ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 10 เจ้าสำนักผู้สง่างามกลายเป็นสาวใช้!
บทที่ 10 เจ้าสำนักผู้สง่างามกลายเป็นสาวใช้!
ผู้อาวุโสเฮยได้ยินถ้อยคำนินทาเหล่านั้น เขาก็พึมพำเสียงเบาว่า “ช่างนานยิ่งนัก เห็นทีเขาคงตายไปแล้วกระมัง?”
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าพลันดังขึ้นจากในถ้ำ
“ได้ยินเสียงนั่นไหม!” แววตาของผู้เฒ่าเหยาฉายชัดถึงความหวัง
ฉินหลินมองเข้าไปในถ้ำอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับผู้อาวุโสเฮย และศิษย์คนอื่น ๆ ที่หันมองตาม
และแล้วพวกเขาก็เห็นลู่เฉินเดินออกมาราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น!
“เป็นไปได้อย่างไร?”
เมื่อพวกเขาเห็นว่าลู่เฉินไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อยก็พากันตกใจ และบางคนยังสงสัยว่า “ท่านเจ้าสำนักปล่อยเขาไป?”
ผู้เฒ่าเหยาพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก ส่วนฉินหลินถึงกับยิ้มกว้าง “เจ้า… เจ้าทำให้ข้ากังวลแทบตาย!”
ในขณะที่สีหน้าของผู้อาวุโสเฮยแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาทั้งตกใจและยังคงไม่เข้าใจ “น… นะ… นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากในถ้ำ
“นับแต่นี้ เขาจะไม่ใช่บุตรศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป ทว่าจากนี้ ทุกคำพูดและการกระทำใด ๆ ของเขา นับได้ว่าเป็นตัวแทนของข้า ผู้เป็นเจ้าสำนัก พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?”
”อะไรนะ?!”
บัดนี้ทุกคนดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง และบางคนก็พลันยินดี แต่บางคนกลับวิตกขึ้นมา…
โดยเฉพาะผู้อาวุโสเฮย! ที่ถึงกับกล่าวว่า “ท่านเจ้าสำนัก ท่านกำลังคิดหมายมั่นปั้นมือให้ชายคนนี้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักคนถัดไปงั้นหรือ?”
“ไม่ใช่! ทว่าตัวเขาสามารถพูดแทนข้าได้ ดังนั้นเจ้าต้องสุภาพมากขึ้นยามพบเขา เข้าใจหรือไม่?” เสียงเย็นชาของปิงหลิวหลีดังออกมาจากถ้ำ
“ขอรับ!” เหล่าศิษย์ในสำนักพากันตอบรับด้วยความเคารพนอบน้อม
ฉินหลินพลันยินดีขึ้นมา ในขณะที่ผู้เฒ่าเหยาหยิบยาล้ำค่าที่เขาเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมา และยกมันให้ลู่เฉิน “เอาไปสิน้องชาย ทั้งหมดนี้ข้าให้เจ้า!”
“ให้ข้างั้นหรือ?” ลู่เฉินพบว่าสมุนไพรเหล่านี้มีประโยชน์กับเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ในสายตาของผู้อาวุโสเหยา สิ่งเหล่านี้มีค่ามาก ดังนั้นเขาจึงพูดอย่างตื่นเต้นว่า “เพราะเจ้าช่วยข้า ดังนั้นจงรับมันไปเถอะ!”
“ตกลง!” ลู่เฉินรับมาอย่างเสียไม่ได้ ซึ่งมันก็ทำให้ผู้คนโดยรอบสงสัยว่าลู่เฉินไปช่วยผู้เฒ่าเหยาตอนใดกัน? ทว่าคนทั้งสองกลับไม่สนใจ ชายชราตบไหล่ลู่เฉินด้วยรอยยิ้มยินดี “เจ้าหนุ่ม ทำงานให้หนัก ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะกลายเป็นเจ้าสำนักได้แน่นอน!”
“อะแฮ่ม!”
เสียงกระแอมไอดังมาจากภายในถ้ำ ผู้เฒ่าเหยาจึงรู้สึกตัว ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เอาล่ะ ข้าจะกลับไปที่หอโอสถก่อนนะ”
ผู้เฒ่าเหยาเอ่ยจบก็หันหลังกลับและจากไป แต่ก่อนที่จะออกเดินทาง ยังได้ขอให้ลู่เฉินมาเยี่ยมตัวเขาด้วย
เมื่อบรรดาศิษย์ในสำนักได้ยินเช่นนี้ สายตาพวกเขาต่างแสดงความริษยาออกมาโดยไม่ปิดบัง
อย่างไรก็ตาม ลู่เฉินไม่สนใจสายตาเหล่านั้น เขาหันไปหาฉินหลินที่กำลังยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ท่านเองก็ไปเถอะ”
“ข้าหรือ?” ฉินหลินไม่คิดว่าลู่เฉินจะ ‘ไล่’ เขา
ลู่เฉินจึงกล่าวออกมาตามตรงว่า “เพราะหลังจากนี้ ข้าจะไปที่หุบเขาเมฆาอสูรเพื่อฝึกฝนเสียหน่อย!”
