ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 116 โลหิตหยดหนึ่ง ตามหาชายชุดดำ
บทที่ 116 โลหิตหยดหนึ่ง ตามหาชายชุดดำ
จู่ ๆ ลู่เฉินก็ยื่นมือออกมา โดยมีกระบี่ไม้ที่สร้างมาจากต้นไม้ผีวางไว้บนนั้น
การกระทำนี้ส่งผลให้ชายชราตกใจจนสะดุ้งโหยง “เจ้ากำลังจะทำอันใด?”
”ถ่ายทอดเนื้อหาของเคล็ดวิชาให้เจ้า” หลังจากที่ลู่เฉินเอ่ยจบเขาก็หลับตาลง และภาพก็ถูกถ่ายทอดไปตรงหน้าชายชรา
ชายชราที่เห็นภาพเหล่านั้นก็พลันตกใจ “นี่… นี่คืออะไร”
”เคล็ดวิชารวบรวมศพ มันสามารถรวบรวมไอซากศพเข้าด้วยกันได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เจ้าดูดซับมันได้เร็วขึ้น”
“จริงหรือ?” ชายชราเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ลู่เฉินเพียงพูดต่อไปว่า “นอกจากนี้ เคล็ดวิชารวบรวมศพนี้ยังมีประโยชน์อีกอย่าง”
”ประโยชน์?”
”มันสามารถเพิ่มขั้นพลังของเจ้าได้”
”เพิ่มขั้นพลัง? มันวิเศษขนาดนั้นเลยหรือ?” ชายชราไม่ค่อยจะเชื่อ
”เคล็ดวิชารวบรวมซากศพนี้แบ่งออกเป็นสิบขั้น ขั้นแรก ความเร็วในการดูดซับสิบเท่า ซึ่งจะทำให้ขั้นพลังของเจ้าพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นสิบเท่าอีกด้วย”
“อันใดนะ?” ชายชราพลันตกตะลึง
จังหวะนั้นลู่เฉินพลันชักมือกลับมา ก่อนจะลืมตาขึ้น มองไปที่กระบี่เล่มนั้นแล้วพูดว่า “เจ้าจงลองใช้มันตามวิธีที่ข้าบอกเจ้า”
ชายชราลองทดสอบดูทันที และพบว่าการดูดซับนั้นรวดเร็วขึ้นสิบเท่าจริง ๆ นี่จึงทำให้เขาประหลาดใจนัก
”นี่มัน…”
“การฝึกเคล็ดวิชานี้ถูกจำกัดด้วยขั้นพลังของเจ้า และด้วยความสามารถของเจ้าในตอนนี้ เจ้าสามารถใช้ได้แค่ขั้นแรกเท่านั้น”
ชายชราไม่คาดคิดว่าตนจะถูกจำกัดไว้ ทว่าความเร็วสิบเท่าก็มากพอแล้วที่จะทำให้เขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “น่าทึ่งมาก น่าทึ่งมาก!”
ทางด้านเจี่ยลัว เขาเองก็มองดูอย่างอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน จนกระทั่งลู่เฉินพูดกับเขาว่า “ตอนนี้ข้าจะสอนวิชากระบี่ให้เจ้าสักวิชา”
“วิชากระบี่?”
“ใช่ เคล็ดกระบี่กวาดล้างหมื่นศพ!”
เจียลั่วที่ได้ยินก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “กระบี่กวาดล้างหมื่นศพ?”
ลู่เฉินพยักหน้า “วิชากระบี่นี้ เมื่อใช้กับร่างกายของเจ้าแล้ว มันจะสามารถสร้างผลกระทบที่คาดไม่ถึง”
”ผู้อาวุโส โปรดบอกมาเถิด!” เจี่ยลัวอยากรู้ยิ่งนัก ลู่เฉินจึงค่อย ๆ อธิบายให้ฟัง และยังวางมือบนไหล่ของเจี่ยลัว จากนั้นก็ถ่ายทอดขั้นตอนการฝึกฝนทั้งหมดให้เขา
เจี่ยลัวที่รับวิธีการฝึกมาแล้วพลันตกตะลึง “วิชากระบี่นี้ทรงพลังยิ่ง!”
”หนึ่งเล่มฟันซากศพ สองเล่มต้านทานซากศพ สามเล่ม… จากนี้เจ้าจงใช้เวลาทดลองดูเองเถิด” ลู่เฉินไม่พูดอะไรมาก แต่ปล่อยให้เจี่ยลัวเรียนรู้ด้วยตัวเอง
เจี่ยลัวกำลังตื่นเต้นเป็นอย่างมากและอยากจะฝึกฝนทันที “ขอรับ ผู้อาวุโส!”
