ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 135 หมู่บ้านในเหวลึก
บทที่ 135 หมู่บ้านในเหวลึก
ลู่เฉินไม่อยากเสียเวลาอธิบายมากนักจึงเดินหน้าต่อไป เวลาผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาก็เดินพ้นจากค่ายกลพวกนั้นมาได้
หลังจากผ่านมาอีกระยะหนึ่ง เมื่อชิวเอ้อเงยหน้ามองกลับไปเบื้องหลังฉับพลันทันใดเส้นทางตรงนั้นก็ได้หายไปอีกครั้ง!
“ค่ายกลภูตผีนี้ แท้จริงแล้ว…” ชิวเอ้อยากที่จะเชื่อว่าลู่เฉินจะลงมาได้ง่ายดายเช่นนี้
ค่ายกลเล็ก ๆ พวกนี้ สำหรับชายหนุ่มแล้วเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจนัก ก่อนที่เขาจะมองไปรอบ ๆ และพบว่ามีไอภูตผีกระจายหนาแน่นไปทั่วทุกพื้นที่!
เนื่องจากมีไอภูตผีหนาแน่นมากเกินไป จึงทำให้ที่นี่มืดสนิท
ไม่เพียงเท่านั้น ไอภูตผียังรวมเข้ากับไอซากศพ ทำให้รอบด้านส่งกลิ่น ‘เน่า’ คละคลุ้ง ทว่ามันก็ไม่ส่งผลใดต่อลู่เฉิน เขาเพียงแค่ถามขึ้น “หมู่บ้านนี้ไปเช่นไร?”
ชิวเอ้อถามด้วยความแปลกใจ “ทะ… ท่านจะไปจริงหรือ?”
“อืม!”
“แต่ที่นั่นมีผู้ฝึกวิถีภูตผีที่เก่งกาจอยู่เยอะมาก!” ชิวเอ้ออธิบาย แต่ลู่เฉินไม่สนใจ “ไม่เป็นไร นำทางไปเถอะ”
ไม่เป็นไร?
ชิวเอ้อไม่คิดเช่นนั้น แต่คนไร้ทางเลือกเช่นเขาจะทำอันใดได้นอกจากนำทางไป
ทว่าเมื่อเดินไปเพียงไม่กี่สิบก้าว จู่ ๆ ด้านหน้าก็มีร่างเงาภูตผีปรากฏออกมา!
คนผู้นี้สวมชุดคลุมสีดำ ใบหน้าซีกหนึ่งยังมีรอยบาดแผลเป็นจากไฟไหม้ ขณะเดียวกันผมบนศีรษะยังมีสีขาวโพลน
เมื่อมองเพียงแวบแรก เหมือนเป็นชายวัยกลางคนอายุราว ๆ สี่สิบถึงห้าสิบได้
ชิวเอ้อจ้องมองไปด้วยความหวาดกลัวจนแทบจะกระโดดหนี “นายท่านกุ่ยเจี่ยว”
“เมื่อครู่ผู้พิทักษ์บอกว่า …เจ้าพาคนนอกเข้ามา ทว่าข้ายังไม่เชื่อ แต่ตอนนี้….” สีหน้าของผู้ที่ชื่อกุ่ยเจี่ยวเคร่งขรึมขึ้นมา
ชิวเอ้อหวาดกลัวจนตัวสั่น “ข้า…”
“หากไม่อยากตายก็รีบพาเขาออกไปจากที่นี่ทันที มิเช่นนั้น…” เมื่อกุ่ยเจี่ยวพูดจบ ดวงตาก็ฉายแววสังหารออกมาราวกับว่าพร้อมที่จะลงมือทุกเมื่อ!
ชิวเอ้อที่ดูแล้วคิดว่ายังมีโอกาสรอด จึงหันขวับมองไปยังลู่เฉิน “เขาคือหนึ่งในสามรองหัวหน้าของหมู่บ้านนี้ นามกุ่ยเจี่ยว มีพลังแข็งแกร่งมากซึ่งเทียบไม่ได้กับพวกข้า”
เห็นได้ชัดว่าชิวเอ้อคิดว่าลู่เฉินน่าจะหวาดกลัวจนรีบกุลีกุจอออกไปจากที่นี่ทันที
ไม่เพียงเท่านั้น กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างของกุ่ยเจี่ยวยังดูแข็งแกร่งมาก แต่ชายหนุ่มกลับเพียงแค่ยกยิ้ม “วันนี้… ข้าก็ยังต้องการไปที่หมู่บ้านนั่นอยู่ดี”
“เพราะ… เพราะอะไรกัน?” ชิวเอ้อกังวลใจ เหตุใดถึงต้องไปที่นั่นให้ได้!!
กุ่ยเจี่ยวมองมาด้วยแววตาเย็นเยียบ “เจ้าหนุ่ม อยากตายหรือไง?”
