ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 59 เล่ม 3 : เฮเว่นส์ลีคส์ (13)
- Home
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 59 เล่ม 3 : เฮเว่นส์ลีคส์ (13)
20 ธันวาคม 2018 (พฤหัสบดี)
โยโยกิ-ฮาจิมัน ออฟฟิศ
“โอ้”
พอมองออกไปนอกหน้าต่าง ผมก็เห็นรถบรรทุกที่มีหลังคาคลุมหลายคันที่มีขนาดเท่ากันขับเรียงกันเป็นเเถว
“มีอะไรหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอก เเค่เมื่อกี๊ฉันเห็นรถบรรทุกสองตันเเบบมีหลังคาเเปดคันขับเรียงกัน เหมือนกับเป็นขบวนเลย”
เเต่เดิมเเล้ว คำว่าขบวนนั้นจะหมายถึงขบวนรถ ขบวนเรือ เเต่เพราะภาพยนตร์ของ เเซม เพคคินพาร์ ตอนนี้มันเอาไว้ใช้บรรยายกลุ่มของรถบรรทุกเเทน เเม้เเต่ในญี่ปุ่น
มิโยชิขยับมาข้างผมเเละมองออกไปนอกหน้าต่าง “จริงด้วยเพราะเเถวนี้มีซอกซอยเยอะ ถ้ามีคนย้ายเข้าย้ายออก คงใช้รถเเค่คันเดียวไม่พอ รถพวกนี้คงจะมุ่งหน้าไปบ้านที่อยู่ข้างในซอยละมั้ง”
“หือ เเมนชั่นใหญ่ๆนั่นหรอ”
จากที่ผมได้ยินมา เเมนชั่นนั่นอยู่ตรงนั้นนานมากเเล้ว มีคนย้ายออกจากที่นั่นด้วยหรอ
“ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงย้าย เเต่คิดว่าเจ้าของน่าจะล้มละลาย”
ฟังดูเเย่ก้จริง เเต่ก็อาจจะเกิดขึ้นได้
“จะว่าไป เดี๋ยวนี้เห็นรถบรรทุกเเบบนี้บ่อยเหมือนกันนะ ถึงบ้านเเถวนี้จะไม่ปล่อยให้เช่าก็เถอะ”
จนถึงตอนนี้ มีรถย้ายของวิ่งเข้าวิ่งออกจากอพาร์ตเมนที่อยู่หลังบ้านเราบ่อยเหมือนกัน เหมือนปล่อยใช่เท่าทุกปีงบประมาณยังไงอย่างงั้น
“หืมม…”
“มีอะไรล่ะ”
“ก็อย่างที่รุ่นพี่บอก มีหลายคนบ้ายออก เเต่เราไม่เห็นมีใครย้ายเข้าเลยใช่ไหม”
ถึงการย้ายเข้าจะใช้เวลานาน เเต่ผมก็ไม่เห็นใครยกของลงจากรถอะไรอย่างนั้นเลย เพราะตึกเเถวนี้ใหญ่เกินกว่าที่จะอยู่คนเดียว มันเลยไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไร
“อาจจะบังเอิญก็ได้”
รถบรรทุกขนคนเข้าหรือออกน่าจะมาในเวลาต่างกัน คนอาจจะมาทีหลังตอนผมกับมิโยชิไม่อยู่บ้าน
“บางทีล่ะนะ”
ช่วงหลังๆนี้ บริษัทขนย้ายจะทำให้งานมีประสิทธิภาพมากที่สุดเพื่อประหยัดค่าเเรง ทำให้เวลาที่ใช้นั้นสั้นลง
