ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 9 เล่ม 1 : ดังนั้น พวกเราจึงลาออก(9)
- Home
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 9 เล่ม 1 : ดังนั้น พวกเราจึงลาออก(9)
6 ตุลาคม 2018 (วันเสาร์)
โยโยกิดันเจี้ยน
ผมกลับไปที่โยโยกิดันเจี้ยนชั้นหนึ่งที่ไม่มีคนอีกครั้ง ถึงเเม้ว่าโยโยกิดันเจี้ยนนั้นจะมีผู้เข้าสำรวจมากที่สุดในญี่ปุ่น เเต่ชั้นหนึ่งก็ยังไม่มีคนอยู่ดี เเน่นอนว่าเป็นผลดีกับผม ผมตามหาสไลม์เด้งดึ๋ง เพื่อนเเสนน่ารักของผมเเละฉีดสเปรย์ใส่ดังฟู่ เเละทุบต่อดังตุ๊บ ผมทำแบบนี้วนไปวนมา
“เด้ง ฟู่ ตุ๊บ เด้ง ฟู่ ตุ๊บ” ผมร้องเป็นเพลง
เมื่อวันก่อน ผมดูโฆษณาตัวเก่าของ ยาคุชิมารุ ฮิโรกะสำหรับซอฟอิน 1 บนยูทูป เเล้วทำไมผมถึงร้องเพลงเป็นทำนองเดียวกันกับโฆษณานั้นน่ะหรอ ก็เพราะมันเข้ากันดีไงล่ะ เเล้วทำไมผมถึงรู้จักไอดอลสมัยเก่าแบบนั้นน่ะหรอ ก็พ่อผมเป็นเเฟนคลับของฮิโรโกะน่ะสิ ที่บ้านเรายังมีซีดีของเธอด้วย
“จากที่เธอมีขอบเขตเสียงค่อนข้างเเคบ เเถมเสียงก็ใช่ว่าจะดี รู้เลยว่าคนเเต่งเพลงต้องลำบากขนาดไหน” พ่อผมเคยพูดเอาไว้ “ความง่ายๆของทำนองเพลงนี่เเหละที่ทำให้คุ้นหู”
ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรหรอก
ผมรู้สึกเหมือนว่าเป็นซิสิฟัสที่กำลังเข็นหินขึ้นภูเขา(1) ผมจดจำนวนสไลม์ที่ได้กำจัดไปในระหว่างที่ฮัมเพลงใหม่ไปด้วยจนเป็นซีเเมนติกซาทิเอชั่น(2) พอเห็นว่าSPที่ได้นั้นตรงกับที่เคยจดบันทึกเมื่อวันเเรก ผมก็เลยเลิกจดจำนวนSP
“เอาล่ะ” ผมพูดพลางถอนหายใจ “ตัวที่ 57”
ผมยืดหลังเเล้วจดจำนวนนั้นลงในสมุดโน๊ต บางทีสไลม์ก็ไต่มาจากเพดาน พอมีเหยื่อเดินผ่านมามันก็จะทิ้งตัวลงมาเพื่อกินเหยื่อ เเละถ้ามันตกลงมาใส่คน ส่วนมากเเล้วก็จะไม่สามารถดึงมันออกจากตัวได้ เพราะการทุบตีหรือการตัดนั้นไม่มีผล
การเผาด้วยไฟนั้นพอช่วยได้ เเต่คนที่สไลม์เกาะติดนั้นก็จะถูกไฟคลอกไปด้วย ดูเหมือนว่าเหตุการณ์พวกนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยด้วย พอผมรู้ดังนี้ก็เลยพยายามที่จะหลีกเลี่ยงที่ๆเพดานสูงเกินที่เเสงจะส่องไปถึง
“เเต่ว่าถ้าถูกสไลม์โจมตีจริง เจ้าสเปรย์นี่ก็น่าจะช่วยได้”
เเต่ผมก็ไม่อยากจะลองทดสอบด้วยตัวเองหรอกนะ
ในตอนนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงร้องเเว่วมาจากปลายทาง
“อะไรน่ะ”
พอตั้งใจฟังก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนตะโกนอยู่ด้านใน ผมเลยรีบวิ่งไปทางเสียงนั้น
***
“ระ-รีบๆเอามันออกไปจากตัวฉันสิ” ผู้หญิงตัวเล็กร้อง “ขยะเเขยง นี่มันตัวอะไรเนี่ย”
“กำลังพยายามอยู่!” ผู้หญิงตัวสูงตะโกนกลับ “เเต่ว่ามันไม่ยอมหลุดออกมาสักที”
ในลานกว้างเล็กๆด้านหน้า มีปาร์ตี้สองคนอยู่ ทั้งสองคนนั้นใส่ชุดป้องกันเริ่มต้น กำลังพัวพันกับสไลม์ที่ทิ้งตัวลงมาจากเพดาน
ถึงสไลม์จากชั้นหนึ่งของโยโยกิดันเจี้ยนนั้นจับใครบางคนได้ เหยื่อผู้โชคร้ายนั้นก็ไม่ได้ละลายในทันทีแบบเห็นได้ชัด ตราบเท่าที่สไลม์นั้นไม่ได้เกาะทั้งหัวเเล้วทำให้หายใจไม่ออก ก็จะยังไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต เเต่ก็ยังอันตรายอยู่ดีถ้ามีมอนเสตอร์เกาะติดตัวคุณอยู่
สไลม์นั้นเกาะอยู่กับผู้หญิงตัวเล็กตั้งเเต่บริเวณคอไปจนถึงช่วงอก เเละหญิงตัวสูงก็กำลังดึงสไลม์ออกอยู่เเต่ว่าไม่ค่อยได้ผลเพราะมือของเธอนั้นจมลงในตัวสไลม์
น่าเสียดายที่สไลม์นั้นไม่ได้ละลายเเต่เสื้อผ้าเเล้วปล่อยอย่างอื่นไป มันอันตรายมากกว่านั้น
“เป็นอะไรรึปล่าวครับ” ผมตะโกนเเล้ววิ่งไปที่พวกเธอ
ผู้หญิงตัวสูงมองมาที่ผมอย่างสิ้นหวังเเล้วตะโกน “ช่วยด้วย! ช่วยเราด้วยค่ะ!”