“ไม่อยาก”
“เช่นนั้นยังกล้าไปหมู่บ้านของพวกข้าอีกงั้นหรือ?” กุ่ยเจี่ยวจ้องมองไม่ละสายตา แต่ลู่เฉินเพียงแค่ยิ้ม “ข้ามีความสนใจต่อหมู่บ้านนี้มาก ดังนั้นจึงอยากไปดูเสียหน่อย”
กุ่ยเจี่ยวกล่าวเสียงเรียบ “ดูเหมือนว่าเจ้ายังอยากตายสินะ!”
ครั้นเอ่ยจบ กุ่ยเจี่ยวก็วิ่งไปประชิดตัวชายหนุ่มด้วยความรวดเร็ว และใช้ขาข้างหนึ่งเตะออกไป ปล่อยให้ชิวเอ้อที่รับรู้ถึงความน่าหวาดกลัวของการโจมตีนี้ตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะมองดู
ทว่าทันใดนั้น กำแพงชั้นที่เก้าสิบจากวิชากำแพงพันชั้นของลู่เฉินก็ต้านทานเอาไว้ทันท่วงที ทำให้ขาของอีกฝ่ายเตะทำลายไปเพียงแค่หกสิบชั้นเท่านั้น
ครั้นเห็นเช่นนั้น กุ่ยเจี่ยวจึงเบิกตากว้าง ไม่กล้าแม้แต่จะเชื่อ “นี่… นี่มันบ้าอันใดกัน!”
ชิวเอ้อค่อย ๆ ปรือตามอง เมื่อเห็นว่ากำแพงพวกนั้นถูกทำลายไปไม่มากนักจึงรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา “ขะ… แข็งแกร่งมาก…”
ชายหนุ่มปรายตามองไปยังกุ่ยเจี่ยวพลันยิ้มเยาะและเอ่ยออกมา “ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
“เข้าใจอันใด?” อีกฝ่ายไม่เข้าใจว่าลู่เฉินหมายถึงสิ่งใด เขาจึงอธิบายว่า “หมายความว่า การป้องกันของข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้านัก และเจ้าไม่สามารถทำอะไรข้าได้”
กุ่ยเจี่ยวไม่พอใจขึ้นมาทันที เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้าเป็นหนึ่งในสามรองหัวหน้าของหมู่บ้านแห่งนี้ ในด้านของความแข็งแกร่ง ข้าถูกจัดอยู่ในอันดับหนึ่งในสิบ!”
“อืม… ข้าคิดว่าคนในหมู่บ้านของพวกเจ้าเก่งกาจนัก แต่คิดไม่ถึงว่าบุคคลเช่นเจ้าจะยังถูกจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ เช่นนี้ เห็นทีข้าคงกังวลคิดมากไปเองเสียแล้ว!”
คำพูดนี้ทำให้กุ่ยเจี่ยวระเบิดโทสะออกมา “เจ้า!”
ชิวเอ้อยิ่งคิดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะกล้ายั่วยุให้กุ่ยเจี่ยวเป็นที่ขบขันเช่นนี้ได้
ทว่าชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกว่ามีอันใดไม่เหมาะสม เขามองไปยังกุ่ยเจี่ยวด้วยมุมปากแสยะยิ้ม “มาเถิด แสดงให้ข้าดูว่าเจ้ายังมีความสามารถอันใดอีก!”
กุ่ยเจี่ยวตะโกนขึ้นมา เริ่มกางขาทั้งสองออกและย่อตัวลง จากนั้นค่อย ๆ โคจรพลัง
ไอภูตผีที่อยู่โดยรอบค่อย ๆ รวบรวมเข้าสู่ขาทั้งสองข้างจนเริ่มมีขนาดที่หนาขึ้นราวกับถูกสูบลมเข้าไป แต่นั่นไม่ได้ทำให้ลู่เฉินหวาดกลัว เขาเพียงแค่ยิ้มและมองไปนิ่ง ๆ เท่านั้น
ขณะเดียวกัน กำแพงเก้าสิบชั้นจาก ‘กำแพงพันชั้น’ บนร่างกายก็เปิดออก
จนกระทั่งกุ่ยเจี่ยวตะโกนขึ้น ขาข้างหนึ่งเตะออกไปอีกครั้ง และครานี้ได้ทำลายไปหกสิบห้าชั้น ทำให้กุ่ยเจี่ยวต้องตะลึงพรึงเพริดกว่าเดิม! “เห็นได้ชัดว่าข้าเพิ่มพลังไปอีกหลายเท่า เหตุใดถึงยังไม่พังทลาย?”
“นั่นเป็นเพราะว่าข้ายิ่งเพิ่มพลังลงไปมากเท่าใด มันก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้นน่ะสิ” ลู่เฉินเหยียดยิ้ม
“อะไรนะ!” คนฟังเบิกตาโพลง
ไม่เพียงแค่กุ่ยเจี่ยว ทว่าชิวเอ้อยังแปลกใจไม่แพ้กัน
“ยังต้องการขัดขวางข้าอีกหรือไม่?” ลู่เฉินจ้องมองกุ่ยเจี่ยว จนเจ้าตัวเริ่มทำอะไรไม่ถูก จึงถอยหลังไปทีละก้าว เพียงไม่ทันไรก็หมุนตัวทะยานออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
ชิวเอ้อเอ่ยออกมาอย่างสับสน “กุ่ย… นายท่านกุ่ยเจี่ยวหนีไปแล้ว!”
