ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 11 ฝูงแมลงวัน
บทที่ 11 ฝูงแมลงวัน
“ถ้าเจ้าไม่ยินยอม เช่นนั้นก็จงไปเสีย ทว่าเรื่องอาการบาดเจ็บ… ข้าเกรงว่าคงจะไม่มีใครรักษามันได้นอกจากข้า!” ลู่เฉินยิ้มออกมาทันที เมื่อเห็นแววตาที่แสดงถึงความไม่เต็มใจของปิงหลิวหลี
รอยยิ้มนั้นทำให้เจ้าสำนักสาวได้แต่ถอนหายใจ คิดในใจว่า ‘เมื่ออาการบาดเจ็บของข้าหายดีแล้ว ข้าจะทำให้เจ้ารู้ซึ้งว่า… แท้จริงแล้วข้านั้นแข็งแกร่งเพียงใด!’
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางก็ทำได้เพียงแค่ต้อง ‘ประนีประนอม’ และเริ่มทำตามคำสั่งของชายหนุ่ม
ลู่เฉินนั่งลงทันทีที่เห็นว่ามีโต๊ะว่างอยู่ ทว่าหลังจากนั่งได้ไม่นาน…
คนกลุ่มหนึ่งพลันเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม
เครื่องแต่งกายของคนเหล่านี้บ่งบอกชัดเจนว่าพวกเขามาจากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์!
และที่สำคัญ หนึ่งในนั้นคือคนรู้จักเก่าของลู่เฉิน!!
หลิวหยุนซานและบรรดาศิษย์รุ่นใหม่ของสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์กำลังเตรียมตัวสำหรับการเข้าร่วมงานฝึกอบรมศิษย์ใหม่ของสำนัก ซึ่งหลิวหยุนซานเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้มาเจอลู่เฉินที่โรงเตี๊ยมนี้
เขาจึงไม่รอช้า ตะโกนบอกศิษย์พี่ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน “ศิษย์พี่สือ ดูสินั่นใคร!”
ศิษย์พี่ที่ถูกเรียกว่า ‘สือ’ ผู้นี้ อยู่ในขั้นสร้างรากฐานระดับกลาง บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยแห้งแตก
และคนผู้นี้คือผู้นำกลุ่มของบรรดาศิษย์ใหม่ในสำนัก นามของเขาคือ สือเซียว!
“หัวขโมยคนนั้น?” สือเซียวแสดงท่าทีสนใจทันทีที่เห็นลู่เฉิน ในขณะที่หลิวหยุนซานก็ยังคงกล่าวยุยงอย่างตื่นเต้น “ใช่แล้ว นั่นเขา!”
“ดี เช่นนั้นก็ไปหาเขากัน!!” สือเซียวยิ้มขำ
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าเมื่อเช้าที่ผ่านมา… คนจากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ต้องเผชิญกับทุกข์เพียงใด
พวกเขาจึงกล้าที่จะเดินเข้ามาหาอย่างหยิ่งผยอง ทั้งยังเข้าล้อมลู่เฉินไว้ทุกด้าน
“ลู่เฉินเอ๋ยลู่เฉิน เราพบกันอีกแล้ว!” หลิวหยุนซานกล่าวด้วยรอยยิ้มร้าย
ทว่าลู่เฉินไม่ตอบ เขาเพียงดื่มชาในถ้วยอย่างไม่แยแส
เมื่อเห็นว่าลู่เฉินไม่สนใจ หลิวหยุนซานจึงคำรามลั่น “ตอนนี้หมอฉินไม่อยู่ที่นี่ เช่นนั้นก็ให้ข้าดูเสียหน่อยว่าใครจะสามารถช่วยเจ้าได้!”
จากเหตุการณ์เมื่อวานที่เมืองเฟิงเฉิง ทำให้หลิวหยุนซานแทบรอไม่ไหวที่จะได้สั่งสอนบทเรียนให้ลู่เฉิน และแม้ครั้งนั้นจะมีฉินหลินคอยห้าม ทว่าครั้งนี้… ลู่เฉินอยู่ตัวคนเดียว!
