ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 1 เกิดใหม่ชาติที่เก้า
บทที่ 1 เกิดใหม่ชาติที่เก้า
มหาทวีปจิ่วโหยว
“กำจัดไอ้คนผู้นี้!”
“จับมันโยนลงไปในหุบเขา!”
”แล้วไปรายงาน บอกไปว่ามันขโมยคัมภีร์และหลบหนีเพราะกลัวการลงโทษ!”
…
ข้าคือจักรพรรดิเซียน เซียนอันดับหนึ่งในแดนเซียนสามสิบหกชั้น!”
“ข้าคือจักรพรรดิปีศาจ ปีศาจอันดับหนึ่งในแดนปีศาจเก้าชั้น!”
“ข้าคือจักรพรรดิมาร มารอันดับหนึ่งในแดนต้องห้ามหมื่นหมื่นมารมาร!”
“ข้าคือจักรพรรดิวิญญาณ วิญญาณอันดับหนึ่งในแดนภูเขาพันวิญญาณ!”
“ข้าคือจักรพรรดิภูต แดนชุมนุมภูต….”
ความทรงจำมากมายสลับและพรั่งพรูยัดเยียดกันเข้ามา สร้างความเจ็บปวดให้กับลู่เฉินจนทำให้ตัวเขาสลบไป
ทว่าแม้จะหมดสติไป แต่หน้าผากกลับชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ เช่นเดียวกับใบหน้าที่ฉายชัดถึงความหวาดกลัว เสมือนว่ากำลังฝันร้ายอย่างไรอย่างนั้น!
“ลู่เฉิน!… ฟื้นสิ!” ข้างกายเด็กหนุ่มที่ถูกผันแผลไปทั่วร่าง มีชายชราผมขาวนั่งอยู่ด้วย และขณะนี้ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็อาบไปด้วยหยาดน้ำตา
ในยามนั้น ลู่เฉินพลันเบิกตาโพลน หอบหายใจหนักหน่วงคล้ายผ่านการวิ่งมาอย่างหนัก
“ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้ว!” ชายชราผมขาวตื่นเต้นยินดี
“แม้จะรู้สึกตัวแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากบาดเจ็บหนัก ไหนจะกระดูกที่หักไปทั่วร่าง คาดว่าครึ่งชีวิตที่เหลือ…” ชายวัยกลางคนที่อยู่อีกด้านเอ่ยด้วยสีหน้าจนปัญญา
ชายชราผมขาวพลันหันกลับไปกุมฝ่ามือของชายวัยกลางคน และกล่าวอย่างเร่งด่วน “หมอฉิน ได้โปรดเถอะ การฝึกฝนคือชีวิตของเขา ดังนั้นได้โปรดเถิด!”
“เฮ้อ เอาเป็นว่าออกไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน! อย่ารบกวนการพักผ่อนของเขา!” ฉินเซียนอี้หรือหมอฉินประคองชายชราผมขาวขึ้นมาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
ชายชราผมขาวเดินตัวสั่นงันงก ปากพูดไม่หยุด “หมอฉิน ได้โปรดเถิด ไม่ว่าค่าใช้จ่ายจะมากเท่าใด ตระกูลลู่ของข้าก็พร้อม ขอเพียงแค่เขาได้ฝึกบำเพ็ญเพียร…”
“ค่อย ๆ พูดเถิด เราอาจยัง…”
ทั้งสองก้าวออกไปไกล
หลังจากที่ความทรงจำหลายชาติมารวมกัน ลู่เฉินก็เผยแววตาแปลกประหลาด ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยว่า “นี่คงเป็นชาติที่เก้าของข้า!”
ลู่เฉิน เซียนอันดับหนึ่งของมหาทวีปจิ่วโหยว เขาทะยานสู่แดนเซียนสามสิบหกชั้น และยืนอยู่ ณ จุดสูงสุด ทว่าเมื่อก้าวไปยังดินแดนต้องห้ามแห่งแดนเซียน กลับถูกทำร้ายจนกายเนื้อแหลกสลาย วิญญาณแตกกระจาย
ดังนั้นลู่เฉินจึงใช้ ‘เคล็ดนพชาติหวนคืน’ เพื่อแบ่งวิญญาณออกเป็นเก้าส่วน และเริ่มบ่มเพาะอีกครั้งหนึ่ง
ในแปดชาติก่อนหน้านี้ เขาไปยังแดนปีศาจเก้าชั้นและได้กลายเป็นจักรพรรดิปีศาจ ไปเยือนแดนภูเขาพันวิญญาณแล้วกลายเป็นจักรพรรดิวิญญาณ ไปยังแดนต้องห้ามหมื่นมารก็กลายเป็นจักรพรรดิมาร และเช่นเดียวกัน เมื่อไปแดนชุมนุมภูต ลู่เฉินก็ได้กลายเป็นจักรพรรดิภูติ… ไม่ว่าที่ใด ก็ล้วนมีตำนานเกี่ยวกับเขาไปเสียทุกที่!