ผมดึงขวดสเปรย์ออกจากเอวเเละพ่นของเหลวใส่สไลม์ เเน่นอนว่าต้องตะโกนชื่อท่า
“เอานี่ไปกินซะ เจ้าสัตว์ประหลาด อะไรสักอย่างเนียมๆคลอไรด์!”
มันเป็นธรรมเนียมนี่นา
สเปรย์นั้นได้ผลดีอย่างเคย พอถูกฉีดด้วยมาคิรอน สไลม์ก็เเตกตัวออกเเละเหมือนจะหายไป
ผู้หญิงคนที่พยายามดึงสไลม์ออกนั้นตกใจกับสิ่งที่เห็น “อะไรน่ะ!”
“เฮ้ เธอเป็นอะไรหรือเปล่า” ผมถาม
ผมหยิบผ้าขนหนูสะอาดออกจากระเป๋าเป้เเละยื่นให้ผู้หญิงตัวเล็ก เธอกำลังร้องไห้
“หะ-หอบหุนห่ะ” เธอสะอื้นตอบพลางหยิบผ้าขนหนูไปเช็ดหน้ากับส่วนที่โดนสไลม์เกาะ ทันใดนั้นเธอก็มองขึ้นมาที่ผม “ดะ-เดี๋ยวก่อน นายคือนักวิจัยเมื่อตอนนั้นนี่”
“หือ?” พอมองดูดีๆอีกที ผมก็จำเธอได้ “เอ่ออ.. ไซโต้ใช่ไหม เเปลกนะที่มาเจอกันอีกครั้งในที่เเบบนี้”
ผู้หญิงตัวสูง – ที่ชื่อเท่ๆ – คิดว่านะ – กำลังมองมาที่หน้าผมเหมือนกัน “นายจริงๆด้วย” เธอตกใจ “ผู้ชายที่มากับมิโยชิ เอ่อ.. นายชื่ออะไรนะ”
“…โยชิมูระ” ผมตอบ “เธอคือมิตสึรุกิใช่ไหม”
“ใช่ ขอบคุณมากที่ช่วยนะ เเต่ว่าสารที่พ่นนั้นปลอดภัยสำหรับคนไหม”
จากที่พวกเธอทำทุกอย่างเเต่ก็ไม่สามารถทำอะไรสไลม์ได้ เเต่เจ้าของเหลวนี่กลับทำให้สไลม์ระเบิด ไม่ว่าใครก็ต้องสงสัยว่าเจ้ามาคิรอนนี่เป็นสารอันตรายรึเปล่า
“ตราบเท่าที่ไม่ได้เข้าปากหรือตาก็ไม่มีปัญหา” ผมตอบ “เหมือนกับสารละลายฆ่าเชื้อนั่นเเหละ ถ้าเธอเป็นห่วงก็ใช้น้ำล้างก็ได้”
ผมหยิบขวดน้ำสองลิตรออกจากเป้
“ขอบคุณอีกทีนะ” มิตสึรุกินำผ้าไปชุบน้ำเเละไปวางที่คอของไซโต้ตามที่ผมบอก เธอดูเขินเเละพูดขึ้นว่า “เอ่ออ ช่วยหันไปได้ไหมคะ”
“เอ้อ ขอโทษที ฉันไม่ทันได้คิด”
ผมรีบหันหน้าไปทางที่กว้าง เเละคอยสอดส่องหาสไลม์ ผมได้ยินเสียงผ้าเสียสีกันจากด้านหลัง มีเสียงเบาๆพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง เเค่เเดงนิดหน่อยเอง” หลังจากนั้นก็มีเสียงบ่นขึ้น “อ๊ะ มันเย็นนะ”
อืมมมม หญิงสวยสองคนเช็ดตัวให้กันงั้นหรอ อันตรายชะมัด
***
ผมพบผู้หญิงสองคนนี้เมื่อตอนไปอบรมพื้นฐานนักสำรวจ คนที่ตัวสูง ดูสวยแบบทอมบอยนั้นชื่อว่า มิตสึรุกิ ฮารุกะ ส่วนคนที่ดูน่ารัก ดูท่าจะเป็นที่นิยมพอควรชื่อว่า ไซโต้ เรียวโกะ เธอบ่นอย่างไม่พอใจ
