวกมันทำได้เพียงเชื่อฟังโจวอวี๋เท่านั้น
ดังนั้นเมื่อโจวอวี๋ใช้งานสามสิ่งนี้ การควบคุมหรือใช้งานจึงไม่ได้ยากลำบากแต่อย่างใด
ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งสามสิ่งนี้ยามที่ไม่ใช้มัน ก็ยังสามารถเก็บซ่อนไว้ภายในร่างกายได้อีกด้วย
นี่จึงทำให้ทุกคนตกตะลึง
ส่วนลู่เฉิน เขาก็ได้หยิบถุงมือสีดำคู่หนึ่งมอบให้แก่หลี่ว์ซือ “มอบให้เจ้า ถุงมือคู่นี้ไม่จำเป็นต้องมีพลังปราณก็สามารถใช้ได้ เป็นศาสตราวุธศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่าห้าดาว เรียกว่าถุงมือสุญญะกาฬ”
“ถุงมือสุญญะกาฬ?” หลี่ว์ซือประหลาดใจ
ลู่เฉินพยักหน้า “ถุงมือคู่นี้ สามารถทำให้พลังหมัดของเจ้าเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสิบเท่า!”
หลี่ว์ซือตกตะลึง สีหน้าภายใต้หน้ากากสีเงินดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าลู่เฉินไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เขาบอกให้หลี่ว์ซือไปทดลองด้วยตนเอง
หลี่ว์ซือจึงรีบนำไปทดสอบทันที
จังหวะนั้น หนานเหยาพลันกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น “ท่านอาจารย์ เช่นนั้น เช่นนั้นข้าล่ะ?”
เจี่ยลัวและปิงหลิวหลีมองไปยังลู่เฉิน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ต้องการสมบัติวิญญาณเช่นกัน
เพราะยังไงเสีย… การสามารถครอบครองสมบัติวิญญาณโดยที่ไม่จำเป็นต้องขัดเกลานั้นก็ฟังดูน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!
ลู่เฉินมองไปยังทั้งสามคน ก่อนจะหยิบสิ่งของอีกสามชิ้นออกมา
เช่น กระบี่สีฟ้าของปิงหลิวหลี “กระบี่นี้ เรียกว่ากระบี่เยือกแข็ง สามารถทำให้วิชากระบี่ของเจ้าที่ใช้ออกนั้นแฝงไว้ด้วยไอเย็นได้!”
“ขอบคุณท่าน!” ปิงหลิวหลีรับกระบี่ไปแล้วตรวจสอบมันด้วยความดีใจ
จากนั้น ลู่เฉินจึงมอบไข่มุกสีดำเม็ดหนึ่งให้แก่หนานเหยา “สิ่งนี้เรียกว่าไข่มุกภูต หากพกติดตัวไว้จะง่ายต่อการดูดซับพลังปราณ และแปลงมันเป็นไอภูตผีได้ มันน่าจะช่วยเรื่องการบ่มเพาะของเจ้าไม่น้อย”
“ดีเช่นนี้เลยหรือ?” หนานเหยากล่าวอย่างดีใจ
เพราะผู้ฝึกวิถีภูตผีนั้น สิ่งที่ต้องห้ามที่สุดคือห้ามขาดไอภูตผี ดังนั้นผู้ฝึกวิถีภูตผีทั่วไปมักจะหาสิ่งพิเศษเพื่อมาช่วยรับไอภูตผี หรือไม่พวกเขาก็จำต้องอยู่ในสถานที่ที่มีไอภูตผีหนาแน่น หรือฆ่าคนเพื่อรับไอภูตผี
แต่ตอนนี้เมื่อมีสิ่งนี้ หนานเหยาก็สามารถฝึกฝนแบบคนทั่วไปได้แล้ว
เมื่อหนานเหยาหยิบไปแล้ว นางก็หวงแหนมันเสียจนไม่สามารถวางลงได้ และยังทำการดูดซับพลังปราณรอบ ๆ อย่างบ้าคลั่งอีกด้วย
สำหรับเจี่ยลัวนั้น ลู่เฉินเพียงยิ้ม “เจ้ามีกระบี่ไม้ผี มันดีอยู่แล้ว แต่ข้ายังต้องมอบของอีกสิ่งหนึ่งให้เจ้า เพื่อให้เจ้าสามารถรับไอซากศพได้ตลอดเวลา”
เจี่ยลัวพยักหน้า ก่อนที่ลู่เฉินจะนำท่อนไม้สีดำท่อนหนึ่งออกมา “ไม้ซากศพสีดำนี้ เพียงเจ้าพกติดตัวก็จะสามารถรับไอซากศพได้ตลอดเวลาแล้ว!”