“ได้ยินมาว่าช่วงนี้ครอบครัวเล็กจะย้ายบ้านลำบากขึ้นเยอะ”
“ลำบากด้านยังไงล่ะ”
“บริษัทย้ายบ้านหลายบริษัทต้องมาเปรียบเทียบกันเพราะเรื่องค่าตีราคาฟรี”
“ก้ใช่ ถ้าไม่ทำเเบบนั้นก็โง่น่าดู เเต่ฉันเป็นพวกขี้ขลาด พอให้เขามาตีราคาเเล้วก้จะต้องจ้างบริษัทนั้นไปเลย”
มิโยชิส่ายหัว “เรื่องพวกนี้รุ่นพี่ไม่ค่อยประหยัดเลยนะ”
“เธอเองก็ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้เยอะเลยนี่ ฉันเลี้ยงข้าวเเพงๆเธอกี่มื้อเเล้วล่ะหา”
“อะเเฮ่ม ตอนเราย้ายมาที่นี่ ก้มีคนมาตีราคาให้ฟรีเหมือนกัน เเต่ว่า-”
เหมือนว่ามิโยชิจะนัดคนมาตีราคาทุกๆสามสิบนาที สุดท้ายเเล้ว ยามาดตะทรานสปอเทชั่น ซาไกมูฟวิ่งเซอร์วิส เเล้วก็ ศูนย์หนึ่งสองสาม ก็ต่อคิวกันเข้ามาเลย จากที่เธอบอก บรรยากาศตึงเครียดเอามากๆ
“เเทบจะหายใจไม่ออกเลยล่ะตอนนั้น พนักงานขายที่มาทำการประเมินจ้องฉันตาเขียวเลย”
“ไม่ใช่ว่าจินตนาการไปเองหรอ”
“ไม่หรอก พนันได้เลยว่าหลายๆคนก็ทำเเบบนี้ พวกพนักงานขายคงทำใจเเล้วล่ะ”
จากที่ได้ยินมา วงการย้ายบ้านเริ่มจะมองการย้ายบ้านเล็กๆไม่คุ้มกับกำไรเเล้ว เพราะคนโสดหรือนักเรียนไม่ค่อยจะมีของมากนัก พวกนั้นจะย้ายได้ง่ายกว่า ในอีกเเง่นึง ครอบครัวจะมีของมากกว่าเเละชอบมีบ่นอะไรเยอะเเยะ
“เเล้วก้บางบริษัทพยายามจะชิงความได้เปรียบเหนือคู่เเข่งด้วย”
“หมายความว่ายังไง”
“ตอนกำลังประเมินราคาอยุ่ บางบริษัทจะเสนอราคาที่ต่ำมากๆเเล้วบอกว่า “ถ้าบริษัทอื่นยังไม่ได้ให้ราคาประเมินล่ะก้ เราจะคิดราคาเท่านี้ ได้โปรดเลือกใช้เราด้วย””
“น่าประทับใจจริงๆ เธอก็เลยเลือกบริษัทพวกนั้นหรอ”
“เปล่า ฉันเลือกบริษัทที่ช่วยทิ้งเฟอร์นิเจอร์เก่าๆให้น่ะ”
บริษัทใหญ่ๆส่วนมากจะช่วยทิ้งขยะที่ไม่ต้องการให้ เเต่ว่าจะมาพร้อมกับเงื่อนไขมากมาย เเละในบางสถาการณ์ พวกเขาก็จะไม่ทิ้งให้ มิโยชินั้นจ้างนักออกเเบบภายในสำหรับบ้านใหม่ เพราะงั้นก้จะมีเฟอร์นิเจอร์อยู่เเล้ว เธอเลยทิ้งของเก่าทั้งหมดยกเว้นตัวที่มันมีค่ามากจริงๆ
พอมาคิดดู ฉันยังจ่ายค่าเช่าห้องโกโรโกโสนั่นอยู่เลย ต้องทำอะไรกับมันสักอย่างเเล้วล่ะ
“เสร็จเเล้ว!”