“เดี๋ยวนี้มีใครเค้าตั้งชื่อลูกสาวว่า ‘โกะ’ ที่แปลว่าเด็กกันบ้างเนี่ย โธ่ ถึงจะเเต่งงานไปเเล้วชื่อก็ยังไม่เปลี่่ยนนะ”
ทั้งสองคนเป็น นักเเสดงเเละนางแบบสมัครเล่นที่อยู่บริษัทเดียวกัน
ใช่ มิโยชิเดาถูกเผง
“นายเป็นนักวิจัยจริงๆด้วย” ไซโต้ที่ฟื้นตัวเต็มที่เเล้วพูดพร้อมทำท่าชื่นชม “ไม่ว่าจะทุบหรือดึงเท่าไรสไลม์ก็ไม่เป็นอะไรเลย เเต่นายกลับกำจัดมันได้ด้วยการฉีดสเปรย์ครั้งเดียว สเปรย์นั่นเป็นอาวุธลับอะไรทำนองนี้หรอ”
“อะไรประมาณนั้น”
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่ามีขายที่ไหนหรือเปล่า” มิตสึรุกิถาม ตั้งเเต่ที่ผมช่วยเธอเอาไว้ เธอใช้พูดสุภาพตลอด “ตอนฉันลองค้นคว้าดู ก็ไม่เจออะไรทำนองนี้เลย”
“เปล่า ไม่มีขายหรอก เราสร้างมันขึ้นมาเองในอพาร์ตเมนของผมเมื่อไม่กี่วันก่อน ยังไม่มีขายหรอกตอนนี้”
มิตสึรุกิคอตกด้วยความผิดหวัง “งั้นหรอคะ”
ท่าทางของเธอบีบหัวใจผมเหลือเกิน ไม่เเปลกใจที่มิโยชิบอกว่าผมเชื่อคนง่ายเกินไป เเต่ผมเปลี่ยนตัวเองไม่ได้นี่นา จริงไหม
“เอ่อ” ผมพูด “ถ้าเธอต้องการ ผมเเบ่งให้ได้นะ”
มิตสึรุกิเงยหัวขึ้นมาทันทีเเละมองผมด้วยสายตาจริงจัง หน้าเธอเเดงเเละมีน้ำตานองทำให้ดูเหมือนเด็ก “จริงหรอ”
“โห ฮารุ ฉันเริ่มคิดว่าเธอเป็นนักเเสดงที่เก่งกว่าฉันเเล้วล่ะ” ไซโต้พูดพร้อมทำเเก้มป่อง “เขาไม่ได้ให้นามบัตรฉันด้วยซ้ำ”
อย่างนี้นี่เอง มิตสึรุกิเป็นนางเเบบ ส่วนไซโต้เป็นนักเเสดง ก็นะ ผมจะบอกให้ มิตสึรุกินั้นตรงสเปคผมมากกว่า ไม่ใช่ว่าเพราะผมได้หมดทั้งชายหญิงนะ ผมเเค่ชอบคนสวยๆเเบบนี้เเหละ
ตอนผมพูดเรื่องนี้ให้มิโยชิฟัง เธอพ่นลมดังพรึดเเล้วตอบว่า “ฉันลองคิดเลขดูเเล้วนะ มีสเปคที่ชอบมันไม่มีความหมายอะไรเลยถ้านายไม่มีใครให้เลือกตั้งเเต่เเรก”
“จริงหรือเปล่าที่ถ้าเพิ่มค่าประสบการณ์ในดันเจี้ยนจะทำให้มีออร่า” มิตสึรุกิถาม
ความจริงจังของเธอทำใหผมตกใจเล็กน้อย “หา” ผมถาม
ออร่างั้นหรอ หรือว่าเธอกำลังพูดถึงพลาสมาที่มาจากสนามพลังเเม่เหล็ก ที่เร่งออกซิเจนกับไนโตรเจนอะตอมเเล้วทำให้เกิดเเสง? อ๋อ หรือเธอพูดถึงออโรร่า?