เขาอยากที่จะบดขยี้ลู่เฉินให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้!
เสียงคำรามของหลิวหยุนซานทำให้ผู้คนในโรงเตี๊ยมต่างหันมองมา และเริ่มพูดคุยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสนอกสนใจ
บางคนที่พอจะรู้เรื่องราวเข้าหน่อยก็คอยอธิบายสถานการณ์ให้ผู้คนรอบข้างฟังอย่างออกรส พลางชี้ไม้ชี้มือเสียวุ่นวาย
ขณะนั้นปิงหลิวหลีกำลังสอบถามผู้คนรอบข้าง ครั้นเห็นสถานการณ์คุกรุ่นที่เกิดขึ้น รอยยิ้มของนางพลันเผยออกมาอย่างมีเลิศนัย “น่าสนใจนัก!”
ในเวลานั้นเอง คนกลุ่มหนึ่งได้ตะโกนบอกศิษย์จากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ว่า “ที่แห่งนี้ไม่อนุญาตให้มีการสู้รบตบตีกัน!”
คำพูดนั้นทำให้หลิวหยุนซานเริ่มกังวล เขามองไปที่สือเซียว ซึ่งอีกฝ่ายก็คล้ายจะทราบถึงกฎนี้ดี จึงกล่าวอย่างเสียดายว่า “ไม่เป็นไร ยังไงเขาก็หนีไปไหนไม่พ้น!”
หลิวหยุนซานที่ไม่มีทางเลือกอื่นจึงได้แต่ขู่ทิ้งท้าย “เหอะ เจ้ารอก่อนเถอะ!”
หลังจากนั้น หลิวหยุนซานก็รีบพาสือเซียวกลับไปที่โต๊ะ แล้วสั่งอาหารอร่อย ๆ มามากมาย ก่อนจะกล่าวน้ำเสียงสอพลอยกย่องศิษย์พี่ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่ม “พี่ใหญ่สือ มื้อนี้เชิญท่าน!”
”อืม” สือเซียวพยักหน้า
ทางด้านปิงหลิวหลี นางใช้โอกาสนี้กลับมานั่งลงข้างลู่เฉิน นางมองไปยังผู้คนจากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะยิ้มและกล่าวว่า “จริงหรือที่เจ้าขโมยเคล็ดวิชาของพวกเขามา?”
“แล้วเจ้าคิดว่ามันเป็นไปได้งั้นหรือ?” ลู่เฉินจ้องไปที่นาง
การแสดงออกนี้ทำให้ปิงหลิวหลีหวาดกลัวขึ้นมา “เอาล่ะ ข้าว่าเราอย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย”
“แล้วที่ข้าบอกให้ไปถาม เจ้าได้ความว่าอย่างไรบ้าง?”
ปิงหลิวหลีตอบอย่างอับอายว่า “เรื่องนั้นยังต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย!”
”งั้นก็เร็วเข้านะ!”
ปิงหลิวหลีได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นอย่างหดหู่ และกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ที่แท้ท่านบรรพชนต้องเห็นว่านามของเจ้าคล้ายกับชื่อของจอมมารในตำนานนั่น!”
“จอมมาร?”
ปิงหลิวหลีเล่าอย่างเกียจคร้านว่า “เมื่อหนึ่งแสนปีที่แล้ว บรรพชนของเรามีสหายสนิทอยู่คนหนึ่งนามว่า ลู่เฉิน เขาคนนี้นับได้ว่าเก่งกาจเลิศล้ำเป็นอันดับหนึ่งของมหาทวีปจิ่วโหยว ทั้งยังโหดเหี้ยมยิ่งนัก ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา มีผู้ฝึกตนจากทวีปอื่นมากมายที่ถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ จนเลือดเนื้อสาดกระจาย!”