เมื่อทุกคนได้ยินว่าลู่เฉินกำลังจะไปยังหุบเขาเมฆาอสูร พวกเขาต่างก็มองหน้ากันด้วยความตระหนก
ฉินหลินกังวลขึ้นมาทันที “แต่เจ้าไม่มีรากวิญญาณ และแม้เจ้าจะอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณระดับห้ากับมีกระบี่เล่มนั้น แต่เมื่อเจ้าอยู่ห่างจากสำนักเรา เจ้าจะไม่สามารถยืมพลังจากค่ายกลของเราได้!”
แม้จะได้ยินเช่นนั้น ทว่าลู่เฉินกลับยิ้มอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องกังวล แค่ขั้นกลั่นลมปราณระดับห้าก็เพียงพอแล้ว”
หลังจากนั้นลู่เฉินก็ออกเดินทางทันที โดยมีฉินหลินตามไปส่ง
ดวงตาของผู้อาวุโสเฮยพลันเกิดประกายแสงวาบผ่าน ในขณะที่ศิษย์ทั้งหลายต่างพากันพึมพำ “นี่เขากำลังจะไปตายงั้นหรือ?”
“เขาคิดว่าตนเองแข็งแกร่งมากนักหรือไร?!”
“ทว่าการออกจากสำนักเช่นนี้ จะทำให้ดึงพลังจากค่ายกลของสำนักเราไม่ได้นะ เขารู้เรื่องนี้หรือไม่?!”
”ใครจะรู้!”
หลังจากที่ลู่เฉินลงจากภูเขาเก้าสุขสงบ เขาก็บอกลาฉินหลินและเดินไปตามทาง
หลังจากนั้นไม่นานนัก ชายหนุ่มก็หยุดฝีเท้า และพูดกับคนด้านหลังว่า “ออกมา!”
หญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
นางสวมชุดสีดำ สวมหน้ากากปกปิดจนเหลือเพียงดวงตา
นากจากนี้ นางยังสวมสร้อยคอสีดำพร้อมลูกปัดหลายเม็ดที่ถูกเรียงร้อยอย่างดี และเป็นเพราะลูกปัดนี้เองที่ทำให้ไม่มีใครมองเห็นขั้นพลังที่แท้จริงของนางได้!
“เหตุใดเจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่และสง่างามจึงแต่งกายเช่นนี้?” ลู่เฉินถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
หญิงในชุดดำก็คือปิงหลิวหลี!
เจ้าสำนักสาวพลันกระแอมเบา ๆ และกล่าวว่า “ด้วยวิธีนี้ จะทำให้ไม่มีใครจำข้าได้!”
“เจ้ากลัวคนจะจำได้งั้นหรือ?”
“แน่นอน! เพราะหากมีคนจำได้ ศัตรูของข้าอาจฉวยโอกาสนี้กำจัดข้า!” ปิงหลิวหลีกลอกตา
”เจ้าเคยทำให้ใครหลายคนขุ่นเคืองใจรึ?”
เมื่อทราบว่านางมีศัตรูไม่น้อย ชายหนุ่มก็แสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็นออกมา
ปิงหลิวหลีจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “นี่เป็นเรื่องส่วนตัว ข้าไม่จำเป็นต้องบอกไม่ใช่หรือ?”
“เอาล่ะ ข้าไม่สนใจเรื่องไร้สาระของเจ้าแล้ว!” ลู่เฉินเอ่ยจบ เขาก็มุ่งหน้าไปยังหุบเขาเมฆาอสูร
เมื่อปิงหลิวหลีได้ยินดังนั้นก็พลันหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก ทว่านางก็ทำได้เพียงติดตามไปอย่างเชื่อฟังเท่านั้น
”เจ้าพูดว่าสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของข้าได้ใช่หรือไม่?”
”ใช่”
“แต่อาการบาดเจ็บของข้าไม่ได้รักษาง่ายถึงเพียงนั้น” ปิงหลิวหลีไม่เชื่อว่าลู่เฉินจะมีความสามารถมากพอ
“ในสายตาของข้า อาการที่เจ้าเป็นนั้นไม่รุนแรงแม้แต่น้อย” ลู่เฉินกล่าวอย่างไม่จริงจังนัก
ทว่าปิงหลิวหลีกลับร้อนใจขึ้นมา “แม้แต่หมอฉินที่มีวิชาแพทย์เก่งกาจที่สุดของสำนักยังรักษาข้าไม่ได้ แล้วเจ้าคิดว่าเจ้ามีความสามารถมากพองั้นรึ?”
“แน่นอน!”