มิตสึรุกิดูจริงจังมาก ผมต้องตอบ…อะไรสักอย่าง
“ตอนนี้ฮารุกำลังอยู่บนเส้นขอบเขต” ไซโต้พูด
เธอนั่นอยู่บนโขดหินเเล้วเริ่มพูดขึ้นด้วยท่าทีจริงจัง ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าปกติขึ้นมาทันที
“ขอบเขตหรอ” ผมถาม
“ใช่ ขอบเขตมันทั้งดีเเล้วก็กำกวมใช่ไหมล่ะ ฉันชอบนะ ทั้งขอบเขตระหว่างโลกเเละอวกาศ ขอบเขตระหว่างความเป็นเด็กกับความเป็นผู้ใหญ่ ถ้าคุณยืนอยู่เฉยๆก็จะเหมือนว่ากำลังตัดสินใจอะไรสักอย่าง จนกว่าจะขยับไปสักทาง จะไม่ตัดสินใจอะไรเลยก็ไม่เป็นไร ฉันเลยคิดว่ามันน่าสบายใจดีนะ”
นี่สินะคือตัวตนจริงๆของไซโต้
“เเต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเหมือนฉันใช่ไหมล่ะ”
ดูเหมือนว่ามิตสึรุกิจะเป็นนางเเบบนิตรสาร เธอจริงจังกับงานนี้มาสักพักเเล้ว จนได้เคยไปอยู่ในโคดันฉะที่เป็นนิตรสารสำหรับผู้ชาย เเต่ว่าความนิยมของเธอในโพลนั้นสู้คนอื่นไม่ค่อยได้
ก็จริงนะ ความผอมเพียวเเละออกเเนวผู้ชายนั้นไม่ค่อยเหมาะกับการถ่ายเเบบชุดว่ายน้ำเท่าไร
“ทั้งรูปร่าง สัดส่วน เเล้วก็ความสูงของเธอ ฉันคิดว่าเธอเหมาะกับการเป็นนางเเบบแฟชันมากกว่า” ผมบอกมิตสึรุกิ “เเทนที่จะมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ชาย ทำไมไม่ลองเปลี่ยนเป็นกลุ่มผู้หญิงดูล่ะ”
“ถูกเผงเลย” ไซโต้เเทรกขึ้นมา “นายก็รู้ดีนี่นา คุณนักวิจัย เธอเลยพยายามเปลี่ยนสายนี่เเหละ เเต่อยู่ดีๆจะเปลี่ยนสายเลยมันก็ยากเหมือนกันนะ”
“ใช่ ไม่ง่ายเเน่ๆ”
ถึงผมจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับงานสายนี้ก็เถอะ
“เดี๋ยวนี้ก็มีเด็กที่ทำทั้งสองสายเหมือนกัน ที่ออฟฟิศเราก็เลยมีเส้นสายอยู่บ้าง” ไซโต้เตะหินก้อนเล็กๆที่อยู่บนพื้น “ถึงเธอจะไม่มีปัญหาเรื่องคอมโพสิตกับหนังสือก็เถอะ เเต่พอมาถึงตอนสัมภาษณ์ขั้นตอนสุดท้าย พวกเขาปฏิเสธเธอตลอดเลย บอกกว่า ‘เหมือนขาดอะไรสักอย่างไป’”
“อะไรคือคอมโพสิตกับหนังสือล่ะ” ผมถาม
“คอมโพสิตก็คือไฟลล์คล้ายๆกับนามบัตรที่มีประวัติการทำงาน สัดส่วน อะไรพวกนี้ ส่วนหนังสือก็เป็นเหมือนอัลบั้มรูปของตัวเอง”
“น่าสนใจแหะ”
“พอมีคนคอยบอกว่าเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง ก็ต้องเริ่มคิดเเล้วว่า – ขาดอะไรไปกันเนี่ย -”
“ก็จริง”
“สุดท้ายก็มีไองั่งคนนึงบอกว่า ‘บางทีอาจจะเป็นที่ออร่าของเธอก็ได้’ ฮารุเป็นคนจริงจริงอยู่เเล้ว เลยเอาคำพูดพล่อยๆนั่นมาคิดจริงจัง”
“อืมม ถ้าให้ฉันคิดถึงออร่า ก็จะคิดถึงสิ่งที่รู้สึกได้เวลาที่คนทำอะไรสักอย่างจนชำนาญ” ผมพูด
“ใช่มั้ยล่ะ ไม่มีทางที่จะมีเเสงออกมาจากตัวได้หรอก”
จริงเเน่นอน ถึงจะเป็นนักเเสดงที่เก่งมากๆก็ตาม ถ้าเกิดมีการปล่อยเเสงอิเล็คโทรเเมคเนติคออกมาเพื่อทำให้คนรอบข้างหลงไหลก็คงมีเเต่ปัญหาตามมา ถึงผมจะปฏิเสธไม่ได้ว่าอาจจะมีออร์บที่มีสกิล ‘ชาร์ม’ หรือ ‘คาริสมา’ อยู่จริงๆ
“ถ้าพูดจากอีกเเง่ ฉันก็สงสัยอยู่” ผมพูด “การเคลื่อนไหวโดยไม่มีการสูญเปล่าจะเกี่ยวอะไรกับออร่าไหม”
มิตสึรุกิที่ฟังอยู่เงียบๆตลอดพูดขึ้นมา “หมายความว่ายังไง”
“โดยพื้นฐานเเล้ว เวลาที่เราใช้ร่างกายเพื่อที่จะทำอะไรสักอย่าง-”
“อย่างตอนโพสท่า?”