เมื่อลู่เฉินได้ยินเรื่องนี้ เขาก็อดนึกถึงตัวเองเมื่อหนึ่งแสนปีที่แล้วไม่ได้ จึงหัวเราะลั่น “นั่นมันก็เป็นเพียงความบ้าระห่ำของเด็กหนุ่มเท่านั้น!”
“แล้วนั่นไม่ใช่ดังเช่นตัวเจ้าหรอกหรือ?!” ปิงหลิวหลีกล่าวจบก็พลันลุกออกจากโต๊ะ ทิ้งลู่เฉินที่กำลังยิ้มขำกับอยู่กับตนเอง และไม่ได้พูดอะไรออกมา
อีกด้านหนึ่ง หลิวหยุนซานกำลังสอบถามสือเซียวด้วยความฉงน “ศิษย์พี่สือ สตรีนางนั้นแข็งแกร่งหรือไม่?”
“ก็แค่ขยะ!” สือเซียวตอบอย่างไม่สนใจ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิวหยุนซานก็เอ่ยอย่างมั่นใจว่า “ก็ดี ถ้านางกล้ายื่นมือมาช่วย เช่นนั้นท่านก็จัดการนางก่อน ส่วนเจ้าหัวขโมยนั่น ขอให้ข้าจัดการมันได้หรือไม่?”
“ปล่อยให้เจ้าจัดการน่ะรึ?” สือเซียวกวาดสายตาขึ้นลงขณะมองอีกฝ่าย
หลิวหยุนซานหยิบถุงเล็ก ๆ ออกมาพลางยิ้ม “ในนี้มีศิลาวิญญาณระดับต่ำอยู่หมื่นก้อน ข้ามอบมันให้ท่านเพื่อเป็นของบรรณาการ!”
“เจ้าเกลียดเขามากงั้นหรือ?” สือเซียวรับถุงนั้นมาด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
“ถ้าไม่ใช่เพราะมัน ข้าคงได้เข้าสำนักตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว!” หลิวหยุนซานกล่าวด้วยความเคียดแค้น ในขณะที่สือเซียวยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล เมื่อพวกเขาออกจากเมืองนี้ เด็กคนนั้นจะถูกส่งตัวให้เจ้าทันที ทว่าอย่าทำให้ถึงตายเล่า เพราะข้าจำเป็นต้องจับมันกลับไปแบบเป็น ๆ!”
“ขอรับ!” หลิวหยุนซานพลันตื่นเต้น
เวลานี้ บรรยากาศในโรงเตี๊ยมพลันคึกคักขึ้นมา
ขณะที่มีบางคนกำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็ตะโกนก้องออกมาว่า “ทุกท่าน ข้ามีข่าวมาแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน!”
ข่าวรึ ข่าวอันใด?
สำหรับแขกที่มาใหม่ พวกเขาไม่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ในขณะที่แขกขาประจำซึ่งมาที่นี่แต่เช้าตรู่ พวกเขากลับมีท่าทีตื่นเต้นรอคอยกับข่าวนี้
”ในพื้นที่เขตสามของหุบเขาเมฆาอสูร มีการค้นพบสุสานโบราณ ว่ากันว่าภายในนั้นมีของดีอยู่มากมาย หากพวกเจ้าสนใจก็สามารถเข้าไปดูกันได้!” ครั้นเถ้าแก่คนนั้นกล่าวจบ ผู้คนจำนวนมากก็พากันลุกยืนแล้วจากไปทันที
ศิษย์จากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์เองก็กระตือรือร้นที่จะไปเช่นกัน แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าลู่เฉินยังคงอยู่ที่นี่ จึงเลือกที่จะนั่งรออยู่ที่เดิม
ปิงหลิวหลีรีบเดินกลับมาเร่งชายหนุ่ม “เร็วเข้า”
“เร็วเข้าอันใด?”
