ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 123 ตำหนักวิญญาณสวรรค์อะไรนั่น ไม่เห็นจะแข็งแกร่งเลยสักนิด!
- Home
- ตำนานจอมราชันย์อหังการ
- บทที่ 123 ตำหนักวิญญาณสวรรค์อะไรนั่น ไม่เห็นจะแข็งแกร่งเลยสักนิด!
บทที่ 123 ตำหนักวิญญาณสวรรค์อะไรนั่น ไม่เห็นจะแข็งแกร่งเลยสักนิด!
ชายดาบคู่ผู้นี้หวาดกลัวยิ่งนัก เขาจ้องไปยังลู่เฉินพลางเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกัก “เจ้า เจ้ามันบ้าไปแล้ว!”
“บอกมาเสียเถิด”
“ข้าไม่บอก ข้าไม่อยากตาย!” ชายดาบคู่เอ่ยอย่างลุกลี้ลุกลน แต่ลู่เฉินกลับยิ้ม “หากเจ้าไม่พูด เจ้าก็มีเพียงทางเลือกเดียว… คือตาย!”
“แต่หากพูดไป ข้าก็ต้องตายเหมือนกัน!” เมื่อชายดาบคู่นึกถึงตำหนักวิญญาณสวรรค์ขึ้นมา ทั่วทั้งร่างก็พลันขนลุกตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม
ทว่าลู่เฉินไม่สนใจ เขาจ้องเขม่นไปยังชายดาบคู่ “ข้าสามารถช่วยเจ้าต่อต้านตำหนักวิญญาณสวรรค์ได้!”
“เจ้า เจ้าอย่ามาขี้โม้โอ้อวดหน่อยเลย!” ชายดาบคู่ผู้นี้ไม่เชื่อ เขาคิดว่าลู่เฉินพูดจาเกินจริงเพื่อหลอกเอาข้อมูล
แต่ใครจะคิดว่าลู่เฉินกลับหยิบป้ายสัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์ออกมาสามแผ่น ทำให้ชายดาบคู่ถึงกับเบิกตากว้าง “เจ้า เจ้าคือคนบ้านั่น?”
“โอ้? รู้จักข้าหรือ?”
“ช่วงนี้ได้ยินข่าวลือมาว่าที่แดนวิญญาณมีคนบ้าขั้นสร้างรากฐานผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น เมื่อพบเจอใครก็จะขอท้าประลองเข้าต่อสู้!”
ลู่เฉินที่ได้ยินพลันหัวเราะออกมา “ไม่ใช่เจอใครก็จะเข้าสู้ …แต่แท้จริงแล้วข้ามีจุดประสงค์อื่น”
ชายดาบคู่ไม่สนใจว่าลู่เฉินจะอธิบายเช่นไร เขากล่าวด้วยความตื่นตระหนก “นั่น นั่น”
“อย่าพูดไร้สาระ ข้าถามเจ้า ผู้ฝึกตนขั้นหลอมแก่นแท้เหล่านั้น แท้จริงแล้วมาทำอะไรที่นี่!”
“ข้า ข้าบอกไม่ได้!” คนผู้นี้ต่อให้ตายก็ไม่ยอมปริปาก
ลู่เฉินแสยะยิ้ม “เช่นนั้น ข้าจะทำให้เจ้าพูดเอง!!”
“อันใดนะ หมายความเช่นไร?”
ลู่เฉินหยิบเข็มออกมาเล่มหนึ่ง จากนั้นก็ปักไปบนหน้าผากของชายผู้นั้น อีกฝ่ายพยายามดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ปากจะพูดออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ “พบสุสานแห่งหนึ่งในป่ารกร้าง พวกผู้มีอำนาจเลยให้ผู้ฝึกตนขั้นหลอมแก่นแท้เข้าไปเพื่อสำรวจ แต่เมื่อเข้าไปแล้วก็ไม่มีใครออกมาอีกเลย!”
“สุสาน? สำรวจ?” ลู่เฉินประหลาดใจ
“ใช่” ชายดาบคู่พยักหน้าด้วยนัยน์ตาแดงก่ำราวกับกำลังจะร้องไห้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากพูดแต่ร่างกายกลับไม่สามารถควบคุมได้!
ลู่เฉินถือโอกาสถามเพิ่ม “ในป่านั่นมีสิ่งผิดปกติอันใดอีกหรือไม่?”