“ใช่ อย่างตอนโพสท่า ถ้าเป็นนักเเสดง เธอน่าจะต้องใช้สายตาเเละสีหน้าเพื่อสื่ออารมณ์ ส่วนสำหรับนางเเบบ วิธีการเดินจะเป็นส่วนเสริมความสวยงามให้กับชุดที่ใส่”
“ใช่”
“นั่นเเหละ น่าจะเป็นสิ่งที่คนพวกนั้นพยายามจะสื่อ” ผมสรุป
“น่าจะใช่นะ”
“เเต่ว่า การทีจะทำให้ร่างกายขยับเเบบที่ใจนึกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ยกตัวอย่างเหมือนกับการยื่นมือไปหยิบเเก้วน้ำบนโต๊ะ” ผมพูด “เพื่อที่จะทำเเบบนั้น เราต้องควบคุมร่างกายด้วยความเเม่นยำ ในระหว่างนั้นก็จะมีการส่งข้อมูลระหว่างเซ็นเซอร์ในร่างกายเพื่อตอบสนองการกระทำ”
“ก็จริง” มิตสึรุกิเห็นด้วย
“ถ้าเป็นเเบบนั้น การเคลื่อนไหวโดยไม่สูญเปล่าจะหมายความว่า ร่างกายของเธอจดจำท่าทางที่สวยงามอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นก็น่าจะเริ่มจากการลองขยับร่างกายในรูปเเบบที่เธอคิดว่ามันสวยงาม ห้ามมีท่าทางที่ผิดพลาด เเค่เล็กน้อยก็ไม่ได้ พอเธอทำจนมันเป็นธรรมชาติเเล้ว ก็จะเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่สูญเปล่า”
“แค่เล็กน้อยก็ไม่ได้หรอ”
“เพราะว่ามนุษย์นั้นไวต่อรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เพียงเเค่นิดเดียวก็อาจจะทำให้เป็นจุดสนใจได้”
“ทำให้การเคลื่อนไหวไม่สูญเปล่า…”
“พอกำจัดมอนเสตอร์เเล้วก็จะเเข็งเเกร่งขึ้น” ผมพูด “ความเเข็งเเกร่งที่เพิ่มขึ้นนั้นส่งผลกับความรวดเร็วเเล้วก็วิธีการควบคุมร่างกายด้วย”
“พูดอีกเเง่คือ ฉันสามารถพัฒนาการเคลื่อนขยับของร่างกายด้วยการกำจัดมอนสเตอร์หรอ”
“ใช่ เเต่การฝึนฝนธรรมดาก็ช่วยได้เหมือนกัน”
“ก็ใช่ เเต่ถ้าฉันเเค่ฝึกตามปกติก็คงไม่มีทางที่จะเอื้อมไปถึงบางที่ได้”
จริงด้วย เธอคนนี้เป็นคนพูดว่า “ที่นี่เราต้องเดิมพันด้วยชีวิตเเทน” เธอพูดจริงนะเนี่ย
ไซโต้อธิบายเสริม “ก็นะ นายอาจจจะเริ่มสงสัยเเล้วก็ได้ ในอีกไม่ถึงสองเดือน เธอต้องไปคัดตัวครั้งสำคัญน่ะ ตอนที่เธอเสนอว่าจะไปฝึกพิเศษเพื่อเตรียมตัว ฉันก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นการมากำจัดมอนเสตอร์เลย แถมถ้าเกิดเธอมีรอยแผลเป็นบนหน้าขึ้นมา มันไม่จบเเค่การคัดตัวเเน่ – อาชีพของเธออาจจะจบลงเลยก็ได้”
ถึงจะบ่นก็เถอะ เเต่ไซโต้ก็น่าจะเป็นคนดีที่ยอมมากับเพื่อนด้วย
สองเดือนงั้นหรอ… ทุกอย่างเกิดขึ้นเเบบเป็นเหตุเป็นผลกันงั้นสินะ
พอคิดเเบบนี้ ผมก็เริ่มอยากจะช่วยพวกเธอขึ้นมานิดหน่อย
“ที่ฉันกำลังจะพูดอาจจะฟังดูงี่เง่าอยู่สักหน่อย เเต่อยากจะลองดูไหมล่ะ” ผมถาม
“เเน่นอน” มิตสึรุกิตอบ
หลังจากอธิบายให้พวกเธอฟังเเล้ว พวกเราก็เดินสวนทางกับกลุ่มคนที่กำลังตรงไปที่ชั้นสอง เพื่อไปยังลานกว้าง พอไปถึงเราก็เจอสไลม์ตัวนึง
“อย่างเเรกคือฉีดสเปรย์ใส่สไลม์ดังฟู่…” ผมยิงของเหลวใส่สไลม์ ทำให้มันเหลือเเค่คอร์ จากนั้นก็รีบฟาดมันอย่างรวดเร็ว “นี่เป็นวิธีที่จะทำลายคอร์ของสไลม์”
“เข้าใจเเล้ว” มิตสึรุกิพูด
“สำคัญก็คือตอนทำลายคอร์ ต้องทำให้เร็วเเละเเม่นยำที่สุดโดยไม่ต้องใส่เเรงเข้าไปมากจนเกินไป”
ถ้าสเตตัสที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นผลจากการกระทำ การทำเเบบนี้น่าจะเป็นการจ่ายSPไปให้AGIกับDEX
มิตสึรุกิฟังอย่างตั้งใจเเละพยักหน้า
“เเละสุดท้าย เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด” ผมพูด
