ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 15 พรานป่าปรากฏตัว
บทที่ 15 พรานป่าปรากฏตัว
สำนักวิถีอสูร คือสำนักเซียนที่ขึ้นชื่อลือชาด้านการบงการสัตว์อสูร
ในแง่ของการจัดอันดับความแข็งแกร่ง สำนักวิถีอสูรนับว่าแข็งแกร่งกว่าสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์เล็กน้อย แต่เพราะตำแหน่งที่ตั้งซึ่งไกลกัน จึงเป็นเรื่องยากที่จะเห็นคนของสำนักวิถีอสูรที่นี่
ขณะแนะนำให้ลู่เฉินรู้จักกับสำนักแห่งนี้ ปิงหลิวหลีก็พลันสงสัย “พวกเขามาทำอันใดที่นี่กัน?”
ทว่าลู่เฉินไม่สนใจว่าจุดหมายของคนพวกนั้นคืออะไร เพราะสิ่งสำคัญที่สุดขณะนี้คือการจัดการกับราชสีห์ขนเพลิง! ดังนั้นลู่เฉินจึงได้แต่เร่งฝีเท้าของเขา
และปิงหลิวหลีก็ตามมาอย่างรวดเร็ว
—-
บริเวณเชิงเขาใกล้ ๆ กันนั้น
ใบหน้าของสือเซียวดูซีดเซียวและยังมีบาดแผลบริเวณลำคอ ทำให้เลือดไหลออกมาเป็นจำนวนมาก
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิวหยุนซานก็ตกตะลึง “ศิษย์พี่… ศิษย์พี่สือ ท่าน…”
“ไอ้สารเลวนั่น…” สือเซียวโมโหยิ่งนัก เขาโกรธเสียจนอยากจะฉีกลู่เฉินเป็นชิ้น ๆ
หลิวหยุนซานเองก็อารมณ์เสียไม่แพ้กัน “เขาไม่มีรากวิญญาณแท้ ๆ เหตุใดพวกเราจึงจัดการไม่ได้เสียที?”
“ต้องแยกนังตัวดีนั่นออกมาก่อน! เพียงเท่านี้ ลู่เฉินก็ไม่คณามือข้าแล้ว!” สือเซียวกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มือก็หยิบผงยาออกมาเพื่อหยุดเลือดที่กำลังไหล
”แต่ว่าพวกเราพยายามกันทุกทางแล้ว ทว่ามันกลับไม่ได้ผลแม้แต่น้อย!” หลิวหยุนซานดูหมดหนทาง
“มันต้องมีสักทางสิ!” หลังจากที่เลือดหยุดไหล สือเซียวก็กัดฟันข่มความเจ็บปวด ก่อนจะเดินนำหลิวหยุนซานไปไล่ล่าทั้งสองคนต่อ
—-
เหนือเนินเขาขึ้นไป มีป่าไม้และผู้ฝึกตนหลายคนรวมตัวกันอยู่
เดิมทีผู้ฝึกตนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนมองหาสุสานโบราณ
แต่ใครจะรู้ว่าพวกเขากลับบังเอิญพบเจอกลุ่มคนจากสำนักวิถีอสูร ซึ่งกำลังเข้าล้อมราชสีห์ขนเพลิงอยู่!
แท้ที่จริงแล้วลักษณะของราชสีห์ขนเพลิงนั้นดูคล้ายกับสิงโต เพียงแต่ทั้งตัวของมันคือเปลวไฟ และดวงตาของมันเป็นสีแดงก่ำ!
เมื่อผู้คนจากสำนักวิถีอสูรหยิบธงสีดำที่ดูแปลกตาโบกสะบัดไปมา ม่านพลังสีดำโปร่งแสงพลันปรากฏเข้าล้อมรอบสัตว์อสูรขนเพลิง และแม้ว่าราชสีห์ขนเพลิงจะพยายามโจมตีฝ่าออกมาแล้วก็ตาม ทว่าตัวมันก็ยังคงถูกล้อมไว้อยู่ดี!
อาจกล่าวได้ว่าราชสีห์ขนเพลิงไม่อาจหนีไปได้ไหนแล้ว!
บรรดาคนจากสำนักวิถีอสูรต่างแสดงท่าทีพึงพอใจออกมา
ขณะนั้นเอง ชายวัยกลางคนซึ่งถือธงดำที่ใหญ่กว่าผู้อื่นเล็กน้อยพลันออกคำสั่ง “ทุกคน ต้านไว้ก่อน ขอแค่เพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น!”
“รับทราบ ศิษย์พี่หลิน!” ศิษย์สำนักวิถีอสูรขานรับพร้อมกัน
ส่วนผู้ฝึกตนที่มองเหตุการณ์นี้อยู่ต่างหันไปพูดคุยกันอย่างออกรส
“คนของสำนักวิถีอสูรนี่เก่งกาจจริง ๆ!”
“ใช่ พวกเขาชำนาญเรื่องการจัดการกับสัตว์อสูรยิ่งนัก!”
