ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 129 เขตที่แปดอันแสนแปลกประหลาด!
บทที่ 129 เขตที่แปดอันแสนแปลกประหลาด!
รายชื่อนี้ส่วนใหญ่เป็นรายชื่อซ้ำ…
ลู่เฉินจึงขีดฆ่าออกอีกครั้ง
โจวกังเห็นแล้วก็เจ็บในทรวง “นะ… นี่คือสิ่งข้ารวบรวมมาทั้งวันทั้งคืน อยู่ ๆ ท่านก็… ”
”ถ้ามันซ้ำก็ไม่จำเป็นนี่นา” โจวกังไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถอนหายใจกับคำพูดของลู่เฉิน “หากรู้เช่นนี้ สองสามวันที่ผ่านมาข้าคงแอบอู้แล้ว!”
“แอบอู้?” ลู่เฉินหัวเราะ
โจวกังจึงรีบอธิบายอย่างร้อนรน “ไม่ ข้าก็แค่พูดไปเช่นนั้น!”
ลู่เฉินยิ้มและไม่พูดอันใดจนกระทั่งได้ยืนยันสองคนสุดท้ายในรายชื่อ
รากวิญญาณธาตุมืดเจ็ดดาวและรากวิญญาณธาตุแสง…
ทว่าที่อยู่ของสองคนนี้ไม่แน่นอน และโจวกังก็ทำเครื่องหมายไว้ว่าไม่แน่ชัดไว้เช่นกัน ลู่เฉินจึงถามว่า “เกิดอันใดขึ้นกับสองคนนี้?”
“สองคนนี้ ข้าเจอพวกเขาตอนที่แยกทางกับท่านครั้งที่แล้ว!”
“อ้อ ไหนลองว่ามาซิ!”
โจวกังจึงเล่าเรื่องราวหลังจากที่เขากับลู่เฉินแยกทางกันเมื่อไม่กี่วันก่อนให้ฟัง
ยามที่โจวกังได้พบกับพี่น้องสองคนนั้น เขาก็พบว่าคนหนึ่งมีรากวิญญาณธาตุมืดเจ็ดดาว ส่วนอีกคนหนึ่งมีรากวิญญาณธาตุแสง ซึ่งทำให้คนหนึ่งฝึกฝนวิถีภูตผี อีกคนหนึ่งฝึกฝนวิถีพุทธ
สิ่งนี้ถูกกำหนดให้ทั้งสองอยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน
ดังนั้นผู้คนจึงเรียกพวกเขาว่าพี่น้องปฏิปักษ์
ซึ่งทั้งสองมีชื่อเสียงระบือไกลยิ่ง!
ทว่าตำแหน่งของพวกเขาไม่แน่นอน แต่หลังจากที่ลู่เฉินพิจารณาสถานที่ที่ทั้งสองเคยปรากฏตัวอย่างคร่าว ๆ แล้วก็ยืนยันสิ่งหนึ่งได้ นั่นคือผู้ฝึกวิถีภูตผีรายนี้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหนึ่ง
”ข้าจะไปเขตที่แปด แล้วเจ้าก็ต้องช่วยข้าหาต่อไป!” หลังจากพูดจบ ลู่เฉินก็พาหลี่ว์ซือออกไปทันที
โจวกังพลันรู้สึกหดหู่ใจและก้มหน้างุด “…อีกแล้วหรือ?”
”พวกที่ถูกขีดฆ่าในรายชื่อทั้งสอง เจ้าไม่ต้องไปหาแล้ว” คำพูดของลู่เฉินทำให้โจวกังประหลาดใจระคนตกใจแต่ก็ตอบรับกลับมาว่า “ขอรับ!”
เมื่อโจวกังชำเลืองมอง เขาพลันมีความสุขขึ้นมาเมื่อตัดคนออกไปได้ถึงหกสิบเจ็ดสิบคนเลยทีเดียว!
ต่อมาลู่เฉินก็พาหลี่ว์ซือไปเขตที่แปด
หลี่ว์ซือเอ่ยเตือนว่า “เขตที่แปดค่อนข้างพิเศษ”
”พิเศษ? …พิเศษอย่างไร” ลู่เฉินไม่ได้อยู่ที่นี่มาหนึ่งแสนปีแล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าเขตที่แปดเป็นอย่างไรในตอนนี้
”ว่ากันว่าเขตที่แปดมักจะมีภูตผีออกมาหลอกหลอน!”
“ภูตผีหลอกหลอน?”