”เอาล่ะ ข้ามีบางอย่างที่ต้องทำ ดังนั้นในช่วงเวลานี้ พวกเจ้าก็ฝึกฝนร่วมกันเถิด หากมีปัญหาใด ๆ เจ้าสามารถตามหาข้าผ่านศิลาวิญญาณสื่อสารได้”
“ขอรับ!” เจี่ยลัวตอบรับ
จากนั้นลู่เฉินก็พาเจี่ยลัวออกจากค่ายกล
ทางด้านหลี่ว์ซือที่อยู่ข้างนอก เขาก็ยังคงกระวนกระวายใจยิ่งนัก ในขณะที่คนอื่น ๆ เองก็อยากรู้นักว่าเกิดอะไรขึ้นในม่านหมอก
และหลังจากที่ลู่เฉินกับเจี่ยลัวปรากฏตัวขึ้นอย่างปลอดภัย หลี่ว์ซือก็พลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อออกมาแล้ว ลู่เฉินก็เอ่ยกับเจี่ยลัวว่า “เจ้ารีบไปเถิด”
เจี่ยลัวพยักหน้าก่อนจะหันหลังและจากไป
”พวกเราก็ไปกันเถิด” ลู่เฉินหันมาเอ่ยกับหลี่ว์ซือ
หลังจากที่ทุกคนเห็นว่าลู่เฉินไม่ต้องการต้นไม้ต้นนั้นแล้ว พวกเขาก็มองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
จนกระทั่งมีคนเสนอให้ลองเข้าไปดูในค่ายกล
”แต่ค่ายกลนี้ไม่ธรรมดาเลย ข้าลองแล้วก็ไม่สามารถเข้าไปได้อยู่ดี!” บางคนพูดอย่างหดหู่ แต่อีกคนพลันพูดว่า “เช่นนั้นก็ไปหาปรมาจารย์ค่ายกลเถอะ!”
ทันใดนั้น พวกเขาก็พากันออกตามหาปรมาจารย์ค่ายกล เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยทำลายค่ายกลนี้ และเปิดช่องให้พวกเขาได้คว้าผลไม้สีดำบนต้นไม้มาไว้ในมือ!!
…
หลี่ว์ซือมองไปที่ลู่เฉินอย่างสงสัย “ยามนี้พวกเราจะไปที่ใดกัน?”
”แน่นอนว่าข้ากำลังตามหาชายชุดดำ” ลู่เฉินหยิบเลือดหยดนั้นออกมา มันคือเลือดของชายชุดดำที่ถูกบรรจุไว้ในขวดน้ำค้างบุปผา เพื่อที่ว่ามันจะยังคงสดใหม่อยู่เสมอ
เมื่อเห็นเลือดในขวด หลี่ว์ซือก็พลันประหลาดใจ “เลือดหยดนี้ถูกเก็บรักษาไว้ได้ดีจริง ๆ!”
”แน่นอน” ลู่เฉินมองขวดที่ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์มอบให้ด้วยรอยยิ้ม
และในจังหวะนั้นเอง ลู่เฉินพลันสำแดง ‘วิชาดูดเลือด’ ออกมา!
วิชาดูดเลือดนี้ นอกจากมีหน้าที่ในการดูดเลือดคนอื่น ๆ แล้ว มันยังมีประโยชน์อีกอย่าง… นั่นคือใช้ติดตามตัวคน!
ลู่เฉินหลับตา จากนั้นมือที่กุมโลหิตข้างนั้นก็ถูกห่อหุ้มด้วยของเหลวสีโลหิต ซึ่งดูแล้วแปลกประหลาดยิ่งนัก
แม้กระทั่งหลี่ว์ซือก็ยังถามด้วยความสงสัย “นี่คือ?”
”ข้าจะค้นหาชายชุดดำด้วยโลหิตนี้”
”นี่… มันจะใช้ได้หรือ?” หลี่ว์ซือรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
”ตราบใดที่อยู่ในระยะหนึ่งร้อยลี้ ข้าย่อมสัมผัสได้ทันที”
ทว่าคล้ายกับในระยะร้อยลี้นี้จะไม่พบเจอสิ่งใด ลู่เฉินจึงขยายการค้นหาออกไปเป็นสองร้อยลี้ แต่ก็ยังคงไม่พบ ชายหนุ่มจึงขมวดคิ้วแน่น “หรือว่าเขาหนีไปไกลแล้ว?”
