ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 14 ทุกคนคิดว่าเขาเลียนเสียงของราชาอสูร!
บทที่ 14 ทุกคนคิดว่าเขาเลียนเสียงของราชาอสูร!
ลู่เฉินเหลือบมองไปยังสัตว์อสูรเหล่านี้
และพบว่าพวกมันล้วนแต่เป็นสัตว์บกทั้งหมด
บางตัวพลังระดับห้าดาว บางตัวระดับหกดาว หรือแม้แต่ระดับเจ็ดดาวปนเปกันไป
“สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดของกลุ่มนี้อยู่เพียงระดับเจ็ดดาวเท่านั้น จำเป็นที่จะต้องหวาดกลัวขนาดนั้นเลยหรือ?” หลังจากกวาดตามองจนทั่ว เขาก็หันไปมองปิงหลิวหลีด้วยสายตาดูถูก
“สัตว์อสูรระดับเจ็ดดาว เปรียบได้กับผู้ฝึกตนในขั้นก่อกำเนิด และไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะสัตว์อสูรเหล่านี้ยังถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับทักษะเฉพาะตัว หากพวกมันทุกตัวโจมตีเข้ามาพร้อมกัน แม้ว่าข้าจะมีสามหัวหกกรก็ไม่อาจต้านทานไหว!” ปิงหลิวหลีอธิบายอย่างตื่นตระหนก
ไม่เพียงแต่ปิงหลิวหลีที่ตื่นตระหนก แม้แต่ผู้ชมบนเนินเขาใกล้เคียงก็พากันกระซิบกระซาบอย่างกระวนกระวาย
“สัตว์อสูรระดับเจ็ดดาวในเขตที่สอง!”
“ไม่ใช่ว่าสัตว์อสูรระดับเจ็ดดาวจะพบเจอได้แค่ในส่วนลึกของเขตที่สามหรอกหรือ?”
—–
ในขณะที่สัตว์ร้ายเหล่านั้นเริ่มคลุ้มคลั่ง เตรียมที่จะโจมตีลู่เฉินและปิงหลิวหลีอยู่นั้น สือเซียวซึ่งหลบอยู่ในเงามืดก่อนหน้านี้ก็สวมเสื้อคลุมสีเทาและเดินเข้าไปในฝูงสัตว์อสูร
หลังจากสัมผัสได้ถึงพลังอันแปลกประหลาดจากเสื้อคลุมสีเทา สัตว์อสูรเหล่านั้นก็พากันถอยกลับไปด้านหลัง
ปิงหลิวหลีตกใจเมื่อเห็นสิ่งนี้ “นั่น!… ชุดกันสัตว์อสูร!”
“ชุดกันสัตว์อสูร?” ลู่เฉินไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีคนประดิษฐ์ของเช่นนี้ขึ้นมา
ส่วนปิงหลิวหลี นางได้แต่กล่าวอย่างกังวลใจว่า “ชุดป้องกันนี้มีค่ายิ่ง กล่าวกันว่ามันเป็นมรดกตกทอดของตระกูลสือ!”
ไม่เพียงแต่ปิงหลิวหลีเท่านั้น แม้แต่ผู้คนบนเนินเขาต่างก็ตกใจ
“ศาสตราวิญญาณระดับสุดยอด ชุดกันสัตว์อสูร!”
“นั่นใช่คนจากตระกูลสือหรือไม่?”
“ใช่ สือเซียวจากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ คุณชายน้อยแห่งตระกูลสือ!”
…
เมื่อถึงระยะห่างเพียงห้าก้าว สือเซียวพลันหยุดฝีเท้า มุมปากของเขากระตุกยิ้ม “หากเจ้าไม่อยากตาย เช่นนั้นก็มีทางเดียว นั่นคือทำลายการบ่มเพาะทิ้ง แล้วจงคลานเยี่ยงสุนัขลอดหว่างขาข้าไป!!”
ปิงหลิวหลีคือใคร? นางคือเจ้าสำนักเก้าสุขสงบเชียวนะ การขอให้นางคุกเข่าเป็นสุนัขเพื่อเอาชีวิตรอดเช่นนี้ …อย่าได้หวัง! “คลานลอดหว่างขาคนอย่างเจ้า? เหอะ! อย่าให้ขำหน่อยเลย!”