“ใช่ ภูตผีพวกนั้นไม่มีร่าง แต่กลับซ่อนอยู่ในร่างคน แล้วปล่อยให้คนผู้นั้นตายอย่างช้า ๆ ราวกับถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง ดังนั้นเขตที่แปดจึงมีชื่อเรียกว่าเขตชั่วร้าย นอกจากพวกนักพรตหรือหลวงจีนแล้วก็ไม่ค่อยมีคนไปที่นั่น”
ลู่เฉินยิ้มหลังจากได้ยินสิ่งนี้ “น่าสนใจขนาดนั้นเลยหรือ?”
”ใช่” หลี่ว์ซือตอบ ทำให้ลู่เฉินกลับยิ่งสนใจมากขึ้นไปอีก “บางทีเราอาจจะพบพี่น้องสองคนนั้นที่นั่นก็ได้!”
หลี่ว์ซือไม่แน่ใจนัก ดังนั้นเขาจึงไม่ตอบคำใด ทำเพียงเดินตามไปอย่างเงียบงัน
ขณะที่กำลังเดินไป ลู่เฉินพลันหยิบสร้อยเส้นหนึ่งออกมา มันคือสร้อยที่หนานเหยาอยู่ในนั้น
ทว่าตั้งแต่ที่เข้ามาในแดนวิญญาณ หนานเหยาก็อ่อนแอลงมาก นางขี้เกียจแม้แต่จะพูดคุยจึงนั่งสมาธินิ่ง ๆ อยู่ในนั้น
”เจ้าสบายดีหรือไม่?” ลู่เฉินเห็นว่านางไม่ปริปากพูดนานแล้วจึงรู้สึกสงสัย
”ข้า… ข้ารู้สึกเหมือนกำลังจะตาย!” หนานเหยาไม่กระฉับกระเฉงเหมือนครั้งอดีต แต่ค่อนข้างหดหู่ราวกับว่าจะหายไปได้ทุกเมื่ออย่างไรอย่างนั้น
ลู่เฉินจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกล่าวปลอบ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าพักผ่อนก่อน แล้วข้าจะหาทางฟื้นฟูพลังให้เอง”
“จริงหรือ?” หนานเหยารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
”ข้ารักษาวาจาเสมอ!” พูดจบ ลู่เฉินก็เก็บสร้อยคอลงไปแล้วพึมพำกับตัวเองว่า “ถ้าเขตที่แปดมีภูตผีจริง ๆ ก็หมายความว่าที่นั่นน่าจะมีแหล่งพลังที่พวกภูตผีชอบ”
แต่ลู่เฉินก็แค่คาดเดา หากอยากแน่ใจก็จำต้องไปเยือนก่อน!
หลังจากเวลาผ่านไป ในที่สุดลู่เฉินและหลี่ว์ซือก็มาถึงเขตที่แปด
แต่ในขณะที่ก้าวเข้าไป ชายหนุ่มก็พลันสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่ผิดปกติ
ทว่าหลี่ว์ซือไม่ได้รู้สึกอันใดแม้แต่น้อย
ลู่เฉินตั้งสมาธิ เขาแผ่สัมผัสออกไปรอบข้าง และใช้เคล็ดวิชาหมื่นวิญญาณควบคู่ไปด้วย
เมื่อพบเข้ากับควันสีจาง ๆ แปลก ๆ รอบกาย ลู่เฉินก็สังเกตสิ่งเหล่านี้ เขาพึมพำเสียงเบาว่า “ดูเหมือนว่าเขตที่แปดจะน่าสนใจจริง ๆ ด้วย”
”มีสิ่งใดผิดปกติงั้นหรือ?”
“ในปราณฟ้าดินโดยรอบมีไอภูตผีปะปนอยู่!”
“ไอภูตผี? หมอกที่อยู่รอบ ๆ ต้นไม้ประหลาดนั่นน่ะหรือ?” หลี่ว์ซือตระหนกตกใจ
แต่ลู่เฉินส่ายหัว “ไอภูตผีพิเศษกว่าไอซากศพ และภายใต้สถานการณ์ปกติก็ยากที่จะแยกแยะ หรือแม้กระทั่งมันอาจหลอมรวมกับปราณโดยรอบ ทำให้ผู้คนสัมผัสถึงความผิดปกติไม่ได้”
”น่าทึ่งเช่นนั้นเชียวหรือ?”
ลู่เฉินพยักหน้า “ใช่แล้ว”
”แล้วเหตุใดถึงมีไอภูตผีที่นี่ล่ะ?” หลี่ว์ซือใคร่สงสัย ลู่เฉินจึงอธิบายว่า “มีความเป็นไปได้หลายอย่าง”
“อย่างไรบ้าง?”
