ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 112 ข้ารับใช้ของจักรพรรดิ มีประโยชน์มาก!
บทที่ 112 ข้ารับใช้ของจักรพรรดิ มีประโยชน์มาก!
ลู่เฉินหยิบเตาออกมา จากนั้นจึงเริ่มสื่อสารกับจิตวิญญาณของเตา
จนกระทั่งเตานี้เริ่มจำลู่เฉินได้ มันจึงค่อย ๆ แปลงโฉมใหม่ทันที
เงาสว่างสีดำของเตาดำปรากฏออกมา และรอยสนิมที่มีก็จางหายไป
หลังจากเห็นเช่นนั้น หลี่ว์ซือก็พลันตกตะลึงขึ้นมา “ที่แท้มันก็…!”
ลู่เฉินยังคงยุ่งเรื่องของตนเองต่อไป และการปรุงยานี้ก็จำเป็นต้องใช้เวลานาน
หลายวันผ่านไป
เรื่องของลู่เฉินได้แพร่กระจายออกไปในแดนวิญญาณแห่งนี้
ไม่เพียงเท่านั้น บรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลายก็ได้เผยแพร่คำสั่งออกไป พวกเขาต่างสั่งให้กองกำลังของตนไปจับตัวลู่เฉิน ทำให้เขตทั้งหลายในแดนวิญญาณเกิดความวุ่นวายไปทั่ว
มีบางคนเสนอว่าให้ไปตามหาในสถานที่ที่เต็มไปด้วยไอซากศพ
และมีบางคนเสนอว่าให้ไปที่หอหมื่นสรรพสิ่ง
ทำให้รอบ ๆ นั้นมีผู้คนนับไม่ถ้วนเฝ้ามองอยู่
อย่างไรก็ตาม ลู่เฉินได้กลายเป็นดั่งหมอกควันลวงตา ทำให้พวกเขาไม่สามารถตามหาพบได้ ทำได้เพียงรอคอยอยู่รอบ ๆ
…
ราวครึ่งเดือนผ่านไป ลู่เฉินพลันสูดหายใจเข้าลึก เก็บมือทั้งสองข้าง และมองไปยังหลี่ว์ซือที่กำลังตกตะลึงแล้วเอ่ยว่า “เสร็จแล้ว!”
หากจะกล่าวถึงก่อนหน้านี้ หลี่ว์ซือก็คงคิดว่าการปรุงยาของลู่เฉินนั้นนับเป็นเรื่องตลก แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าพูดเช่นนั้นแล้ว
เพราะครึ่งเดือนที่ผ่านมา หลี่ว์ซือได้รับรู้ถึงความน่ากลัวของลู่เฉิน โดยเฉพาะการควบคุมเปลวไฟและเตาหลอมที่ทำให้หลี่ว์ซือได้เปิดโลกทัศน์มากขึ้น
“อึ้งอะไรอยู่ รีบดูเข้าสิ” ลู่เฉินบอกให้หลี่ว์ซือเปิดฝาเตา
หลี่ว์ซือพลันได้สติกลับมา เขามองลู่เฉินด้วยความสงสัย “ได้จริงหรือ?”
“อืม เปิดฝาเตา ดูว่าผลงานข้าเป็นเช่นไร” แท้จริงแล้วตัวลู่เฉินเองก็รู้สึกตั้งตารอเช่นกัน เพราะขั้นพลังของเขาในตอนนี้ก็ยังนับว่าอ่อนแอเกินไป
ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่าเม็ดยาที่ออกมานั้นจะมีคุณภาพมากน้อยเพียงใด
เมื่อหลี่ว์ซือเปิดฝาเตาด้วยความตื่นเต้น มันก็ได้เผยให้เห็นเม็ดยาสิบเม็ด ที่ทั้งใหญ่เล็กปนกันไป ยาเหล่านี้พากันเปล่งแสงวาววับอยู่ตรงหน้าเขา
เม็ดยาที่ดีที่สุดคือระดับแปดดาว… แบบแย่สุดคือระดับห้าดาว…
“เม็ดยาชำระล้างห้าถึงแปดดาว?” หลี่ว์ซือเบิกตากว้าง ส่วนลู่เฉินกลับมองเม็ดยาพวกนั้นด้วยความผิดหวังเล็กน้อย “ระดับดีหน่อยมีสามเม็ด พอรับได้สี่เม็ด นอกนั้นเป็นระดับกลาง ๆ ทั้งหมด”
“นี่… นี่ยังไม่ดีพออีกหรือ?” หลี่ว์ซือรู้สึกตกตะลึง
“แม้แต่ระดับเก้าดาวก็ไม่มี ดังนั้นมันจึงไม่ถือว่าดีนัก”
ลู่เฉินรู้ว่าการปรุงหลอมยาครั้งนี้อยู่ในระดับกลาง ๆ พอรับได้ ทว่าก็ไม่มีอะไรน่าภูมิใจนัก
แต่สำหรับหลี่ว์ซือแล้ว ผลลัพธ์เช่นนี้ก็นับว่าน่าเหลือเชื่อมากแล้ว!
เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของหลี่ว์ซือ เขาเคยได้มันมาเพียงหนึ่งเม็ด และมันก็อยู่ในระดับห้าดาวเท่านั้น! ดังนั้นเขาจึงเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้นว่า “เท่านี้ก็ดีเยี่ยมมากแล้ว!!”
หลี่ว์ซือคล้ายกลัวว่าลู่เฉินจะไม่ให้ตน จึงรีบเก็บเม็ดยาพวกนี้มาทันที
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของอีกฝ่าย ลู่เฉินก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ไม่มีใครมาแย่งเจ้าไปหรอก ใจเย็น ๆ!”
“จากนี้ไป ข้าจะขอเป็นข้ารับใช้ของท่าน หากต้องการทำอะไร เพียงถ่ายทอดคำสั่งให้ข้าก็พอ!” หลี่ว์ซือที่ดีใจยิ่งนักรีบกินยาหนึ่งเม็ดลงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทอดกายลงอย่างสบายใจ
ลู่เฉินมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ
หลังจากหลี่ว์ซือนั่งทอดกายอยู่นาน เจ้าตัวก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น “หนึ่งเม็ดสามารถอยู่ได้หนึ่งปี!”
“อยู่ได้หนึ่งปี?”
“สำนักไร้สุญญะของพวกเรา ถ้าหากต้องการฝึกทักษะทางร่างกายให้ไปถึงขีดสุด จำเป็นต้องปรับสภาพร่างกาย และเม็ดยาชำระล้างนี้สามารถช่วยพวกเราได้ แต่จำเป็นต้องใช้เวลาหนึ่งร้อยปีจึงจะฝึกสำเร็จ ดังนั้นพูดง่าย ๆ คือต้องมีหนึ่งร้อยเม็ด จึงจะสามารถทำให้ร่างกายของเราพัฒนาได้!”
ลู่เฉินได้ฟังเรื่องทั้งหมดจึงเอ่ยถามออกมา “เช่นนั้นเจ้ายังขาดอีกกี่เม็ด?”
“ยังขาดอีกเก้าสิบกว่าเม็ด!” หลี่ว์ซือตอบอย่างลำบากใจ
“เจ้าไม่กลัวว่าจะหามันไม่ได้ไปตลอดหรือ?” ลู่เฉินถามอย่างแปลกใจ แต่หลี่ว์ซือกลับตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เมื่อก่อนข้าก็คิดเช่นนั้น แต่ตอนนี้มีเจ้าแล้ว อย่าว่าแต่หนึ่งร้อยเม็ดเลย หากข้าอยากได้หนึ่งพันเม็ด นั่นก็คงเป็นไปได้!”
ลู่เฉินแสยะยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องการพึ่งพาข้า?”
“ไม่ เรากำลังร่วมมือกัน!” หลี่ว์ซือรีบอธิบายทันที
ทว่าลู่เฉินกลับส่ายหัว “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ!”
“ไปที่ใด?!”
“ข้าจะไปสถานที่ซึ่งมีไอซากศพ ดูว่าเขาเป็นเช่นไรบ้าง” ชายหนุ่มไม่ได้รับข่าวคราวจากเจี่ยลัวมาสักพักแล้ว ดังนั้นจึงรู้สึกกังวลเล็กน้อย
ในไม่ช้า คนทั้งคู่ก็ออกเดินทางทันที!
แต่เมื่อลู่เฉินมาถึงป่า เขาก็พบว่าที่แห่งนี้มีผู้คนมากมายนัก
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อคนพวกนี้เห็นลู่เฉินปรากฏตัวออกมา พวกเขาก็พากันพุ่งออกมาจากป่าเพื่อล้อมลู่เฉินและหลี่ว์ซือไว้
คนเหล่านี้… เห็นทีจะไม่ใช่คนจากเขตที่หนึ่ง ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงรู้แล้วว่าผู้ที่อยู่ข้าง ๆ ลู่เฉินคือหลี่ว์ซือ!
ดังนั้นทันทีที่เข้าล้อม พวกเขาก็ได้ขู่หลี่ว์ซือว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ไสหัวไปซะ!”
“ถ้าไม่อยากตายก็รีบไสหัวไป!”
ทว่าหลี่ว์ซือคือใคร? เขาคือผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง อยู่ที่นี่อาจจะพูดได้ว่าแม้ไม่ใช่เจ้าถิ่นผู้ปกครองเขตพื้นที่ แต่อย่างน้อยก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่รองจากผู้นำเหล่านั้น! แต่พวกมดตัวเล็กตัวจ้อยพวกนี้… กลับพูดกับเขาเช่นนั้น!
ดังนั้นคิ้วทั้งสองของหลี่ว์ซือจึงขมวดเข้าหากัน “คนที่ควรไสหัวไปคือพวกเจ้า!”