“แน่นอนงั้นหรือ?” ปิงหลิวหลีสงสัยจริง ๆ ว่าความมั่นใจของลู่เฉินมาจากไหนนัก ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก
ปิงหลิวหลีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามออกมาอย่างไม่จริงจังนัก “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงมีอาการเช่นนั้น”
“เพราะเพลิงอัคคีของสัตว์อสูรเพลิงลุกไหม้จนทำร้ายวิญญาณก่อกำเนิด ทำให้วิญญาณก่อกำเนิดของเจ้าไหม้เกรียมด้วยไฟตลอดเวลา! และวิธีการรักษาหรือยารักษาทั่วไปก็ไม่มีทางรักษาอาการนี้ได้!” ลู่เฉินวิเคราะห์อย่างละเอียด
ดวงตาของปิงหลิวหลีถึงกับเบิกกว้าง “เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”
“อย่ากังวลว่าข้ารู้ได้อย่างไร เพราะตราบใดที่ข้ารู้ ข้าย่อมมีวิธีรักษา! และหากเจ้าต้องการหายดี เช่นนั้นก็จงติดตามมา!” หลังจากที่ลู่เฉินกล่าวจบก็เร่งเดินทางต่อไปทันที
“นี่เจ้าเป็นใครกันแน่?” ปิงหลิวหลีถามด้วยความประหลาดใจ
ทว่าคำถามนี้ไร้ซึ่งคำตอบ ลู่เฉินไม่ได้เอ่ยสิ่งใด และตลอดการเดินทางก็เป็นไปเช่นนี้ ปิงหลิวหลีไม่อาจถามสิ่งใดจากปากของชายหนุ่มได้เลย
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ลู่เฉินก็เดินทางมาถึงเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่นอกหุบเขาเมฆาอสูร
เมืองนี้ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก ที่นี่มีร้านค้าและแผงลอยมากมาย
คนเหล่านี้ล้วนมาที่นี่เพื่อซื้อขายสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับสัตว์อสูร เช่น โลหิต กระดูก หรือแม้แต่สัตว์อสูรตัวเป็น ๆ รวมถึงวัตถุดิบล้ำค่าอื่น ๆ ที่มีในหุบเขาเมฆาอสูร
ผู้คนส่วนใหญ่ที่มายังเมืองนี้ หากพวกเขาไม่ได้มาเพื่อซื้อสิ่งใด ก็มาเพื่อสอบถามข่าวคราวบางอย่าง
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่กันแน่?” เมื่อเห็นผู้คนที่เดินกันพลุกพล่าน ปิงหลิวหลีก็ถามขึ้นทันที ราวกับกลัวว่าจะมีคนจำนางได้
“ข้าต้องการหาราชสีห์ขนเพลิง!” กระดูกของมันคือสิ่งเดียวที่ลู่เฉินยังขาดอยู่ในตอนนี้ และเมื่อเมืองแห่งนี้อยู่ติดกับหุบเขาเมฆาอสูร เช่นนั้นก็อาจมีสิ่งที่เขาต้องการ! หรืออย่างน้อยแค่ได้ข้อมูลตำแหน่งของมันมาก็ยังดี!
ดังนั้นตั้งแต่เข้ามาในเมือง ลู่เฉินจึงกวาดสายตามองตลอดสองข้างทางว่ามีสิ่งของที่เขาต้องการหรือไม่
คำตอบของลู่เฉินสร้างความสงสัยให้ปิงหลิวหลี “เหตุใดเจ้าจึงต้องการตามหาราชสีห์ขนเพลิง?”
”นั่นไม่ใช่ธุระของเจ้า!”
“เจ้า!” ปิงหลิวหลีโกรธจัด ทว่านางไม่สามารถปลดปล่อยอารมณ์ออกมาได้ ทำได้เพียงบ่นพึมพำเสียงเบาดั่งแมวครวญ “ท่านบรรพชน ท่านจะให้ข้าฟังคนประเภทนี้ไปทำไมกัน?!”
ลู่เฉินหันมองไปรอบ ๆ ก่อนจะเห็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ดูคึกคักยิ่ง และนามของมันก็คือ โรงเตี๊ยมเมฆาอสูร!
โรงเตี๊ยมแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวาและคึกคัก จนแม้แต่เสี่ยวเอ้อก็ยุ่งวุ่นวาย ตัวคนแทบไม่ได้พัก ต้องคอยรับมือกับแขกจำนวนมาก
“ข้าจะหาที่นั่งก่อน ส่วนเจ้าจงไปหาข้อมูลมา” ลู่เฉินสั่งปิงหลิวหลีที่ถึงกับตะลึงงัน “อะไรนะ? …ให้ข้าถาม?!”
“หากไม่ใช่เจ้า แล้วจะให้เป็นข้าหรือ?”
ปิงหลิวหลีได้ยินแล้วพลันรู้สึกเหมือนหัวของตัวเองกำลังจะระเบิด!
นางเป็นถึงเจ้าสำนักผู้สง่างาม และอยู่ในขั้นก่อกำเนิดระดับต้น ทว่าตอนนี้กลับถูกคนอื่นเรียกใช้งาน… ดั่งสาวรับใช้!