ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 133 ถกเถียงเรื่องภูตผี!
บทที่ 133 ถกเถียงเรื่องภูตผี!
ผู้คนในที่แห่งนี้ ล้วนไม่เคยเห็นการที่ผู้ฝึกวิถีภูตผีกลายเป็นผู้ฝึกตนธรรมดามาก่อน ดังนั้นแต่ละคนจึงพากันคิดว่าลู่เฉินนั้นเพียงพูดโอ้อวด แม้กระทั่งผู้คลั่งไคล้เต๋าก็ยังรู้สึกเช่นนั้น
ชิวเอ้อยิ่งไม่เชื่อ เขาจ้องมองมายังลู่เฉินพลางกล่าวว่า “เจ้าอย่ามาหลอกลวงข้า!”
“เช่นนั้นดูให้ดีล่ะ!” สิ้นเสียงของลู่เฉิน เขาพลันแทรกจิตวิญญาณเข้าไปในร่างกายของชิวเอ้อ
และเนื่องจากขั้นพลังของชิวเอ้อถูกผนึกไว้ ทั้งยังถูกเข็มของลู่เฉินพันธนาการไว้ จึงทำให้เขาไม่สามารถขยับกายได้ ทำได้เพียงเบิกตากว้างมองลู่เฉินที่แทรกจิตวิญญาณเข้ามา
ทว่าแม้จะขยับกายไม่ได้ หากแต่ปากยังคงพูดได้ จึงตะโกนก้องออกมาว่า “แท้จริงแล้วเจ้าคิดจะทำอันใดข้า!”
ทางด้านชิวต้า เขาเองก็กำลังเฝ้าดูด้วยความสงสัย
ลู่เฉินใช้เวลาเพียงไม่นานก็พบผนึกแก้วอยู่บริเวณจุดตันเถียน และนี่ก็คือต้นกำเนิดภูตผีของผู้ฝึกวิถีภูตผีนั่นเอง!
ต้นกำเนิดภูตผีนี้คล้ายกับต้นกำเนิดมาร เพียงแค่ทำลายก็สามารถทำให้ผู้ฝึกวิถีภูตผีฟื้นฟูเป็นปกติได้!
และในขณะที่ลู่เฉินเข้าไปโจมตีต้นกำเนิดภูตผีนี้ ชิวเอ้อก็พลันแสดงสีหน้าไม่สบายใจออกมา จนกระทั่งต้นกำเนิดภูตผีแตกสลายลงในที่สุด ร่างกายของชิวเอ้อจึงค่อย ๆ ปรากฏพลังปราณขึ้นมา
ทุกคนตกตะลึงทันที
บางคนเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “พลัง… พลังปราณ!”
“เขา เปลี่ยนไปแล้ว?”
“ไม่คิดเลยว่าจะฟื้นฟูขึ้นมาจริง ๆ!”
แม้แต่ชิวเอ้อเองก็ตกตะลึงเช่นกัน กระทั่งถึงขนาดไม่กล้าที่จะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่าลู่เฉินมีหรือจะรอ เขาดึงมือกลับมาก่อนจะเอ่ยว่า “ตอนนี้เจ้าก็สามารถฝึกฝนได้ตามปกติแล้ว”
คำพูดนี้ทำให้ชิวเอ้อมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เขากล่าวว่า “หากเป็นไปได้ ข้าก็จะยังคงเลือกฝึกฝนวิถีภูตผี”
ลู่เฉินชะงักไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยึดมั่นถึงเพียงนี้
ส่วนชิวต้าที่ได้ยินก็พลันกล่าวอย่างโมโห “เหตุใดเจ้าถึงยังต้องการที่จะฝึกฝนวิถีภูตผี?”