“โง่เขลานัก หนทางรอดมีแต่กลับไม่เลือกเดิน เจ้าคิดว่าหากไม่มีข้าช่วยแล้วจะรอดไปได้จริง ๆ หรือ?” สือเซียวไม่รู้จักปิงหลิวหลี เขาจึงจ้องมองหญิงสาวอย่างเย็นชา
ปิงหลิวหลีรีบหันไปเร่งลู่เฉิน “เร็วเข้า ใช้อักขระยันต์นั่นอีกครั้ง แล้วเดี๋ยวข้าจะจัดการมันเอง!”
“ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าย่อมไม่อาจจัดการเขาได้ แล้วไหนจะฝูงสัตว์อสูรนั่นอีก?” ลู่เฉินกล่าวออกไปตามตรง ส่งผลให้เจ้าสำนักสาวไม่พอใจขึ้นมา “หากเจ้ายังชักช้า ข้าจะเผาผลาญวิญญาณก่อกำเนิดของข้าเพื่อลงมือฆ่ามัน!”
ทว่าลู่เฉินยังคงไม่กังวล เขายิ้มออกมา ปากก็เอ่ยว่า “อยู่กับข้าที่นี่ ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดทั้งสิ้น!”
“แต่ว่า…” ปิงหลิวหลียังคงดื้อรั้น ทว่าก็เป็นลู่เฉินที่ขัดขึ้นมาเสียก่อน “เจ้าอยู่นิ่ง ๆ ก็พอแล้ว เพราะข้ามีวิธีจัดการพวกมัน!”
“เจ้าน่ะหรือ?” หญิงสาวถึงกับแปลกใจ
ขณะนั้นเอง บรรดาสัตว์อสูรที่อยู่โดยรอบต่างจ้องมาที่พวกเขาพร้อมกับส่งเสียงขู่คำราม
สือเซียวยังขู่ออกมาอีกว่า “แม้แต่สตรีนางนั้นยังไม่อาจจัดการข้าได้ แล้วเจ้าจะมีปัญญาใดกัน? คิดว่าปราณกระบี่นั่นจะหยุดข้าได้งั้นหรือ?”
ลู่เฉินนั่งลงและหลับตา ก่อนจะกล่าวเตือนปิงหลิวหลีเบา ๆ ว่า “ปิดหูของเจ้า”
“ปิดหู?” ปิงหลิวหลีได้แต่นึกสงสัยกับการทำทำของลู่เฉิน
หลังจากที่ลู่เฉินเพ่งมองจุดแสงเจิดจ้าทั้งแปดในร่างกาย เขาก็เข้าควบคุมหนึ่งในจุดแสงนั้นด้วยจิตสำนึกของเขา
จุดแสงที่ถูกควบคุมนี้คือชาติภพก่อนหน้าเมื่อครั้งที่ลู่เฉินกำเนิดในแดนหมื่นอสูร และผงาดขึ้นเป็นราชันย์อสูร… ผู้บงการอสูรร้ายทั้งปวง!
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากขั้นพลังของลู่เฉินอ่อนแอมากในขณะนี้ เขาจึงไม่สามารถดึงพลังออกมาใช้ได้ครบสิบส่วน ทว่าแม้จะใช้เพียงแค่เล็กน้อย… ก็คงมากพอที่จะจัดการกับพวกสัตว์อสูรเหล่านี้ได้!
ครั้นลงมือกระตุ้นจุดแสงที่ว่า…
ในชั่วพริบตานั้น เมื่อลมหายใจของ ‘ราชันย์อสูร’ เล็ดลอดออกมา เสียงคำรามบางเบาที่ดังขึ้นจากภายในร่างกายก็ดังขึ้น และดังขึ้นเรื่อย ๆ!
”โฮกกก…..”
เศษฝุ่นหินนับไม่ถ้วนรอบกายลู่เฉินพลันปลิวกระจาย และหากปิงหลิวหลีไม่ปิดหูไว้ หูของนางคงแตกเป็นเสี่ยง ๆ เป็นแน่แท้!
เมื่อเสียงอันน่าสะพรึงนี้ดังขึ้น บรรดาสัตว์อสูรที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็ตัวสั่นไปด้วยความกลัว!
นี่คือเสียงของราชันย์อสูร!
เมื่อพวกมันสัมผัสได้ถึงสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งกว่าพวกมัน ด้วยสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่ฝังรากลึกในสายโลหิต ย่อมทำให้พวกมันเริ่มแตกตื่น หวาดกลัว และหันหลังกลับไปโดยไม่ลังเล!
เพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น ฝูงสัตว์อสูรที่น่ากลัวก็หายไปพร้อมกับกลุ่มควันที่ลอยตลบอบอวล
“นี่มัน…”
พวกมันหายไปไม่มีเหลือ!
สือเซียวถึงกับตกตะลึง เช่นเดียวกับผู้ฝึกตนบนภูเขาซึ่งกำลังมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“เมื่อครู่นี้มันเกิดอะไรขึ้น?”
“ดูเหมือนจะเป็นเสียงสัตว์อสูรคำราม?”
“พ่อหนุ่มคนนั้น เขาสามารถเลียนเสียงสัตว์อสูรได้งั้นหรือ ทำได้ยังไงกัน?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน!”
คนนับไม่ถ้วนต่างคิดว่าลู่เฉินกำลังเลียนแบบเสียงของราชาสัตว์อสูร เพื่อทำให้สัตว์อสูรเหล่านั้นหวาดกลัว
ทางด้านลู่เฉิน เขาลืมตาและลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ฉีกยิ้มพลางคิดในใจว่า ‘เมื่อพบกระดูกราชสีห์ขนเพลิงแล้ว ข้าก็จะสามารถเปิดจุดชีวิตที่เก้า และหลอมรวมจุดชีวิตทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพียงเท่านี้ การควบคุมสัตว์อสูรก็ไม่ใช่ปัญหาที่ต้องกังวลอีกต่อไป!!”
ทุกคนไม่รู้ว่าลู่เฉินคิดอะไรอยู่
ส่วนทางด้านของปิงหลิวหลี ขณะนี้นางกำลังจ้องมองลู่เฉินด้วยความตกใจ
สือเซียวขบฟันแน่นด้วยความโกรธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดว่าตนเองเสียยันต์ลมกรดและจี้หยกกระดูกสัตว์อสูรไป แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่เป็นอย่างที่เขาต้องการ!
แต่ในเมื่อลงทุนไปแล้ว จะให้เสียเปล่าย่อมไม่ได้! ว่าแล้วสือเซียวก็ขยับมือควบคุมให้ทรายและหินโดยรอบเข้าล้อมร่างของลู่เฉินและปิงหลิวหลีเอาไว้!
”คนผู้นี้ ข้าจะปล่อยให้เจ้าจัดการ” ลู่เฉินกล่าวขณะมองไปที่ปิงหลิวหลีซึ่งกำลังตกตะลึง ก่อนที่นางจะถามขึ้นว่า “แล้วอักขระยันต์เยียวยาเล่า?”
เมื่อได้ยินดังนั้น ลู่เฉินก็วางมือข้างหนึ่งลงบนแผ่นหลังของปิงหลิวหลีอีกครั้ง
หญิงสาวรู้สึกได้ถึงพลังในร่างของตน และเมื่อไร้ข้อจำกัดจากอาการบาดเจ็บ นางก็ปลดปล่อยพลังปราณออกมา และใช้ปราณกระบี่โจมตีสือเซียวทันที!
แต่มีหรือที่สือเซียวจะนิ่งเฉย เขาตอบโต้ด้วยการตะโกนบอกผู้ฝึกตนที่อยู่บนเนินเขาว่า “ใครก็ตามที่ช่วยข้าจัดการพวกมัน ข้าจะมอบศิลาวิญญาณระดับต่ำให้แสนก้อน!”
ศิลาวิญญาณระดับต่ำหนึ่งแสนก้อน!
สำหรับผู้ฝึกตนทั่วไป ศิลาวิญญาณระดับต่ำหนึ่งแสนก้อนนั้นอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสามเดือน หรือหลายปีทีเดียวกว่าจะสะสมจนครบ
ดังนั้นผู้ฝึกตนทั้งหลายจึงไม่รอช้า พวกเขาพร้อมแล้วที่จะรับผลตอบแทนในครั้งนี้! จึงพากันมุ่งหน้ามาทางลู่เฉินและปิงหลิวหลีทันที!
ปิงหลิวหลีตระหนักได้ถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา นางรีบตะโกนบอกลู่เฉิน “เจ้าถอยไปก่อน!”
ทว่าลู่เฉินกลับหยิบกระบี่ออกมาแล้วโยนให้นาง “การใช้กระบี่สยบเก้าทิศจะทำให้เคล็ดวิชากระบี่ของเจ้าแข็งแกร่งขึ้น!”