“อย่างแรก มีรอยแยกอยู่ใกล้ ๆ และรอยแยกนี้เชื่อมกับเขตแดนภูตผี ทำให้ไอภูตผีตรงนั้นทะลุมาที่นี่ได้ อย่างที่สอง มีสมบัติวิญญาณบางอย่าง เช่น ศาสตราวุธวิถีภูตผี และอย่างที่สามคือมนุษย์ใช้ค่ายกลหรืออะไรบางอย่างสร้างไอภูตผีขึ้นมา”
“นี่มัน…” หลี่ว์ซือตกใจจนแน่นิ่งไปชั่วขณะ
“อย่างที่สองทำให้ทุกหนทุกแห่งมีไอภูตผีไม่ได้ แต่พวกเราเดินมาระยะหนึ่งแล้ว และพบว่ามันมีอยู่ทุกที่ ดังนั้นจึงตัดข้อนี้ออกไป ตอนนี้ก็มีโอกาสแค่อย่างแรกกับอย่างที่สามที่เป็นไปได้มากที่สุด!”
หลี่ว์ซือสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง “เช่นนั้น …มีรอยแยก? หรือมีคนสร้างขึ้นมา?”
“ไปเถิด ไปเขตที่แปด ประเดี๋ยวก็จะรู้คำตอบแล้ว”
ทว่าหลี่ว์ซือกลับเป็นกังวลเล็กน้อย “ข้าได้ยินมาว่าภูตผีบางตัวทรงพลังมาก และสามารถเข้าสิงร่างคนได้ ถ้าจัดการไม่ถูกวิธีอาจทำให้ตายโดยไม่รู้ตัว”
“โดยทั่วไปแล้วภูตผีในโลกมนุษย์มักสร้างความสับสน ทำให้ผู้คนเห็นภาพลวงตา จากนั้นก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัว ทว่าพลังโจมตีของพวกมันไม่แข็งแกร่งเลย”
”จริงหรือ?”
”ใช่ แต่ก็มีหลายประเภท หากเป็นผีร้ายที่ทรงพลังจะมีพลังในการหลอกลวงที่แข็งแกร่งมาก”
“แข็งแกร่งเพียงใด?”
”อย่างเช่นเข้าไปสิงสู่ในร่างกายของเจ้า แต่เจ้ากลับไม่รู้ตัว และหลอกลวงทำให้เห็นภาพลวงตาจนแยกแยะไม่ออก!”
“ภาพลวงตา?” หลี่ว์ซือมองไปที่ผู้พูดด้วยความประหลาดใจ
”ตัวอย่างเช่น ยามนี้มีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา แต่กลับมองไม่เห็นคนเหล่านี้ เพราะภูตผีกำลังบังตาอยู่” ลู่เฉินมองไปที่หลี่ว์ซือด้วยรอยยิ้ม
หลี่ว์ซือเริ่มตื่นตระหนกทันที “เช่นนั้นผลที่ตามมาจะไม่ร้ายแรงหรือ?”
“โดยทั่วไปแล้ว ตราบใดที่มีสมบัติวิญญาณที่ค่อนข้างแข็งแกร่งหรือฝึกฝนวิชาที่ใช้ต่อต้านสิ่งชั่วร้าย เจ้าจะสามารถต้านทานการบุกรุกของภูตผีปีศาจได้!”
”แล้วข้า…” หลี่ว์ซือไม่มีความสามารถนั้นน่ะสิ!
ลู่เฉินยกยิ้ม “อย่ากังวลไป ข้าจะวาดยันต์บนตัวเจ้า เพื่อไม่ให้ภูตผีเหล่านั้นมารุกรานได้!”
หลี่ว์ซือถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะรีบขอให้ลู่เฉินช่วยทันที
ว่าแล้วชายหนุ่มก็ทาผงยาที่คอของหลี่ว์ซืออย่างรวดเร็ว จนกระทั่งมีอักขระสีทองปรากฏขึ้นแล้วหายไปในร่างกายของอีกฝ่าย ลู่เฉินถึงได้ดึงมือออก “สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้เจ้าไม่ถูกรุกราน แต่ยังสามารถเห็นภูตผีที่ซ่อนตัวอยู่ในร่างของผู้อื่นได้!”
“จริงหรือ?”
ลู่เฉินพยักหน้าและพาเขาไปยังเมืองเล็ก ๆ ณ เขตที่แปด ซึ่งในระหว่างทาง… พวกเขาก็ได้เห็นสิ่งแปลกประหลาดมากมาย!