“คือ?”มิตสึรุกิพูดออกมา มองผมอย่างสงสัย
“พอกำจัดสไลม์เสร็จ ให้ออกจากดันเจี้ยนทันที อย่างน้อยก็ให้ออกเกินเขตดันเจี้ยนสักหนึ่งก้าว หลังจากนั้นก็กลับเข้ามาในดันเจี้ยนเเล้วกำจัดสไลม์เเบบเดิม ถึงจะมีสไลม์อีกตัวอยู่ใกล้กัน ก็อย่ากำจัดมันทันที”
ทั้งสองคนมองผมอย่างสงสัย
ก็คิดไว้อยู่เเล้วเเหละนะ
ถ้ามีคนมาบอกผมเเบบนี้ ผมก็คงเเสดงออกเเบบนี้เเหละ เเต่ถ้าเธออยากให้ได้ผลภายในสองเดือน ก็มีเเค่วิธีนี้เท่านั้น
“ดูเหมือนจะเสียเวลามากเลยนะ” ไซโต้พูดขึ้นมา “ออกเเล้วเข้ามาใหม่จะมีประโยชน์อะไรล่ะ”
มีเเน่อนสิ ถ้ากำจัดสไลม์ 10 ตัวติดกันจะได้เเค่ 0.059SP เองนะ เเต่ถ้าทำเเบบผมจะได้ตั้ง 0.2 มากกว่าสามเท่าซะอีก
เเต่ผมเงียบ เพราะอย่างไรก็ตาม ผมไม่สามารถบอกได้
“เเต่มันจำเป็นใช่มั้ย” มัตสึรุกิถาม เหมือนว่าเธอจะเชื่อผม
ผมทำได้เเค่พยักหน้า
ไซโต้จ้องผมอยู่สักพักก่อนที่จะละสายตาไป “ฮารุ ถึงหมอนี่ทึ่มสุดๆ แต่ก็ดูเป็นนักวิจัยที่เก่งอยู่…คิดว่านะ ไม่ต้องห่วง พวกเราจะทำตามคำเเนะนำของนาย”
ผมโล่งใจที่ได้ยินเเบบนั้น เเล้วผมก็บอกเรื่องที่ควรระวังอีกหลายอย่างให้พวกเธอฟัง สุดท้าย ผมขอให้พวกเธออย่าบอกใครเรื่องนี้ พอเสร็จผมก็ให้ค้อนสำรองไปสองอัน กับกระป๋องสเปรย์สองกระป๋องที่เต็มไปด้วยอะไรเนี่ยมๆสักอย่างคลอไรด์
“ทำไมต้องให้มาสองชุดล่ะ” ไซโต้สงสัย
“เธอจะมากับมิตสึรุกิอยู่เเล้วไม่ใช่หรอ” ผมตอบด้วยคำถาม
ไซโต้หน้าเเดงขึ้นนิดหน่อย
“มีอีกอย่าง อย่าโยนหินไปที่เป้าหมายของคนอื่นเด็ดขาด ไม่ว่ายังไงก็ต้องจัดการสไลม์ด้วยตัวเอง”
“เข้าใจเเล้ว” มิตสึรุกิตอบ
“เเล้วพอสเปรย์หมดเเล้ว ให้ติดต่อมาละกัน เดี๋ยวจะเตรียมอันใหม่ไว้ให้”
ผมส่งนามบัตรของผมให้ไซโต้ ในนั้นมีเบอร์โทรของผมอยู่
“รู้อยู่เเล้วว่าสุดท้ายนายก็ต้องให้นามบัตรฉัน” ไซโต้ยิ้มอย่างขี้เล่น
หลังจากนั้นผมก็ตามดูพวกเธออยู่สักพัก
“โห ง่ายชะมัดเลย” ไซโต้พูดอย่างดีใจ
“อย่าให้คนอื่นเห็นนะ” ผมเตือน
“รู้เเล้ว รู้เเล้ว เเต่ว่าต้องเข้าๆออกๆนี่มันยุ่งยากจริงๆ”
ทุกครั้งที่กำจัดสไลม์ พวกเราก็ออกจากดันเจี้ยนเเล้วเข้ามาใหม่ ถึงมันจะเป็นเเค่ระยะทางไม่ไกล เเต่ก็ยุ่งยากจริงๆ เเต่ก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก
“อย่าลัดขั้นตอนเชียวนะ” ผมพูด “ให้กลับมาที่นี่ทุกครั้ง”
“ค่า ค่าา เข้าใจเเล้วค่าาา” ไซโต้ตอบ “ถ้าไม่ได้ผลนะ ฉันจะบ่นให้หูชาเลย”
“เหอะๆ” ผมพึมพำ น่ากลัวชะมัด “อะ-เอาล่ะ น่าจะโอเคเเล้วนะ เเค่ทำเเบบนี้ไปซ้ำๆนี่เเหละ”
มิตสึรุกิโค้งคำนับอย่างสุภาพ “ขอบคุณมากนะคะ”
โดยพื้นฐาน การเคลื่อนไหวของเธอก็สวยงามอยู่เเล้วนะ
“เอ้อ เกือบลืมไป” ผมเพิ่มเติม “จะเป็นอะไรไหมถ้าฉันอยากจะฝากจดจำนวนสไลม์ที่กำจัดไปด้วย”
“หืม” มิตสึรุกิถาม “ได้สิ”
“งั้นก็เเค่นี้เเหละ”
ผมอวยพรให้พวกเธอโชคดีเเล้วตรงกลับบ้าน เพราะผมให้ค้อนพวกเธอไปก็เลยไม่มีอุปกรณ์เหลือเเล้ว
7 ตุลาคม 2018 (วันอาทิตย์)
โยโยกิดันเจี้ยน
ผมมาที่ชั้นหนึ่งของโยโยกิดันเจี้ยนเหมือนทุกที เเละก็ไม่มีคนเหมือนทุกทีด้วย ช่วงนี้มิโยชิกำลังลงเรียนคอร์สสุดสัปดาเพื่อเอาใบอนุญาติการค้าอยู่ ยัยนั่นขยันชะมัด ส่วนผมนั้น เพราะมิตสึรุกิกับไซโต้นั้นจะอยู่เเถวๆทางเข้า ผมเลยเข้าไปลึกกว่าปกติ
“อย่ามาขวางน่า” ผมร้องเป็นเพลง “เด้ง ฟู่ ตุ๊บ เเละนั่นคือตัวที่สามสิบเอ็ด!”