“รู้หรือไม่ว่าพวกข้าเป็นใคร?” คนเหล่านั้นต่างไม่พอใจ พากันอวดอ้างถึงกลุ่มกองกำลังที่ตนสังกัดอยู่
ทำตัววางก้ามเสียใหญ่โต …ที่แท้ก็ยืมอำนาจผู้อื่นเข้าข่ม!
“ดูเหมือนว่าแต่ละกองกำลังจะได้รับคำสั่งมาจากตำหนักวิญญาณสวรรค์!” ลู่เฉินเข้าใจในทันที จึงฉีกยิ้มออกมา ก่อนจะเป็นคนผู้หนึ่งที่เอ่ยออกมาด้วยแววตาเย็นชา “พ่อหนุ่ม หากไม่อยากตาย ก็จงมากับพวกเรา!”
ลู่เฉินชี้ไปยังหลี่ว์ซือ “เช่นนั้นพวกเจ้าลองถามเขาดู”
เมื่อชายหนุ่มพูดจบ เขาก็ไม่สนใจคนพวกนี้อีก
ทุกคนไม่คิดว่าลู่เฉินจะใจกล้าเช่นนี้ แต่ละคนจึงเตรียมที่จะลงมือทันที พวกเขาต่างหยิบสมบัติวิญญาณออกมา ทว่าโดยไม่มีใครคาดคิด… หมัดของหลี่ว์ซือกลับกวาดออกมาในพลัน ทำให้คนพวกนี้ถึงกับกระเด็นออกไป!
ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้ผู้ที่กำลังเข้ามาและผู้คนที่มองดูอยู่รอบ ๆ ต่างก็พากันตกตะลึง
“ไสหัวไป!” ถึงแม้ว่าหลี่ว์ซือจะไม่มีพลังปราณ แต่พละกำลังของร่างกายนี้ก็มากพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนหวาดกลัว ส่งผลให้ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างพากันวิ่งหนีไปในพริบตา
ส่วนลู่เฉินก็เดินตรงไปยังเขตไอซากศพอย่างไม่แยแส
ทว่าเมื่อเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ลู่เฉินก็พลันสัมผัสได้ถึงคนชุดดำผู้หนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น
คนชุดดำผู้นี้ ที่แท้ก็คือผู้ชิงรากวิญญาณที่เคยปะทะกับเขาเมื่อตอนที่หลันเย่าอยู่ด้วยในครานั้น!
“ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่?” สิ่งนี้ทำให้ลู่เฉินเกิดความสงสัยขึ้นมา
“เป็นอันใด?” หลี่ว์ซือเห็นลู่เฉินจ้องมองไปยังที่แห่งหนึ่ง พร้อมกับสีหน้าที่ดูสงสัยอะไรบางอย่าง
ลู่เฉินหันมายิ้มพลางเอ่ยว่า “ตอนนี้เจ้าต้องช่วยข้าเรื่องหนึ่ง นั่นคือไปจับคนชุดดำนั่น!”
“คนนั้น?” หลี่ว์ซือมองไป ก่อนจะจดจำกลิ่นอายของอีกฝ่ายไว้และพุ่งตัวออกไปทันที!
จังหวะทะยานออกไปนั้นรวดเร็วยิ่งนัก เมื่อเข้าไปท่ามกลางหมู่คน พวกเขาต่างก็ตกใจจนกระจายตัวออกไป ส่วนคนชุดดำผู้นั้น อีกฝ่ายเลือกที่จะวิ่งหนีไปยังต้นไม้ ปีนขึ้นไป และวางแผนคิดจะออกไปจากที่แห่งนี้!
ดังนั้นหลี่ว์ซือจึงพุ่งหมัดออกไปทันที
ปัง!
คนชุดดำถูกโจมตี แต่เมื่อเลือดของเขาหยดออกมา ตัวคนก็พลันกลายเป็นเพียงเงาและหายลับไปทันที
ทุกคนต่างตกตะลึงกับภาพตรงหน้า
หลี่ว์ซือสงสัย “หายไปแล้ว?”
ส่วนลู่เฉินก็พลันเดินเข้าไป ก่อนจะแตะไปยังหยดเลือดนั้นพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย “มีเลือดเนื้อเช่นนี้ …ก็จัดการง่ายแล้ว!”
“เขาเป็นใคร?” หลี่ว์ซือแปลกใจ แต่ลู่เฉินกลับเพียงยืนขึ้นพร้อมกล่าวว่า “นับว่าเป็นศัตรูผู้หนึ่งของข้า!”
“ครั้งหน้า ข้าจะจับเขาให้ได้!” หลี่ว์ซือรับปาก
ลู่เฉินเชื่อเขา
ขณะนั้น ในพื้นที่ซึ่งปกคลุมด้วยไอซากศพก็พลันมีเสียงของเจี่ยลัวตะโกนขึ้นมา ทำให้คนอื่น ๆ พากันแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น ชายหนุ่มพลันขมวดคิ้วมุ่น และรีบพุ่งตัวเข้าไปในหมอกสีดำทันที!!