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงต้องฝึกวิถีพุทธ?” ชิวเอ้อไม่ตอบแต่กลับถามออกมา ทำให้ชิวต้าร้อนใจขึ้นมา “ก็เพราะข้ามีรากวิญญาณธาตุแสง และต้องการจะขจัดมารเพื่อกำจัดความชั่วร้ายทั้งปวง!”
“เหตุที่ข้าฝึกฝนวิถีภูตผี เป็นเพราะรากวิญญาณของข้าเหมาะกับการฝึกฝนวิถีนี้ ไม่ได้เป็นเพราะข้าต้องการทำชั่ว เจ้าเข้าใจหรือไม่?” ชิวเอ้อเอ่ยแย้ง
ทว่าแม้จะได้ยินเช่นนั้น หากแต่ชิวต้าก็ยังคงคิดว่าผู้ฝึกวิถีภูตผีนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก
แต่ลู่เฉินไม่เห็นด้วย เขามองไปยังชิวต้าพลางยิ้มออกมา “น้องชายของเจ้า เคยฆ่าคนโดยไม่คิดหรือไม่?”
“หมายความเช่นไร?” ชิวต้าไม่เข้าใจนัก
“เช่นนั้นเจ้าจงบอกข้าว่าเหตุใดเจ้าถึงรังเกียจผู้ฝึกวิถีภูตผีนัก”
“เพราะผู้ฝึกวิถีภูตผีเป็นพวกคนไม่ดี”
“ไม่ดีเช่นไร?”
“พวกเขา…” ชิวต้าพูดไม่ออก ปากชะงักงันไป
ลู่เฉินจึงอธิบายออกมาแทน “ไม่ว่าจะฝึกฝนวิถีภูตผี หรือว่าฝึกฝนวิถีพุทธ สิ่งนี้มันก็เพียงแค่หนทางฝึกที่แตกต่างกัน แต่การจะตัดสินคนคนหนึ่งว่าดีหรือเลวนั้น ย่อมไม่อาจมองเพียงแค่ว่าเขาฝึกฝนวิถีใด แต่ต้องมองที่จิตใจของเขาด้วย!”
“จิตใจ?” ชิวต้ารู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อย
“ถ้าหากว่าผู้ฝึกวิถีพุทธคนหนึ่งฆ่าคนมากมาย ส่วนอีกคนเป็นผู้ฝึกวิถีภูตผี และเขาก็มักช่วยคนรอบด้าน เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่? หรือจะยังบอกว่าผู้ฝึกฝนวิธีภูตผีคนนั้นคือคนเลว?”
ชิวต้าสับสนขึ้นมาทันที
และไม่เพียงแค่ชิวต้าเท่านั้น คนรอบข้างต่างก็ชี้ไม้ชี้มือกัน เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างเห็นด้วยกับคำพูดของลู่เฉิน
สำหรับชิวเอ้อ เดิมทีเคยรู้สึกไม่พอใจลู่เฉิน แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มถกเถียงแทนตน มันก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมา ก่อนที่ปากจะหันไปกล่าวกับชิวต้าว่า “พี่ ข้ารู้ว่าท่านทำเพื่อข้า แต่ข้าฝึกฝนวิถีภูตผีก็เพียงเพื่อการฝึกฝนเท่านั้น ไม่ได้ทำเพื่อสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น!”
ชิวต้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาแสดงสีหน้าสับสนออกมา ก่อนที่สุดท้ายจะเอ่ยออกมาเพียงไม่กี่คำ “บางที เจ้าอาจพูดถูก!”
ชิวเอ้อที่ได้ยินก็ดีใจ เพราะเขาคิดไม่ถึงว่าพี่ชายของตนจะค่อย ๆ มีท่าทีคล้ายเข้าใจตนขึ้นมาบ้างแล้ว! “พี่ ขอบคุณมากที่เข้าใจ!”