พอถึงตัวที่ 41 ก็จะครบ200ตัวพอดี ผมเเทบจะมั่นใจว่าต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นเเน่ๆ
เเต่ ว้าวว โยโยกิดันเจี้ยนนี่มันใหญ่จริงๆ
ระหว่างที่ เด้ง-ฟู่-ตุ๊บ สไลม์อีกตัว ผมก็คิดถึงความกว้างของดันเจี้ยนเเห่งนี้
ในตอนที่สำรวจครั้งเเรก SDFนั้นได้สร้างเเผนที่เเบบคร่าวๆของโยโยกิดันเจี้ยนเอาไว้ ดุเหมือนว่าจะมีรัศมีประมาณ 5 กิโลเมตร ดูจากขนาดเเล้ว ทางทิศเหนือคงจะไปถึงด้านหน้าของบาบะชิตะ ส่วนทิศใต้ก็จะถึง มุซาชิ-โคยามะ ด้านตะวันตกจะเป็นเอฟุคิโจ ส่วนด้านตะวันออก…พอมาคิดดู บริเวณส่วนนี้ของเส้นยามาโนเตะนั้นมากกว่า 5 กิโลเมตรมานิดหน่อย งั้นอย่างน้อยก็น่าจะถึงชินบาชิ
ถ้าดันเจี้ยนนั้นกินพื้นที่ใต้ดินของโตเกียวจริงๆ จะเกิดเหตุร้ายเเรงมากกว่ารถไฟใต้ดินถล่มลิบลับ ยังดีที่ดันเจี้ยนนั้นอยู่ในมิติส่วนตัว
ผมทำการเด้ง-ฟู่-ตุ๊บซ้ำๆระหว่างคิดเรื่องนี้ จนมีหน้าจอเมนูโผล่ขึ้นมาตรงหน้าเหมือนเมื่อไม่กี่วันก่อน พอเช็คดูจากที่จดไว้ ผมก็พึ่งรู้ตัวว่าพึ่งกำจัดสไลม์ตัวที่ 41 ของวันไปพอดี
“มาเเล้ว!”
สกิลออร์บ : การป้องกันทางกายภาพ | 1 / 100,000,000
สกิลออร์บ : เวทมนตร์น้ำ | 1 / 600,000,000
สกิลออร์บ : การฟื้นฟูสุดยอด | 1 / 1,000,000,000
สกิลออร์บ : สโตเรจ | 1 / 7,000,000,000
สกิลออร์บ : วอลต์ (1) | 1 / 100,000,000,000
85,998,741
เนื้อหาข้างในหน้าจอนั้นเเทบจะเหมือนกับวันก่อน เเต่ทว่าสกิลวอลต์นั้นกลายเป็นสีเทา แถมมีตัวเลขอยู่ด้านล่างด้วย จนถึงตอนนี้มันก็ยังลดลงเรื่อยๆ
หรือว่ามันจะเป็น.. ผมสงสัยเเละจดตัวเลขลงในโน๊ต
ตอนนี้ผมไม่สามารถเลือกวอลต์ได้ บางทีอาจจะเลือกออร์บเดิมเป็นครั้งที่สองไม่ได้ ไม่ก็…
“เลขนั่นคือคูลดาวน์รึปล่าว?”