“จงนำทางไป!” ชายหนุ่มยิ้มอย่างพึงพอใจ
ขณะนั้นชิวเอ้อไม่กล้าดูแคลนชายผู้นี้อีก ซ้ำยังกล่าวออกมาอย่างเคารพ “ผู้อาวุโส แท้จริงแล้วท่านมีขั้นพลังใดแล้ว?”
“สำคัญมากหรือไง?”
จบประโยคของลู่เฉิน ชิวเอ้อก็ไม่กล้าถามสิ่งใดมากนัก ทำได้เพียงนำทางไปเงียบ ๆ
…
ภายในถ้ำที่อยู่ไกลออกไป กุ่ยเจี่ยวรายงานต่อหญิงสาวที่ถูกรายล้อมด้วยกลุ่มไอภูตผี “ผู้พิทักษ์ เจ้าหนุ่มผู้นั้นจัดการไม่ง่ายเลยขอรับ!”
“อะไรนะ?” หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจ
“การป้องกันของเขาแข็งแกร่งเกินไป!” กุ่ยเจี่ยวตอบอย่างกระวนกระวายใจ
สตรีผู้นั้นครุ่นคิด ปากก็พูดพึมพำ “…ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าขั้นพลังของข้าถูกยับยั้งไว้ ข้าคงไม่ต้องให้เจ้าเป็นผู้ลงมือ!”
กุ่ยเจี่ยวมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก “ข้า…”
“อีกสองคนล่ะ?” หญิงสาวสงสัย
กุ่ยเจี่ยวจึงเอ่ยรายงาน “อีกสองท่านมีเรื่องต้องจัดการจึงออกไปแล้ว คาดว่าอาจจะยังไม่กลับมาอีกสักพัก”
หญิงสาวที่อยู่ตรงนั้นจึงเริ่มร้อนใจขึ้นมา “ท่านหัวหน้าหมู่บ้านเก็บตัว ส่วนสองคนนั้นก็ออกไปด้านนอก และเจ้ายังไม่สามารถทำลายการป้องการของเจ้าหนุ่มนั่นได้ เช่นนั้นไม่เท่ากับว่าปล่อยให้เขาสร้างความวุ่นวายแก่หมู่บ้านของเรางั้นหรือ?”
“สามารถเริ่มใช้ค่ายกลภูตผีได้ จากนั้นก็ให้ทุกคนหลบซ่อน!” กุ่ยเจี่ยวรายงาน
“เฮ้อ คงมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น!” หญิงสาวเอ่ยออกมาอย่างไร้ทางเลือก จากนั้นก็นำกุ่ยเจี่ยวออกไปจากที่นี่
…
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ลู่เฉินมองเห็นหมู่บ้านโบราณแห่งหนึ่งที่ถูกปกคลุมไปด้วยค่ายกลภูตผี
เมื่อมองไปก็เห็นอักขระใหญ่สีแดงสดแขวนไว้ด้านหน้าสองตัว ‘ภูตผี’
“เรามาถึงแล้ว!” ชิวเอ้อชี้นิ้วไปยังหมู่บ้านด้านหน้า
ลู่เฉินกวาดสายตามองไปรอบ ๆ “ดูเหมือนว่าค่ายกลนี้จะไม่ธรรมดา”
“นี่น่าจะเป็นค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดของหมู่บ้านแห่งนี้” ชิวเอ้อเพ่งพินิจครู่หนึ่งก็เอ่ยตอบ
ลู่เฉินได้ฟังแล้วก็คลี่ยิ้ม “ไป ไปดูหมู่บ้านนี้กันเสียหน่อย”
คนข้างกายตอบรับอย่างสุภาพ “ขอรับ ผู้อาวุโส!”
ชิวเอ้อเดินไปด้านหน้า ค่อย ๆ เปิดแง้มประตูออกอย่างเบามือ แต่กลัวจะพบกับอันตรายจึงรีบถอยกรูดกลับมายืนอยู่ข้างชายหนุ่มทันที ก่อนจะพบว่าภายในไร้ผู้คน…
“แปลกเกินไปแล้ว” ชิวเอ้อสงสัย
“เป็นเช่นไร?”
“หมู่บ้านนี้มักจะเต็มไปด้วยผู้มากฝีมือตลอดเวลา แต่ตอนนี้ช่างเงียบนักเหมือนกับว่าไม่มีใครอยู่สักคน” ชิวเอ้อมองดูรอบ ๆ เมื่อพบว่าไม่มีแม้แต่กลิ่นอายของผู้ใดจึงแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา
ทว่าตรงกันข้ามกับลู่เฉินที่แย้มยิ้ม “ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้ใด แต่เพียงแค่พวกเขากำลังหลบซ่อน”
“หลบซ่อน?” ชิวเอ้อไม่เข้าใจ
ขณะนั้นเอง เสียงหญิงสาวพูดจายั่วยุพลันดังขึ้นมาจากภายใน “แล้วพวกเจ้าเล่า? …กล้าเข้ามาหรือไม่?”