จวบจนบัดนี้ ซึ่งเป็นชีวิตสุดท้าย
“ข้าไม่ได้คาดหวังว่าชาติที่เก้าจะกลับมายังมหาทวีปจิ่วโหยวนี้อีกครั้ง และมันก็ผ่านมากว่าหนึ่งแสนปีแล้วนับแต่ช่วงเวลานั้น!”
“อืม… เอาเป็นว่าตรวจสอบร่างกายก่อนแล้วกันว่าเป็นอย่างไรบ้าง!” ลู่เฉินพึมพำ สภาพร่างกายล้วนมีผลต่อการฝึกฝนบำเพ็ญเพียร เขาจึงต้องยืนยันสถานการณ์ของตนในยามนี้ว่าเป็นอย่างไรเสียก่อน
หากไม่สังเกตก็คงไม่ทราบ และเมื่อทราบแล้ว… ผลลัพธ์ก็ชวนให้ตกตะลึงยิ่ง!
กระดูกในร่างแตกร้าวหลายแห่ง และแม้แต่รากวิญญาณก็ถูกยังนำออกไป!
สิ่งเหล่านี้ทำให้แววตาของลู่เฉินเย็นชาขึ้นมา “คนรุ่นหลังพวกนี้ช่างชั่วร้ายเสียจริง!”
คนรุ่นหลังที่ว่าก็คือศิษย์จากสำนักเซียนในบริเวณใกล้เคียงนี้
สำนักเซียนดังกล่าวมีนามว่า ‘ฟ้าศักดิ์สิทธิ์’!
และด้วยร่างกายเช่นนี้ ตัวเขาก็ต้องตรากตรำไม่น้อยกว่าจะเข้าสำนักแห่งนั้นได้ แต่เพราะขยันและเก่งกาจเกินไป จึงถูกผู้คนริษยา
ส่งผลให้ลู่เฉินถูกชายในชุดดำทำร้าย ขุดรากวิญญาณออก พร้อมทั้งชักนำให้ศิษย์ร่วมสำนักคนอื่น ๆ พร้อมใจกันใส่ร้ายว่าขโมยคัมภีร์ ก่อนจะถูกโยนลงจากหน้าผา สร้างภาพว่าเขาหลบหนีไปเพราะกลัวถูกลงโทษ!
เมื่อไม่มีรากวิญญาณ นั่นก็หมายความว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกบำเพ็ญต่อไป ทว่าในขณะเดียวกัน การตกจากหน้าผาและโดนทำร้ายเช่นนี้ เรื่องที่ตัวลู่เฉินยังไม่ตายก็นับว่าปาฏิหาริย์มากแล้ว!!
ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก็ยังมีบางอย่างที่น่าสงสัยยิ่ง ศิษย์ร่วมสำนักเหล่านั้นไม่ใช่ตัวปัญหาแม้แต่น้อย เขาสามารถจัดการคนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย ทว่าชายในชุดดำผู้นั้นเล่า? เหตุใดวรยุทธ์ที่อีกฝ่ายใช้จึงคล้ายกับกลุ่มคนที่เคยทำร้ายเขา ณ ตอนที่อยู่แดนเซียนในปีนั้น!
“ดูเหมือนว่าข้าคงจำต้องกลับไปยังสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง เพื่อตามหาชายชุดดำผู้นั้น!”
หลังจากที่ลู่เฉินตัดสินใจแล้ว เขาก็สงบอารมณ์ลง
แต่เมื่อต้องการจะลุกขึ้น ความเจ็บปวดพลันกลายเป็นเครื่องย้ำเตือนชั้นดี “เกือบลืมไปเสียแล้ว ว่าร่างนี้บาดเจ็บสาหัสนัก!”