ปิงหลิวหลีที่เข้ามาเห็นสถานการณ์นี้ก็ดูไม่ค่อยพอใจนัก “รอเดี๋ยว ให้พวกเขาสยบราชสีห์ขนเพลิงเสร็จเสียก่อน!”
ลู่เฉินที่ร้อนใจ อยากได้กระดูกของราชสีห์ขนเพลิงนั้นไม่ฟังคำพูดของนาง เขากำลังจะก้าวเข้าไป ทว่าจู่ ๆ พลันมีเสียงหัวเราะออกมาจากต้นไม้ในบริเวณนั้น “โอ้! ที่แห่งนี้มีผู้คนมากมายเหลือเกิน!”
เสียงนี้ดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกตนโดยรอบ พวกเขาต่างพากันมองไปยังที่มาของเสียง…
จึงได้เห็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปี สวมเสื้อคลุมลายเสือดาว ทว่ากลับเผยแขนเปลือยเปล่า เขากำหอกเหล็กสีดำไว้ในมือ เส้นผมที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อยนั้นดูคล้ายกับพวกคนเถื่อน
“นั่นมันพรานป่าโจวอวี๋!” ทุกคนต่างตกใจทันทีที่เห็นคนผู้นั้น
“อะไรนะ! …เขาคือโจวอวี๋งั้นหรือ?”
“ใช่! อันดับหนึ่งในรายนามพรานป่าแห่งแดนทักษิณา… โจวอวี๋!”
ปิงหลิวหลีเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน “เหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่…”
“เจ้ารู้จักงั้นรึ?” ลู่เฉินถาม ขณะที่ปิงหลิวหลีส่ายหัวและกล่าวว่า “ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว ทว่าเขาเป็นพรานป่าที่มีชื่อเสียงไม่น้อย ด้วยเคยเข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์ของแดนทักษิณา และถือครองอันดับหนึ่งของงานอยู่หลายครั้ง!”
“โอ้ การแข่งขันล่าสัตว์?”
“ใช่ มันคืองานที่จัดขึ้นโดยกลุ่มพันธมิตรล่าสัตว์แห่งแดนทักษิณา!”
ลู่เฉินไม่เคยคิดว่าจะมีกลุ่มล่าสัตว์อะไรเช่นนี้เกิดขึ้นหลังจากผ่านมาแสนปี แต่เมื่อชายหนุ่มมองไปยัง ‘พรานป่า’ ผู้นั้น เขาก็พบสิ่งที่น่าสนใจยิ่ง
เพราะอีกฝ่ายมีรากวิญญาณคู่!
สิ่งนี้นับว่ายากนักที่จะพบเห็น!
ไม่เพียงเท่านั้น รากวิญญาณคู่นี้ยังไม่ธรรมดา เพราะรากหนึ่งคือรากวิญญาณธาตุไฟเจ็ดดาว ขณะที่อีกรากคือรากวิญญาณธาตุไฟแปดดาว โดยรากหนึ่งอยู่ในแขนขวา ขณะที่อีกรากอยู่ในแขนซ้าย
อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายได้ใช้วิธีพิเศษในการซ่อนรากวิญญาณเอาไว้ เพื่อให้คนทั่วไปไม่อาจรับรู้ถึงมันได้ ทว่าวิธีการเช่นนี้จะซ่อนมันจากลู่เฉินได้อย่างไร? เพราะเขาคนนี้อยู่มานานนมถึงเก้าชาติเชียวนะ!
ลู่เฉินจึงหัวเราะออกมาทันที “ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้บุตรศักดิ์สิทธิ์ของสำนักเก้าสุขสงบคนใหม่แล้ว!”
”หมายความว่าอย่างไร?”
“ก็ให้เขาเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ของเจ้าอย่างไรเล่า!” ลู่เฉินกล่าว ทว่าปิงหลิวหลีกลับกลอกตา “หากชายคนนี้ต้องการจะเข้าร่วมสำนักใด เขาก็คงจะเข้าสำนักที่แข็งแกร่งกว่าสำนักของข้าไปแล้ว!”
“หือ? เขาไม่อยากเข้าร่วมสำนักใดเลยงั้นหรือ?”
“ว่ากันว่าแม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามยังเคยชักชวนเขา หากแต่ก็โดนบอกปัดไป ตอนนี้เขาจึงเป็นเพียงผู้ฝึกตนอิสระ ที่มักออกล่าสัตว์อสูรหายากทรงพลังด้วยตัวคนเดียว!” ปิงหลิวหลีอธิบาย
ลู่เฉินที่ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า “ดีเลย! เมื่อปราศจากข้อจำกัดใด เช่นนั้นก็จงไปชักชวนเขา และเมื่อได้ตัวเขามาเป็นศิษย์ เจ้าก็สามารถให้ชายคนนี้เข้าร่วมงานประลองสิบสำนักได้!!”
“หยุดพูดเรื่องนี้ได้หรือยัง?”
”เจ้าไม่ต้องการ?”