“แต่เช่นนั้นเจ้าต้องรับปากข้าอย่างหนึ่ง คือจากนี้จะไม่ฆ่าใครโดยไร้เหตุผล มิเช่นนั้น ถ้าหากข้ารู้ ข้าจะไม่อภัยให้เจ้าแน่นอน” ชิวต้ากล่าวเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง
“ได้!” ชิวเอ้อขานรับ
หลังจากปมในใจของชิวต้าถูกคลายออก เขาพลันมองไปยังลู่เฉินและกล่าวออกมาด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณท่านที่ช่วยพวกข้าแก้ปัญหานี้!”
“เจ้าจะไม่ขัดขวางการฝึกฝนวิถีภูตผีของเขาแล้ว?”
“ไม่แล้ว!” ชิวต้ารู้ว่ารากวิญญาณของชิวเอ้อเป็นเช่นนี้ และถึงแม้ตอนนี้ตนจะสามารถปล่อยเขาไปได้ แต่หากมีโอกาส ชิวเอ้อก็คงยังเลือกฝึกฝนวิถีภูตผีอยู่ดี
เมื่อเสริมกับคำพูดของลู่เฉินเมื่อครู่ จึงทำให้ชิวต้าเข้าใจว่าการตัดสินคนว่าดีหรือเลวนั้นไม่ได้ดูว่าเขาฝึกฝนอะไร แต่ต้องมองที่จิตใจของคนคนนั้นว่าเป็นเช่นไร
ชิวต้าจึง ‘ประนีระนอม’ แล้ว!
สำหรับชิวเอ้อ เขามองไปยังลู่เฉินอย่างตื่นเต้น “ท่านสามารถทำให้ข้าฟื้นฟูการฝึกฝนวิถีภูตผีได้หรือไม่?”
ลู่เฉินยิ้ม “ดูเหมือนว่า เมื่อครู่ข้าจะสิ้นเปลืองพลังเสียเปล่าแล้ว แต่ดีที่ข้านั้นฉลาด!”
ชิวเอ้อที่ได้ยินพลันเอ่ยอย่างมีความหวังทันที “ท่าน… ท่านมีวิธีใช่หรือไม่!”
“แน่นอน ขอแค่เจ้ากระตุ้นเพียงเล็กน้อย การบ่มเพาะที่ถูกผนึกไว้ก็จะกลับมาเอง!”
“กระตุ้นเช่นไร?”
“ซึมซับไอภูตผีให้มากพอ”
ชิวเอ้อพลันกล่าวอย่างดีใจ “เช่นนั้น ตอนนี้ข้าจะรีบไปซึมซับทันที”
“ข้าว่าบริเวณขอบหน้าผานี้ เหมาะสมกับเจ้านักหากคิดฝึกฝน” จบประโยคของลู่เฉิน สีหน้าของชิวเอ้อก็พลันเปลี่ยนไป
ลู่เฉินที่เห็นดังนั้นจึงรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังปิดบังบางอย่างอยู่ เขาจึงยิ้มออกมา “มา! เรามาเดินไปพูดไปกัน!”
ชิวเอ้อไม่รู้จะปฏิเสธเช่นไร ทำได้เพียงพยักหน้ารับ เขากล่าวลาคนโดยรอบ ส่วนลู่เฉินก็หันไปบอกให้หลี่ว์ซือรออยู่ที่นี่ ก่อนที่พวกเขาจะพากันออกเดินไปตามทางที่ทั้งชันและแคบ
ทิ้งไว้เพียงผู้คนรอบ ๆ ที่พากันถกเถียงไปมา “เจ้าหนุ่มผู้นี้อยากตายงั้นหรือ?”
“ใช่ ด้านล่างมีแต่ไอภูตผีและไอซากศพ”
“นี่เขาบ้าไปแล้ว?”
“ช่างไม่กลัวตายเสียจริง!”
และแม้แต่ผู้คลั่งไคล้เต๋าเองก็มีสีหน้าสงสัยเช่นกัน “เขาลงไปจริงงั้นหรือ?”