แต่อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงหนีไปได้ไกลเพียงนั้น?
ลู่เฉินคาดเดาว่าต้องมีอะไรผิดปกติ เขาจึงก้าวถอยหลังและเพ่งสมาธิตั้งมั่น
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ลู่เฉินก็รู้สึกถึงลมหายใจแผ่วเบา…
ซึ่งมันเป็นของชายชุดดำ!
ชายชุดดำซ่อนตัวอยู่ในที่แห่งหนึ่ง ที่แห่งนั้นมีดอกไม้และต้นไม้อยู่รอบด้าน ทว่าเพราะกลิ่นอายของดอกไม้และต้นไม้เหล่านี้ทำให้เมื่อครู่ลู่เฉินเผลอมองข้ามไป
ยามนี้เมื่อพินิจให้ดีก็จะพบกลิ่นอายของชายชุดดำในดงดอกไม้และต้นไม้เหล่านั้น!
ลู่เฉินจึงลืมตาขึ้นและฉีกยิ้มทันที “มันอยู่ห่างออกไปยี่สิบลี้”
หลี่ว์ซือพลันสงสัย “ชายชุดดำผู้นั้นคือใครกันแน่?”
”ถ้าจับเขาได้ เจ้าก็จะรู้” ลู่เฉินเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครเช่นกัน เขารู้เพียงว่าอีกฝ่ายเป็นคนของพันธมิตรชิงรากวิญญาณ
ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ลู่เฉินเอ่ยจบ เขาก็พาหลี่ว์ซือไล่ตามไปทันที!
…
ห่างออกไปยี่สิบลี้ ภายในหุบเขาแห่งหมู่มวลบุปผา ชายชุดดำกำลังนั่งขัดสมาธิรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในดงดอกไม้และต้นไม้
เมื่อลู่เฉินมาถึง เขาก็ไม่ได้เข้าไปใกล้ทันที แต่กลับวางค่ายกลไว้รอบ ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายหนีไปได้
ทางด้านชายชุดดำที่กำลังรักษาอาการบาดเจ็บในหมู่มวลบุปผา เขาย่อมไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีใครมาที่นี่ และยิ่งคิดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะตามหาพบ เขาจึงยังคงหลับตาอยู่ขณะที่ลู่เฉินวางค่ายกลจนเสร็จสิ้น
หลังจากนั้นลู่เฉินก็ค่อย ๆ เดินไปหาอีกฝ่าย
เมื่ออยู่ห่างจากชายชุดดำราว ๆ หนึ่งร้อยก้าว อีกฝ่ายก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติในทันที จากนั้นก็หยัดกายลุกขึ้น
และเมื่อพบลู่เฉิน ดวงตาของอีกฝ่ายก็พลันเบิกกว้าง “เจ้าหาข้าเจอได้อย่างไร!”
“ความลับนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะบอกเจ้าหรือ?” ลู่เฉินถามกลับ
ชายในชุดดำพลันแค่นเสียงหึ “เจ้าคิดว่าถ้าเจอข้าแล้วจะจับข้าได้หรือ?”
ยามนี้เอง หลี่ว์ซือได้เผยตัวออกมายืนอยู่ข้างหลังชายชุดดำ ทำให้อีกฝ่ายหน้าซีดด้วยความตกใจ และคิดจะหนีออกจาก ‘สนามรบ’ แต่หลี่ว์ซือกลับชกเข้าไปหมัดหนึ่ง!
ชายชุดดำที่ถูกโจมตีล้มกระแทกลงกับพื้นอย่างแรงทันที
และหลังจากที่ชายในชุดดำกรีดร้องออกมา เขาก็หยิบยันต์ลี้ธรณีขึ้นมา
ลู่เฉินที่เห็นเช่นนั้นก็ฉีกยิ้มอย่างชั่วร้าย “อย่าเปลืองแรง ที่นี่ใช้ยันต์ลี้ธรณีไม่ได้หรอก!”
ทว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อ เขาจึงขยี้ยันต์ลี้ธรณี แต่ยันต์กลับไม่มีผลใด ๆ ทำให้ชายชุดดำถึงกับตกใจ “นี่… นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ลู่เฉินเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายชุดดำและเอ่ยอย่างเย็นชา “บอกข้ามาว่าเจ้าเป็นใคร และเหตุใดเจ้าถึงคิดชิงรากวิญญาณของคนตระกูลหลัน!”