“มี มีไอมารมากมายแทรกออกมจากสุสานนั่น!” ชายดาบคู่ตอบ น้ำตาไหลอาบแก้มลงมา ขณะที่ปากก็กล่าวต่อ “เจ้า… เจ้าเลิกถามได้แล้ว ข้า ข้าต้องตายแน่!”
ขณะนั้นเอง จู่ ๆ ท้องฟ้าก็มืดลงในพลัน
ชายดาบคู่ที่เห็นเช่นนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “แย่แล้ว ข้าจบเห่แน่ ๆ! ตำหนักวิญญาณสวรรค์มาแล้ว!”
ผู้ฝึกตนขั้นหลอมแก่นแท้ที่อยู่รอบ ๆ มองเห็นตำหนักสีแดงหลังหนึ่งปรากฏบนผืนฟ้ามืดครึ้มอย่างรวดเร็ว พวกเขาพากันวิ่งไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อเห็นลู่เฉินและหลี่ว์ซือ รวมถึงชายดาบคู่ที่ถูกจับตัวไว้ พวกเขาก็หันมองหน้ากันทันที
“หรือว่าชายผู้นั้นจะคิดทรยศ?”
“แน่นอน มิเช่นนั้นตำหนักวิญญาณสวรรค์คงไม่ปรากฏออกมาแน่!”
“เฮอะ! คนทรยศ! ชีวิตก็ต้องจบไม่ดีเช่นนี้แหละ!” บางคนไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ส่วนคนอื่น ๆ ก็รู้แน่ว่าชายดาบคู่ผู้นี้ถือว่าจบเห่แล้ว!
แต่ใครจะคิดว่าลู่เฉินกลับหันไปพูดกับหลี่ว์ซือว่า “ดูเขาให้ดี ข้าจะไปที่ตำหนักวิญญาณสวรรค์นี่สักหน่อย!”
หลี่ว์ซือกังวลใจ “ระวัง ตำหนักวิญญาณสวรรค์นี้อาจจะไม่ง่ายดังที่คิดก็เป็นได้!”
ลู่เฉินยิ้ม “ข้าผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็มาก พบเจออะไรน่ากลัวลึกลับมาไม่น้อย ดังนั้นเพิ่มอีกสักอย่างคงไม่เป็นไรหรอก”
พูดจบ ทุกคนก็ได้เห็นภาพที่ชวนแปลกใจ นั่นก็คือลู่เฉินได้หยิบคันธนูออกมาและโจมตีไปยังตำหนักแห่งนั้น!!
“ชายผู้นี้บ้าไปแล้ว?”
“ต้องบ้าแน่ ๆ!”
“ใช่!! เพราะบ้าถึงได้กล้าโจมตีตำหนักวิญญาณสวรรค์!”
ขณะนั้นเอง รอยฝ่ามือเลือดขนาดใหญ่ก็พุ่งลงมากลางอากาศ โดยมีเป้าหมายคือชายดาบคู่ผู้นั้น ซึ่งเพียงแค่เห็นฝ่ามือนั้น มันก็มากพอแล้วที่จะทำให้ชายผู้นั้นหวาดกลัวจนร้องออกมา “ไม่! …ข้าไม่อยากตาย!”
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นถัดมากลับทำให้บรรดาผู้คนโดยรอบตกตะลึง!
ลู่เฉินให้ชายดาบคู่และหลี่ว์ซือหมอบลง ส่วนเขาเองก็ยืนอยู่ข้าง ๆ…. ซึ่งการจัดวางตำแหน่งเช่นนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า… ลู่เฉินต้องการรับมือกับฝ่ามือนี้!!
ทุกคนคิดว่าลู่เฉินจะต้องถูกบดขยี้จนไม่มีชิ้นดีแน่ แต่ใครจะคิดว่าลู่เฉินกลับใช้ออกด้วยกำแพงพันชั้น เพื่อสร้างกำแพงปราณกว่าแปดสิบแปดชั้นขึ้นมา และเมื่อฝ่ามือเลือดขนาดใหญ่โจมตีลงมา กำแพงก็แตกกระจายออกไปแปดสิบชั้น แต่… มันก็ยังคงเหลืออีกแปดชั้น! ทำให้ลู่เฉินไม่ได้รับอันตรายใด ๆ
เมื่อเห็นภาพดังกล่าว ทุกคนก็พากันเบิกตากว้างอ้าปากค้าง
“เขา… เขาต้านทานได้จริงหรือ?”