“ข้าต้องการ! ทว่าแม้แต่สำนักใหญ่ ๆ ในแดนทักษิณายังถูกบอกปัดมาแล้ว เช่นนั้นมีหรือที่เขาจะมาเข้าร่วมกับพวกเรา!” ปิงหลิวหลีพูดอย่างเสียดาย
แต่ใครจะรู้ว่าในฉับพลันนั้น ลู่เฉินกลับฉีกยิ้มชั่วร้ายออกมา “นี่มันน่าสนใจนัก!”
“น่าสนใจ?” ปิงหลิวหลีไม่รู้ว่าลู่เฉินคิดอะไรอยู่
อย่างไรก็ตาม คนจากสำนักวิถีอสูรพลันตื่นตัวขึ้นมา ถึงขนาดที่ว่าชายวัยกลางคนซึ่งถือธงดำที่ใหญ่กว่าคนอื่นและน่าจะเป็นผู้นำกลุ่มเดินออกมา ก่อนที่เขาจะกล่าวอย่างสุภาพกับโจวอวี๋ว่า “หลินเฟิงจากสำนักวิถีอสูร ขอพี่โจวโปรดยั้งมือด้วย!”
“เหตุใดจึงต้องยั้งมือเล่า?” โจวอวี๋ถามด้วยรอยยิ้ม
หลินเฟิงจึงกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูย่ำแย่ “ราชสีห์ขนเพลิงตัวนี้ถูกสำนักของข้าจับจองไว้ก่อนแล้ว”
“อย่าพูดถึงสำนักวิถีอสูรของเจ้าเลย แม้ว่าจะเป็นคนจากสามแดนศักดิ์สิทธิ์มาเอง ข้าก็ไม่คิดเกรงใจแม้แต่น้อย” โจวอวี๋ส่ายหัวขณะกล่าว ทำให้ผู้คนที่เฝ้าดูโดยรอบต่างก็อุทานออกมาด้วยความสนใจ
หลังได้ยินเช่นนั้น หลินเฟิงก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที “เช่นนั้นก็หมายความว่า ท่านต้องการจะปล้นมันจากพวกเรางั้นหรือ?”
“สัตว์อสูรตัวนี้ไม่มีเจ้าของ ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วทุกคนต่างมีสิทธิ์ที่จะครอบครองมัน จริงหรือไม่?” โจวอวี๋หัวเราะ ขณะที่หลินเฟิงขบฟันแน่น ก่อนจะกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว… ว่ามีความสามารถพอหรือไม่!”
โจวอวี๋คลี่ยิ้ม “ตกลง!”
ว่าแล้วโจวอวี๋ก็ปักหอกในมือไปยังต้นไม้ใกล้เคียง ก่อนจะขยับมือทำบางอย่าง จากนั้นเพียงเสี้ยวอึดใจ ประกายไฟก็ผุดขึ้นกลางฝ่ามือของเขาทั้งสองข้าง!
เมื่อประกายไฟเปลี่ยนสภาพเป็นลูกไฟ มันก็ทะยานพุ่งไปยังม่านพลังสีดำโปร่งแสง ก่อนจะทะลุผ่าน… และปะทะเข้ากับอสูรราชสีห์ขนเพลิงอย่างจัง!
แรงปะทะนี้ทำให้ราชสีห์ขนเพลิงถึงกับโกรธ มันกระแทกตัวไปรอบ ๆ อย่างบ้าคลั่งจนม่านพลังแตกออก เปิดโอกาสให้เจ้าสัตว์อสูรตัวร้ายเข้าโจมตีผู้คนของสำนักวิถีอสูรอย่างง่ายดาย!
หลินเฟิงโกรธจัด “เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!”
ครั้นเอ่ยจบ หลินเฟิงและผู้คนจากสำนักวิถีอสูรต่างหันไปต่อสู้กับราชสีห์ขนเพลิงตนนั้น ในขณะที่โจวอวี๋ก็ขยับมือไม้ควบคุมลูกไฟทั้งสองไม่หยุด
ผู้คนต่างอุทานออกมา และบางคนถึงกับพึมพำว่า “นี่เป็นเคล็ดวิชาอสูรอัคคีที่ร่ำลือกันหรือ?”
“ไม่คิดว่าข่าวลือจะเป็นจริง!” ปิงหลิวหลีตกใจ แต่ลู่เฉินกลับยิ้มเมื่อเห็นภาพตรงหน้า “วิชาอสูรอัคคี!”
“ใช่แล้ว มีข่าวลือว่าเมื่อแสนปีที่แล้ว จอมมารได้ถ่ายทอดวิชาอสูรอัคคีให้กับคนแซ่โจว แต่ข้าไม่ได้คาดว่าโจวอวี๋จะมีความเกี่ยวพันกับคนแซ่โจวผู้นั้น!”
ลู่เฉินหันไปถามนางด้วยความสงสัย “ทำไมเจ้าเรียกคนผู้นั้นว่าจอมมาร?”