ปิงหลิวหลีได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจ “นี่เจ้าต้องการจะกวนประสาทข้าหรือ?!”
”กวนประสาท?”
“กระบี่เล่มนี้ได้จดจำเจ้าเป็นนายไปแล้ว ข้าจะใช้มันได้อย่างไร?” ปิงหลิวหลีได้แต่คับข้องใจ ด้วยเข้าใจว่าลู่เฉินจงใจทำให้นางต้องอับอาย
ลู่เฉินเพียงยิ้มอย่างขมขื่น “อย่ากังวลไป ข้าได้สื่อสารกับจิตวิญญาณของกระบี่นี้แล้ว”
“สื่อสารกับจิตวิญญาณของกระบี่?” ปิงหลิวหลีไม่เข้าใจ แต่เมื่อนางถือกระบี่เล่มนี้ในมือ นางก็พบว่าปราณกระบี่ที่ถูกปล่อยออกไปนั้นทรงพลังขึ้นจริง ๆ!
ปราณกระบี่รุนแรงพุ่งทะยานตัดผ่านอากาศ ส่งผลให้สือเซียวที่หลบไม่ทันถูกกระแทกจนกระเด็นไปไกล บีบให้เจ้าตัวต้องใช้วิชาหลบหลีกดำดิน และหายตัวไปจากบริเวณนั้นทันที
สำหรับกลุ่มคนที่พากันวิ่งลงมา เมื่อพวกเขาเห็นฝีมือของปิงหลิวหลีแล้วต่างก็ตกใจ และพากันถอยกลับไปยังที่เดิม ทิ้งให้หลิวหยุนซานได้แต่ขบฟันด้วยความโกรธขณะวิ่งหนี
ปิงหลิวหลีรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนที่นางเหวี่ยงกระบี่ มันดูราวกับว่ากระบี่และตัวนางเป็นหนึ่งเดียวกัน!
แต่เมื่อหญิงสาวกำลังมีช่วงเวลาที่ดีอยู่นั้น กระบี่ก็พลันหลุดออกจากมือ ก่อนจะลอยกลับไปสู่มือของลู่เฉินและกลายเป็นกริชดังเดิม
“พอ หยุดเล่นได้แล้ว!” คำพูดของลู่เฉินทำให้ปิงหลิวหลีได้สติ หญิงสาวจึงถามอย่างสงสัยว่า “มีจิตวิญญาณอยู่ภายในนั้นจริงหรือ?”
“จิตวิญญาณกระบี่ยังไงเล่า เจ้าไม่รู้จักหรือไร?”
ในฐานะเจ้าสำนัก ปิงหลิวหลีจะไม่รู้ได้อย่างไร แต่นางไม่เคยพบเห็นมันมาก่อน บัดนี้ใบหน้าของหญิงสาวจึงฉาบไว้ด้วยความอับอาย “เรื่องนี้… ข้าเคยได้ยินมาบ้าง… ทว่าก็แค่นั้น”
”งั้นก็นับเป็นปาฏิหาริย์แล้วที่เจ้าสามารถขึ้นเป็นเจ้าสำนักได้”
คำพูดของลู่เฉินทำให้ปิงหลิวหลีตัวสั่นไปด้วยความโกรธ ทว่าทันใดนั้น ใครบางคนจากบนยอดเขาพลันตะโกนขึ้นว่า “ดูนั่นสิ ราชสีห์ขนเพลิง!”
“สัตว์อสูรระดับเก้าดาว!” ดวงตาของใครบางคนถึงกับเบิกกว้าง
”บ้าน่า ทำไมที่แบบนี้ถึงได้มีราชสีห์ขนเพลิงอยู่เล่า?!”
ทุกคนพากันตกตะลึง บางคนถึงขนาดตะโกนว่า “ดูสิ คนจากสำนักวิถีอสูรกำลังจับมันอยู่!”
ครั้นได้ยินว่ามีใครบางคนกำลังล้อมจับราชสีห์ขนเพลิง ลู่เฉินจึงตะโกนว่า “ไป!”
ทว่าแทนที่จะรีบออกตัว ปิงหลิวหลีกลับตื่นตกใจ “สำนักวิถีอสูร?”
เมื่อเห็นท่าทีดังกล่าวของนาง ลู่เฉินจึงถามขึ้นว่า “สำนักวิถีอสูรทรงพลังมากงั้นหรือ?”