“นี่ เป็นไปได้เช่นไร?”
“เขาเป็นใครกัน?”
“คนบ้าคนนั้นไง คนที่กลุ่มกองกำลังมากมายต่างก็ต้องการตัว!” มีบางคนดูเหมือนว่าจะจำได้ ทำให้คนอื่น ๆ พากันอุทานออกมา
ชายดาบคู่ที่นอนอยู่นั้นคล้ายไม่รับรู้เรื่องราวภายนอกแม้แต่น้อย เขาทั้งร้องไห้และตะโกนออกมา “อย่า… อย่าฆ่าข้า!”
แต่เมื่อฝ่ามือโลหิตมาไม่ถึงเสียที มันก็ทำให้ชายดาบคู่ที่แปลกใจต้องเงยหน้าขึ้น ก่อนที่เขาจะได้พบเข้ากับฝ่ามือที่สองซึ่งกระหน่ำซัดลงมา!!
ทว่า ‘กำแพงพันชั้น’ ของลู่เฉินก็สกัดกั้นไว้ได้อย่างง่ายดายอีกครั้ง!!!!!
และครั้งนี้ ชายดาบคู่ได้เห็นด้วยตาทั้งสองข้างอย่างชัดเจน เขาถึงกับตกตะลึง “ต้านทานไว้ได้แล้ว?”
หลี่ว์ซือมองไปยังชายดาบคู่แล้วกล่าวว่า “เขาไม่ได้อ่อนแออย่างที่เจ้าคิด!”
“แต่… แต่วิชาฝ่ามือนี้ สามารถบดขยี้ผู้ฝึกตนขั้นหลอมแก่นแท้ที่แข็งแกร่งได้!” เมื่อชายดาบคู่คิดไปถึงการลงโทษของตำหนักวิญญาณสวรรค์ในคราวก่อน ๆ เจ้าตัวก็รู้สึกตัวสั่นขึ้นมา
ทว่าหลี่ว์ซือไม่ได้พูดสิ่งใด เขาเพียงจ้องมองไปยังด้านบน
ขณะนั้นฝ่ามือนับไม่ถ้วนได้พุ่งลงมาจากกลางอากาศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งลู่เฉินก็ได้เผยยิ้มเย็นชาออกมา “อยากวัดฝีมือกับข้าใช่หรือไม่? ดี ข้าจะสนองเอง!”
พูดจบ แววตาของลู่เฉินก็พลันเปล่งประกายความบ้าคลั่งออกมา
ทางฝั่งหลี่ว์ซือ เขากลัวว่าลู่เฉินจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา จึงพุ่งหมัดส่งแรงอัดอากาศมุ่งตรงไปยังตำหนักวิญญาณสวรรค์ ทำให้ตัวตำหนักที่อยู่กลางอากาศพลันสั่นไหวเล็กน้อย
ฝูงชนที่รับชมสิ่งนี้ต่างก็ตกตะลึง
“คนที่สวมหน้ากากเงินนั่น… น่ากลัว!”
“เขาคือคนของสำนักไร้สุญญะ!”
“อันใดนะ? ศิษย์สำนักไร้สุญญะผู้นั้นน่ะหรือ?”
“ใช่!”
“มิน่าล่ะ ถึงได้น่ากลัวเช่นนี้!”
ในขณะนั้นเอง ตำหนักวิญญาณสวรรค์ที่ลอยอยู่ก็ได้หายไป ทิ้งไว้เพียงท้องนภาที่ค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติเมื่อเมฆดำจางหาย ผู้คนที่เห็นต่างก็สับสนงุนงง
เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นตำหนักวิญญาณสวรรค์ยอมล่าถอย ดังนั้นพวกเขาจึงตกตะลึง โดยเฉพาะชายดาบคู่ที่รู้สึกสับสนยิ่งกว่าใครเพื่อน “ข้า… ข้ายังไม่ตาย?”
“ข้าบอกแล้วว่าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตาย เช่นนั้นเจ้าจะตายได้อย่างไร?” ลู่เฉินพูดด้วยความมั่นใจ
ชายดาบคู่มองลู่เฉินราวกับเห็นสัตว์ประหลาด แต่ด้วยกลัวว่าหลังจากจบเรื่องแล้วจะถูกตำหนักวิญญาณสวรรค์ตามแก้แค้น เขาจึงคุกเข่าและร้องขอลู่เฉินทันที “ผู้อาวุโส เช่นนั้น ช่วย… ช่วยข้า!”