เจี่ยลัวพยักหน้าด้วยความดีใจ
ลู่เฉินยิ้ม “ทุกท่าน พอใจกันหรือไม่?”
ทว่าทุกคนกับทำตัวราว ‘เด็กน้อย’ ที่กำลัง ‘เล่นของเล่น’ เล่นเช่นไรก็ยังไม่เพียงพอ ลู่เฉินจึงกล่าวออกมาว่า “ไปเถิด ยังต้องเดินทางไปยังลานเต๋าเมฆาอีก!”
ทุกคนขานรับทันทีและติดตามไป ซึ่งหลังจากที่โจวอวี๋มีสมบัติวิญญาณติดตัวเช่นนี้แล้ว มันก็ทำให้ปิงหลิวหลีมั่นใจมากขึ้นว่างานประลองสิบสำนักครานี้ สำนักเก้าสุขสงบจะสามารถติดหนึ่งในสิบสำนักที่แข็งแกร่งได้แน่นอน!
ส่วนมุมมองต่อลู่เฉินในสายตาของปิงหลิวหลีนั้น ชายหนุ่มผู้นี้ก็ยิ่งดูลึกลับมากขึ้นไปอีก ทว่าเพราะลู่เฉินไม่คิดเปิดเผยเบื้องหลังของตน นางจึงไม่เอ่ยถามใด ๆ และทำเพียงเดินนำทางไปยังลานเต๋าเมฆาอย่างเงียบ ๆ
จากนั้น เมื่อคนเหล่านี้เดินออกมาไกลแล้ว ฮั่วถูฝูก็ปรากฏตัวออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “ศาสตราวุธศักดิ์สิทธิ์ ไม่ผ่านการขัดเกลาก็สามารถใช้ได้หรือ?”
สำหรับปรมาจารย์หลอมอาวุธเช่นเขา ฮั่วถูฝูย่อมรู้ดีว่าการขัดเกลาสมบัติวิญญาณไม่ใช่เรื่องง่าย หากเป็นผู้ฝึกตนในขั้นหลอมแก่นแท้ อย่างน้อยก็จำต้องใช้เวลาหนึ่งพันปีขึ้นไป แต่เมื่อครู่คนเหล่านี้เพียงแค่พกติดตัวก็สามารถใช้งานได้แล้ว!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮั่วถูฝูก็รู้สึกได้ว่าลู่เฉินผู้นี้ไม่ธรรมดายิ่ง! จนถึงขั้นพร่ำบ่นออกมาว่า “คนหนุ่มผู้นี้ ช่างประหลาดเสียจริง!
เพียงครู่เดียวหลังจากนั้น ฮั่วถูฝูก็หายไป เขาตัดสินใจติดตามลู่เฉินไปอย่างเงียบ ๆ และถือโอกาสคุ้มครอง
…
หนึ่งวันต่อมา ลู่เฉินและคนอื่น ๆ มาถึงยังเมืองชั้นสามที่อยู่ติดกับลานเต๋าเมฆา นามว่าเมืองเต๋าเมฆา
เมืองเต๋าเมฆาดูคึกคักมาก เพราะมีผู้คนมากมายจากหลายสำนักมาที่นี่ รวมทั้งกลุ่มคนที่มาดูเรื่องสนุก ดังนั้นทุกตรอกซอกซอยบนถนนนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยเรื่องงานประลองสิบสำนัก ว่าสำนักใดจะเป็นผู้ชนะในครานี้!