“ก๊อก ๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ลู่เฉินตื่นตัวทันที “ใคร?”
“นายน้อย ข้าเอง!” เสียงสตรีใสแจ๋วดังขึ้น และลู่เฉินก็จำได้ทันทีว่านั่นคือเสียงของสาวใช้ประจำตระกูลลู่ …อวิ๋นซาน
หลังจากตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้ ลู่เฉินก็ตะโกนว่า “เข้ามา!”
หญิงสาวอายุประมาณสิบห้าหรือสิบหกปีเข้ามาพร้อมกับถ้วยยาในมือ
“นายน้อย หมอฉินกล่าวว่าตราบใดที่ท่านดื่มยานี้ อาการบาดเจ็บของท่านก็จะดีขึ้น!” อวิ๋นซานกล่าวพร้อมกับเป่ายาที่ยังร้อนอยู่
หลังจากลองดมกลิ่นแล้ว ลู่เฉินก็รู้ว่ายานี้มีส่วนผสมล้ำค่ามากมาย แต่มันกลับไม่ได้มีผลอะไรกับร่างกายของเขามากนัก เขาจึงหันไปกล่าวกับนาง “อวิ๋นซาน ข้าอยากให้เจ้าทำอะไรให้ข้าสักอย่าง”
“นายน้อย ท่านต้องการสิ่งใด พูดมาได้เลยเจ้าค่ะ!” อวิ๋นซานรีบวางถ้วยยาลงอย่างรวดเร็ว
ลู่เฉินลังเลแล้วเอ่ยขึ้น “หาคนมาช่วยพาข้าไปที่ใต้ต้นไม้พันปีในสวน”
อวิ๋นซานที่ได้ยินเช่นนั้นก็กังวล จึงเอ่ยแย้ง “แต่ว่านายน้อย อาการบาดเจ็บของท่าน…”
“พอออกไปแล้ว… ข้าจะดีขึ้น เชื่อเถอะ” ลู่เฉินตอบ
แม้อวิ๋นซานจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ลู่เฉินพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่ ทว่าเมื่อนายน้อยเอ่ยปากสั่ง นางก็ยินยอมทำแต่โดยดี รีบจัดแจงหาคนรับใช้สองสามคน ให้พวกเขาพาลู่เฉินไปที่ต้นไม้เก่าแก่ในสวน
ภายในสวนนั้น เห็นเพียงต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่ง ใบของมันเขียวชอุ่ม ดูแล้วไม่ธรรมดา
เมื่อลู่เฉินเอนหลังพิงต้นไม้ เขาก็เอ่ยกับทุกคนว่า “ยกเว้นอวิ๋นซาน พวกเจ้าทุกคนจงถอยออกไป!”
คนรับใช้ก้าวถอยหลังไปทันที และพากันซุบซิบ
“นายน้อย กำลังจะทำอะไร?”
“โดนทำร้ายมาอาการหนัก ข้าว่า…”
“เฮ้อ ตระกูลลู่ช่างน่าสงสารเหลือเกิน!”
“ไม่น่าเลย ต้นกล้าเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลลู่ เฮ้อ… เหตุใดจึงได้กลายเป็นเช่นนี้กัน?!”
ลู่เฉินเพิกเฉยต่อคำนินทาของคนเหล่านี้ เขาหลับตาลงและเรียกใช้ ‘เคล็ดวิชาเก้าปฐพี’
ไม่นานนัก ลู่เฉินก็สามารถเพ่งมองเข้าไปในร่างกายของตนเองได้สำเร็จ
เขาพบว่าท่ามกลางจุดแสงทั้งเก้าจุด มีแปดจุดที่กำลังกะพริบเปล่งแสง ขณะที่จุดที่เก้ามีแสงสลัว
“มาดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อข้าเปิดจุดที่เก้า!” ลู่เฉินสูดลมหายใจเข้าลึก เพ่งสมาธิไปยังจุดแสงตำแหน่งที่เก้า และชักนำพลังประหลาดกลุ่มหนึ่งเข้าไปในจุดนั้น
ช่วงเวลานั้นเอง จู่ ๆ ต้นไม้อายุพันปีที่อยู่ด้านหลังลู่เฉินก็ค่อย ๆ เหี่ยวเฉาลง
อวิ๋นซานตกใจ “นายน้อย ต้นไม้ที่อยู่ข้างหลังท่าน!”
ลู่เฉินหลับตาลงและเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ข้าต้องการแก่นแห่งไม้ และต้นไม้อายุพันปีนี้มีสิ่งที่ข้าต้องการ ดังนั้นข้าจะยืมมาก่อน แล้วข้าจะคืนให้มันในภายหลัง”
‘แก่นแห่งไม้?’ อวิ๋นซานไม่รู้ว่าลู่เฉินพูดถึงอะไร
หลังจากที่ต้นไม้พันปีแห้งเหี่ยว อาการบาดเจ็บของลู่เฉินก็พลันหายดี เช่นเดียวกับแสงสลัวของจุดแสงที่เก้าของเขาก็พลันสว่างขึ้นเล็กน้อย
แต่หากต้องการเปิดมันออกอย่างสมบูรณ์ สมุนไพรและตัวยาบางชนิดก็มีความจำเป็นไม่น้อย
ดังนั้นลู่เฉินจึงลืมตา และวางแผนที่จะไปตลาดเพื่อตามหาของพวกนั้น
ภาพที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทำให้อวิ๋นซานตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก!
เพราะลู่เฉินลุกขึ้น และดึงผ้าพันแผลบนร่างกายออก ก่อนจะเอ่ยกับอวิ๋นซานว่า “ข้าจะไปข้างนอก!”
พูดจบก็เดินออกจากจวนตระกูลลู่
ในขณะที่คนรับใช้ของตระกูลลู่ที่พบเห็นชายหนุ่มต่างก็ตกตะลึง!
——
จวนตระกูลลู่ตั้งอยู่ในเมืองเฟิงเฉิง
เมื่อลู่เฉินเดินออกมา ผู้คนมากมายก็พากันชี้นิ้วมาทางเขา
“ดูสิ นี่คือลู่เฉิน!”
“คนที่ขโมยคัมภีร์เคล็ดวิชาจากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์?”
“ใช่ เป็นเขา!”
“เขาไม่ได้หนีไปงั้นหรือ เหตุใดจึงกล้ามาปรากฏตัวที่นี่อีก?”
“ว่ากันว่าผู้คนจากสำนักเก้าสุขสงบคิดปกป้องเขา!”
“สำนักเก้าสุขสงบ?”
”อูฐผอมยังโตกว่าม้า!”
ลู่เฉินจำได้ว่าเมื่อแสนปีก่อน สำนักเก้าสุขสงบนี้เรืองอำนาจยิ่ง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงสำนักเล็ก ๆ เท่านั้น
“ถ้าจิ่วโหยวรู้ เขาจะต้องกลับมาแน่ ๆ ใช่หรือไม่?” ลู่เฉินส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
ขณะนั้นเอง คนกลุ่มหนึ่งได้พากันหยุดอยู่กลางถนน นำโดยหลิวหยุนซาน นายน้อยคนเล็กของตระกูลหลิวจากเมืองเฟิงเฉิง
ตระกูลหลิวนี้นับได้ว่าเป็นตระกูลใหญ่มั่งคั่งร่ำรวยแห่งเมืองเฟิงเฉิง และเมื่อปีที่แล้วหลิวหยุนซานกับลู่เฉินได้แข่งขันกันเพื่อเข้าสู่สำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะเป็นลู่เฉินที่ได้สิทธิ์นั้นไป
สิ่งนี้ทำให้หลิวหยุนซานไม่พอใจ ดังนั้นเมื่อรู้ว่าลู่เฉินขโมยอะไรบางอย่างมาและยังถูกไล่ออกจากสำนัก เขาก็ไม่รอช้าที่จะใช้โอกาสนี้กล่าวเยาะเย้ยด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข “ลู่เฉินเอ๋ยลู่เฉิน แม้จะมีพรสวรรค์และมากความสามารถ แต่การขโมยคัมภีร์จากสำนักเช่นนี้ ข้าคาดไม่ถึงจริง ๆ!”
สำหรับคนรุ่นหลังที่น่าเบื่อเช่นนี้ ลู่เฉินเลือกที่จะเมินเฉย เขาเดินต่อไปราวกับเสียงพวกนั้นเป็นเพียงเสียงลมข้างหู
“ลู่เฉิน! เจ้ารู้รึยังว่าคู่หมั้นของเจ้าได้หนีไปกับคนอื่นแล้ว!”