“ช่วยเจ้า?”
“ใช่ ข้า ข้าไม่อยากถูกตำหนักวิญญาณสวรรค์ตามฆ่า!”
“เจ้าเป็นคนสังกัดกลุ่มกองกำลังเขตใด?”
ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ เป็นตายร้ายดีเช่นไรชายดาบคู่ก็ไม่มีทางเอ่ยออกมา แต่ตอนนี้เขากลับรีบพูดทันทีว่า “เขตที่ห้า สำนักพันสูญ!”
ลู่เฉินพึมพำเสียงเบา “สำนักพันสูญ”
“ใช่!” ชายดาบคู่พยักหน้า
“หมายความว่า การรักษาความสงบของป่านี้เป็นหน้าที่ของสำนักพันสูญ?”
“ใช่ขอรับ!”
“แล้วผู้นำของพวกเจ้าเล่า?” ลู่เฉินถามด้วยความแปลกใจ ชายดาบคู่จึงตอบกลับมาว่า “ท่านผู้นำ… อยู่ที่ทางเข้าสุสาน!”
“เช่นนั้นหรือ…. อืม เจ้า! หากเจ้าอยากจัดการตำหนักวิญญาณสวรรค์ เช่นนั้นก็จงนำทางไป!”
จบประโยคดังกล่าวของลู่เฉิน ชายผู้นั้นก็รีบนำทางไปทันที ส่วนผู้คนที่เฝ้ามองอยู่รอบ ๆ ก็ไม่กล้าขัดขวาง เพราะว่าแม้แต่ตำหนักวิญญาณสวรรค์ ลู่เฉินยังไม่เกรงกลัว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดว่าตนจะมีกำลังมากพอที่จะขัดขวางชายหนุ่มได้
คนเหล่านั้นจึงทำได้เพียงเปิดทาง
ลู่เฉินเดินนำหลี่ว์ซือไปโดยมีชายดาบคู่ที่เดินนำอยู่ด้านหน้า
พวกเขาเดินลึกเข้าไปโดยมีคนอีกไม่น้อยติดตามมา จนกระทั่งมาถึงป่าอันแห้งแล้งแห่งหนึ่ง
ต้นไม้ในที่นี้แม้แต่ใบไม้สักใบก็ไม่มี จะมีก็แต่ความแห้งแล้งที่แผ่บรรยากาศปกคลุมไปทั่ว
ไม่เพียงเท่านั้น พลังปราณของที่นี่ก็เบาบางมากมาก เมื่อเทียบกับด้านนอกแล้ว หากข้างนอกมีปราณหนาแน่นเต็มสิบส่วน เช่นนั้นด้านในนี้ก็มีเพียงแค่หนึ่งส่วนเท่านั้น!
“เป็นเช่นนี้เลยหรือ?” ลู่เฉินรู้สึกว่าที่นี่ต้องมีอะไรบางอย่างที่ส่งผลต่อพลังปราณที่นี่แน่ และขณะนั้นเอง ก็ได้มีเสียงหนึ่งดังมาจากภายในเกี้ยวหยกขาวที่ถูกแกะสลักไว้ “ข้าให้พวกเจ้ารักษาความสงบภายนอกไว้ไม่ใช่หรือ?”
ทันทีที่ได้ยินเสียง คนเหล่านั้นต่างหวาดกลัวจนไม่รู้จะพูดอันใด พวกเขาทำได้เพียงพากันกล่าวแสดงความเคารพ “ท่านผู้นำ!”
ชายดาบคู่หันไปอธิบายแก่ลู่เฉินว่า “นั่น ภายในเกี้ยวนั่นก็คือท่านไป๋ ผู้นำไป๋!”
ลู่เฉินส่งเสียงอืมอย่างไม่ใส่ใจ ส่วนท่านผู้นำแห่งสำนักพันสูญก็ได้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงโมโห “เจ้าคนนอกสองคนนั้น หากไม่อยากตายก็จงไสหัวไป!”
แต่ทุกคนกลับพากันพูดออกมาอย่างพร้อมเพียง “ไปไม่ได้!”
“พวกเจ้าหมายความเช่นไร?” เป็นครั้งแรกที่ผู้นำแห่งสำนักพันสูญเห็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตนมีทางทาง ‘น่ากลัว’ เช่นนี้