ในบางเกม โดยเฉพาะเกมที่อิงตามเวลาโลกจริง – เมื่อคุณใช้ฟังชั่นใดๆไปเเล้ว ต้องรอให้เวลาผ่านไปจนถึงจุดๆนึงก่อนที่จะสามารถใช้มันได้อีกครั้ง – นี่เเหละคือคำจำกัดความของคูลดาวน์
ยังไงก็เถอะ เอาไว้ค่อยคิดทีหลัง ตอนนี้ผมกำลังทำการทดลองที่คุยกับมิโยชิไว้เมื่อหลายวันก่อน ผมเเตะไปที่เวทย์น้ำในเมนู เเละเมื่อออร์บโผล่ออกมา ผมก็เก็บมันไว้ในวอลต์
***
สุดท้ายเเล้วผมก็ได้ใช้ออร์บวอลต์จนได้ โดยเตรียมใจที่จะเสียสกิลเมคกิ้งด้วย “ในไลท์โนเวลพวกนั้นที่นายพูดถึง เวลาจะไม่เดินถ้าอยู่ในไอเทมบ็อกซ์ใช่ไหม” มิโยชิถาม “ถ้าวอลต์เป็นเหมือนกัน ทำไมเราไม่ใช้มันเก็บสกิลออร์บล่ะ”
คำพูดนั้นเป็นตัวทำให้ผมตัดสินใจ
ออร์บนั้นไม่มีอยู่ในตลาดซื้อขายเพราะความหายากของมัน เเต่ว่าเวลา 24ชั่วโมง 56 นาที 4 วินาทีนั้นเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุด พอเจอออร์บลูกนึง นักสำรวจจำนวนมากคงวาดฝันถึงเงินจำนวนมหาศาล เเต่ทว่าในความเป็นจริงเเล้วก็ต้องมาเจอกับเวลาที่จำกัด ทำให้ต้องน้ำตาตกตอนที่ไม่สามารถหาผู้ซื้อได้ทันเวลา
“ก็นะ ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดเรื่องนั้นตอนนี้” ผมพูดกับตัวเอง
สกิลนี่คงจะทำงานทุกครั้งที่มีการกำจัดมอนสเตอร์ครบทุกๆ100ตัว ถ้าเป็นเเบบนั้น ตอนนี้ผมควรจะสะสมออร์บให้ได้มากที่สุด หลังจากนี้อาจจะมีคนมาล่าสไลม์เป็นจำนวนมากก็ได้
“ที่จริงก็มีเเค่ ผม มิตสึรุกิกับไซโต้ สามคนที่เป็นทีมล่าสไลม์ล่ะนะ”
เเต่ว่า…สองเดือนหลังจากนี้งั้นหรอ
หลังจากเป็นผู้ใหญ่เเล้ว สเตตัสพื้นฐานของคนเรานั้นดูเหมือนว่าจะอยู่ประมาณ10ในทุกค่า ถ้าคุณเชื่อกลุ่มตัวอย่างที่มี ผม ผม เเล้วก็ผมล่ะนะ สไลม์หนึ่งตัวนั้นจะให้SP 0.02 ถ้ากำจัด10ตัวในหนึ่งวันก็จะได้ 1.00SP ในห้าวัน ถ้าทำเเบบนี้ไปตลอดสองเดือน ก็จะมีSPเพิ่มขึ้น10หน่วย เเล้วถ้าเอาไปเเบ่งให้สเตตัสใดสเตตัสหนึ่ง ก็จะเท่ากับค่าประสบการณ์20ปีของมนุษย์(3)
..เดี๋ยวก่อน 20ปีงั้นหรอ
เเถมโยโยกิดันเจี้ยนชั้นหนึ่งนั้นเต็มไปด้วยสไลม์ คนก็ไม่มี ถ้าเกิดว่าสามารถกำจัดสไลม์หนึ่งร้อยตัวในหนึ่งวันได้เเล้วล่ะก็ จะเท่ากับได้2SPต่อวัน เเละใน50วัน ก็จะเท่ากับได้ 100SP ซึ่งมีค่าเท่ากับค่าประสบการณ์ของมนุษย์ถึง200ปี
เดี๋ยวนะ ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไปได้ซวยเเน่ๆ หรือผมพลาดไปเเล้วที่เอาไปบอกมิตสึรุกิกับไซโต้…
“ไม่หรอมั้ง ผมน่าจะคิดมากไปเอง สุดท้ายเเล้วก็ต้องเสียเวลาเข้าๆออกๆดันเจี้ยนอยู่ดี ถึงพวกเธอจะจริงจังเเค่ไหนก็เถอะ คงจัดการสไลม์100ตัวในวันนึงไม่ได้หรอก”
ผมพยายามที่จะปลอบใจตัวเอง โดยการปล่อยใจให้ว่างไปกับการเด้ง-ฟู่-ตุ๊บซ้ำไปซ้ำมา
(1) ตัวละครในตำนานกรีก ที่ถูกลงโทษโดยเทพให้ทำสิ่งที่ไม่มีวันทำได้สำเร็จ นั่นคือการเข็นหินขึ้นภูเขา
(2) การอิ่มตัวทางความหมาย คือการพูดหรือทำบางอย่างซ้ำๆจนทำให้คำหรือการกระทำนั้นสูญเสียความหมาย เหลือเพียงเเค่เสียงหรือสัญลักษณ์
(3) ที่ญี่ปุ่นถือว่าเป็นผู้ใหญ่เมื่ออายุ 20 ปี