สำหรับเหวลึกที่มีไอภูตผีหนาแน่นเช่นนี้ ทุกคนต่างก็รู้ว่าไอภูตผีเหล่านั้นมักทำให้ผู้ฝึกตนทั่วไปสูญเสียความเป็นตัวเองจนกระทั่งตายอยู่ด้านในได้ แต่ลู่เฉินกลับลงไปอย่างไม่กลัวเกรง เพียงครู่เดียวชายหนุ่มก็ลับสายตาผู้คนไปเสียแล้ว
ชิวต้าจึงได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนจะหมุนตัวไปจากที่นี่
…
บนทางสูงชันที่คับแคบนั้น ลู่เฉินเดินไปพลางพูดไปว่า “ตอนนี้ที่นี่ไม่มีผู้ใดแล้ว ดังนั้นเจ้าพูดได้หรือยังว่าด้านล่างสถานการณ์เป็นเช่นไร?”
“ท่าน… อยากรู้อะไร?” ชิวเอ้อรู้ว่าลู่เฉินเก่งกาจเพียงใด ดังนั้นจึงไม่คิดต่อต้าน และได้แต่ถามอย่างไร้ทางเลือก
“ด้านล่างมีสำนักวิถีภูตผีอยู่หรือไม่?!”
“มี ที่ด้านล่างนี้มีหมู่บ้านตั้งอยู่ และภายในนั้นก็มีสำนัก เป็นสำนักที่รับแค่เพียงผู้ฝึกวิถีภูตผีเท่านั้น!”
“โอ้? เช่นนั้นผู้นำหมู่บ้านคือใคร เหตุใดเจ้าถึงเข้าร่วมกับพวกเขา?”
ชิวเอ้อคล้ายหวนคิดถึงบางอย่างได้จึงเอ่ยว่า “เพราะว่าข้าฝึกฝนวิถีภูตผี ถูกไอภูตผีของที่นี่ดึงดูด ดังนั้นเมื่อไม่กี่ปีนี้จึงลงไป จากนั้นบังเอิญได้พบหมู่บ้าน ก่อนที่ข้าจะเข้าร่วมกับพวกเขาในท้ายที่สุด”
“หลังจากนั้นล่ะ?”
“หญิงสาวเมื่อครู่ ท่านเห็นแล้วหรือยัง”
“อืม” ลู่เฉินขานรับ ชิวเอ้อจึงอธิบายต่อไป “นางคือผู้พิทักษ์ของหมู่บ้าน พวกข้าเรียกนางว่า นายท่าน!”
“เช่นนั้นพวกเจ้าเคยเห็นใบหน้านางจริง ๆ สักครั้งหรือไม่?”
ชิวเอ้อส่ายหัว “เมื่อนางปรากฏตัว รอบกายล้วนเต็มไปด้วยไอภูตผี ดังนั้นพวกข้าจึงเห็นเพียงเงา และไม่เคยเห็นใบหน้าของนางชัด ๆ เลยสักครั้ง”
“เช่นนั้นหมู่บ้านนี้ พวกเขาใช้ให้พวกเจ้าทำเรื่องอันใดหรือไม่?”
“ใช้งาน?”
“ใช่!”
ชิวเอ้อคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบมาว่า “เพียงแค่สอนวิธีฝึกฝนบางอย่างแก่พวกข้า และบางคราก็สั่งให้พวกข้าไปจับภูตผีที่อยู่นอกเขตที่แปด นอกนั้นก็ไม่มีเรื่องใดอีก”
“อ้อ? พวกเขาไม่ได้บังคับให้พวกเจ้าเข้าร่วม เพียงแต่ให้แบ่งปันวิธีฝึกฝน และบางคราก็ใช้ให้ไปจับภูตผี?”
“ใช่!”
ลู่เฉินรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ จึงถามต่อว่า “แล้วจับภูตผีไปเพื่ออันใด?”