“ก็สุสานโบราณนั่นไงเล่า!” ปิงหลิวหลีกล่าวอย่างตื่นเต้น ผิดกับท่าทีของลู่เฉิน เนื่องจากชายหนุ่มเคยเห็นสุสานมามากมาย เขาจึงไม่ได้ตื่นเต้นยินดีกับเรื่องนี้เท่าที่ควร
ด้วยเหตุนี้ ลู่เฉินจึงไม่สนใจมันนัก เขากล่าวเพียงว่า “เรื่องนั้นหาได้สำคัญไม่ แต่ที่สำคัญคือราชสีห์ขนเพลิง!”
“ก็ราชสีห์ขนเพลิงที่ว่านั่น มันปรากฏตัวใกล้กับเขตสามไงเล่า!” ปิงหลิวหลีช่วยไขความกระจ่าง
“เขตสาม?” ลู่เฉินสงสัยนัก เหตุใดราชสีห์ขนเพลิงจึงไปปรากฏอยู่ที่เขตสามของหุบเขาเมฆาอสูร
ปิงหลิวหลีไม่รอช้า นางหยิบแผนที่หนังสัตว์ออกมาแล้วชี้ไปยังตำแหน่งดังกล่าวทันที “ดูนี่สิ!”
ลู่เฉินเหลือบมองและพบว่าแผนที่หนังสัตว์นี้ได้แบ่งพื้นที่หุบเขาเมฆาอสูรออกเป็นเก้าเขตด้วยกัน โดยแบ่งจากด้านนอกสู่ด้านใน และจากเขตแรกไปยังเขตที่เก้า
ยิ่งลึกก็ยิ่งอันตรายมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม พื้นที่เขตสามนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับตัวตนในขั้นกลั่นลมปราณและขั้นสร้างรากฐาน ผู้คนที่นี่จึงต้องการเข้าไปสำรวจ
ทว่าสำหรับลู่เฉิน เขาไม่ได้สนใจสุสานนี้มากนัก เพราะเขาต้องการตามหาราชสีห์ขนเพลิง ชายหนุ่มจึงไม่รอช้า ลุกยืนแล้วเดินออกไปทันที!
เมื่อหลิวหยุนซานเห็นโอกาสนี้ก็รีบหันไปกล่าวกับสือเซียวอย่างตื่นเต้น “ศิษย์พี่สือ ดูสิ พวกมันออกไปแล้ว!”
“เช่นนั้นเราก็ไปกันเถอะ!” สือเซียวลุกขึ้น เขาและศิษย์ใหม่จากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์พากันติดตามลู่เฉินไปไม่ห่าง
ครั้นปิงหลิวหลีเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็เริ่มกังวลเล็กน้อย “ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน ข้าย่อมไม่อาจรับมือกับตัวตนในขั้นสร้างรากฐานระดับกลางได้!”
“อ่อนแอ!” คำพูดของลู่เฉินทำให้ปิงหลิวหลีรู้สึกละอายใจ จึงกล่าวแก้ตัวว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะอัคคีเพลิงนั่น ข้าจะเป็นแบบนี้รึ?”
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยเหลือเมื่อจำเป็น!”
“ช่วยข้าหรือ? ตัวเจ้าเนี่ยนะ?” ปิงหลิวหลีหันมองอีกฝ่ายด้วยความเหลือเชื่อ เพราะท้ายที่สุดลู่เฉินก็อยู่เพียงแค่ขั้นกลั่นลมปราณระดับห้าเท่านั้น
และที่สำคัญ… เขาไม่มีรากวิญญาณ!
ดังนั้น อย่าว่าแต่จะช่วยนางเลย แค่ต้องรับมือกับศิษย์หน้าใหม่พวกนั้น เขาจะไหวหรือ?
ทว่าสีหน้าของลู่เฉินกลับเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ราวกับว่าเหล่าผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลังนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด
หลังจากเห็นท่าทางหาญกล้าของลู่เฉิน ปิงหลิวหลีก็นึกฉงน “ชายผู้นี้ไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดกัน?”