หลังจากที่เห็นลู่เฉินเมินตนเอง ไม่โต้ตอบ หลิวหยุนซานก็ยิ่งได้ใจ พูดจายั่วยุเข้าไปอีก
และนอกจากนายน้อยหลิวผู้นี้แล้ว บรรดาผู้ติดตามของเขาเองก็ไม่น้อยหน้า พากันกล่าวเสริมเติมแต่งอย่างสนุกปาก
“หัวขโมย! ตัวไร้ค่า!”
“สำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์รับเจ้าเป็นศิษย์ได้อย่างไรกัน?!”
“เจ้านี่มันมลทินของสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์โดยแท้!”
“แม้แต่คู่หมั้นของเจ้าก็คงเกลียดชังเจ้าเช่นกัน!”
หลิวหยุนซานถึงกับหยิบเทียบเชิญขึ้นมาโบกไปมา “ดูสิ ข้าได้สิทธิ์เข้าสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของปีนี้มาครองแล้ว!”
“พูดจบแล้วใช่หรือไม่?” ลู่เฉินถามขึ้นอย่างเย็นชา
หลิวหยุนซานคิดว่าเขาจะเศร้า โกรธ หรือขุ่นเคืองใจ แต่ไม่ได้คาดหวังว่าหลังจากรับฟังเรื่องเล่านี้ ลู่เฉินกลับยังคงนิ่งเฉยได้อยู่!
หลังจากที่เห็นท่าทางเช่นนั้น หลิวหยุนซานก็ไม่อาจสะกดกลั้นความโกรธได้อีก เขาหัวเราะพร้อมพูดถากถางสิ่งที่คิดว่าเจ็บแสบที่สุด “เจ้าไม่มีรากจิตวิญญาณแล้ว เช่นนี้เจ้าจะฝึกฝนได้อย่างไร?”
เมื่อได้ยินว่ารากวิญญาณของลู่เฉินไม่อยู่อีกต่อไป บรรดาคนรับใช้ก็พากันพูดยั่วยุเสริมเข้าไปอีกว่า
“คราวนี้คงฝึกบำเพ็ญอีกไม่ได้แล้ว”
“หากปราศจากรากวิญญาณ เจ้าจะบ่มเพาะได้อย่างไร?”
“ไม่แปลกใจเลยที่คู่หมั้นของเขาจะอยากหนีไปกับคนอื่น!”
“อัจฉริยะในรอบพันปีของเรากลายเป็นคนไร้ค่าไปเสียแล้ว?”
ทว่า จู่ ๆ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้น
บุคคลผู้นี้แต่งกายด้วยชุดสีขาว มีผมปิดครึ่งหน้าด้านขวา และมีกลิ่นสมุนไพรตามร่างกาย
คนผู้นี้มาจากสำนักเก้าสุขสงบ เขามีนามว่าฉินหลิน แต่เนื่องจากทักษะทางการแพทย์ที่มากล้น ผนวกกับจิตใจอันดีงามของคนผู้นี้ ผู้คนจึงพากันเรียกเขาว่า…. ฉินเซียนอี้!
ทุกคนต่างรู้ดีว่าบิดาของลู่เฉินมีความสัมพันธ์กับฉินเซียนอี้ ดังนั้นคนที่เดินผ่านไปมาจึงไม่กล้าพูดอะไร แต่หลิวหยุนซานไม่เกรงใจ และยังพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ลู่เฉิน เจ้าเต่าหัวหด!”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น ฉินหลินพลันชำเลืองมองหลิวหยุนซาน ก่อนที่สีหน้าจะเผยความไม่พอใจ และกล่าวว่า “สำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์จะรับเจ้าเป็นศิษย์จริงหรือ?!”
ฉินหลินจ้องไปยังหลิวหยุนซาน จนทำให้นายน้อยแห่งตระกูลหลิวตกใจกลัว ก่อนจะวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นฉินหลินก็หันกลับไปมองลู่เฉิน
“ข้าขอตรวจร่างกายเจ้าเสียหน่อย!” ว่าแล้วฉินหลินก็ยกมือขวาขึ้น คว้ามือซ้ายของลู่เฉินเพื่อตรวจสอบชีพจรของชายหนุ่ม ในขณะที่มือซ้ายก็คลำเนื้อตัวของลู่เฉิน
“แปลก… ทุกส่วนปกติดี!” ฉินหลินถึงกับตกใจ