พอได้ยินเสียงประกาศชัยชนะของนารุเสะดังออกมาจากห้องแปล มิโยชิกับผมก็มองหน้ากัน
พอแอบมองเข้าไปในห้อง นารุเสะที่กำลังเหยียดตัวอยู่บนโซฟาเบด รีบลุกขึ้นมานั่งอีกครั้ง เเละยื่นยูเอสบีเเฟลชไดรฟให้มิโยชิ
“นี่เป็นเวอร์ชันสุดท้ายของทั้งภาษาญี่ปุ่นเเล้วก็ภาษาอังกฤษค่ะ”
ผ่านไปเเค่ 22วันเท่านั้นหลังจากที่นารุเสะได้สกิลแปลภาษาต่างโลก ความเร้วในการเเปลจารึก 266 ฉบับของเธอนั้นน่าจะมากกว่าของโมนิก้าอยู่มากโขโมนิก้าน่าจะมีความรู้ทางด้านภาษาโดยเฉพาะสุงกว่า เเต่มันอาจจะเป็นสิ่งขีดขวางได้ พราะมันจะทำให้เธอเข้มงวดกับตัวเองมากขึ้นทำให้การเเปลยากขึ้นไปอีก
เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด ผู้เชี่ยวชาญจะเลือกคำอย่างระมัดระวังเวลาจะอะิบายอะไรบางอย่าง เเต่ทว่ามันจะทำให้การทำความเข้าใจของคนปกติทั่วไปนั้นทำได้ยากขึ้น ถ้ามองในจุดนั้น นารุเสะมีข้อได้เปรียบในเรื่องการสร้างบทเเปลที่เข้าใจได้ง่าย ซึ่งความเข้าใจในเรื่องเเฟนตาซีเเละดันเจี้ยนก็จะช่วยเธอตรงนี้ด้วย
“ขอบคุณที่เหนื่อยนะ อีกเเค่ห้าวันก่อนที่เราจะเผยเเพร่บทเเปล”
“เหมือนรอมานานเเสนนานเลยค่ะ” นารุเสะตอบพร้อมกับถอนหายใจ
สำหรับคนที่จริงจังอย่างนารุเสะ การทำเป้นไม่รู้เรื่องในขณะที่กำลังกุมข้อมุลสำคัญเอาไว้คงทำให้เหนื่อยล้าไม่ใช่น้อย ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าเธอจะรู้สึกผิดเเค่ไหน เเต่พอเเปลเสร็จเเล้ว เธอน่าจะรู้สึกเหมือนคนอื่นๆที่ทำงานสำคัญๆเสร็จ ความรู้สึกพอใจนั้นมีเหมือนกันทุกคน
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…
ผมพุดขึ้นมา “อ้อ จริงด้วย หลังจากที่เราเผยเเพร่บทเเปลเเล้ว มิโยชิกับฉันตั้งใจว่าจะเปิดประมูลออร์บสกิลขุดเหมือง ต้องขอความช่วยเหลือจากเธอด้วยนะ”
นารุเสะทำตาโต “ห่ะ?”
…ปีศาจคอยจ้องหาโกาศเหมาะเจาะที่จะทะลวงหัวใจเหยื่ออยู่เเล้ว
23 ธันวาคม 2018 (วันอาทิตย์)
โยโยกิ-ฮิจิมัน ออฟฟิศ
“มิตสึรุกิกับไซโต้จะมาที่นี่ตอนบ่ายสามโมง” มิโยชิพูดขึ้นจากโต๊ะกินข้าวหลังจากเช็คดูข้อความ
“ขนมนั่นเเปลกดีนะ” ผมพูดถึงมันหวานเเผ่นทอกรอบที่เธอคีบไว้ระหว่างนิ้ว
“พอมันฝรั่งเคนปี้ทรงเฟรนชฟรายฮิตกันก็เเทบไม่ค่อยได้เห้นมันฝรั่งเเผ่นบางๆเเบบนี้เเล้ว เเต่มันอร่อยมากเลยนะ พอเริ่มกินเเล้วก็หยุดไม่ได้”
เคนปี้เป็นเเบบหนึ่งของลูกอมมันหวาน ผมไม่สนคำอธิบายของมิโยชิหรอก เเต่เพราะผมไม่ได้ทำอะไรสำคัญอยู่ตอนนี้ ผมก้เลยฟังผ่านหูเอาไว้บ้าง เเต่บทสนทนาก็กระโดดไปเรื่องเเครกเกอร์มันหวานจากไซตามะ
“ไม่รู้ว่าจะอธิบายรสชาติยังไงเหมือนกัน มันเรียบง่าย เเต่ก็ยัง-”
“พอได้เเล้วมิโยชิ ตอนนี้ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องความรักของเธอที่มีต่อมันฝรั่งทอดเเล้ว ตอนนี้มีความเคลื่อนไหวอะไรมาจากJDAรึเปล่า”
นารุเสะน่าจะรายงานเรื่องสกิลประเมินของมิโยชิเมื่อวานนี้
“ไม่เลย ฉันคิดว่าพวกเขาจะเรียกฉันไปทันทีซะอีก เเต่บางทีทุกคนอาจจะอยู่บ้านตอนสุดสัปดาหืนี้ก็ได้ คิดว่าJDAก็ใช้เวลาราชการเหมือนกัน”
“อย่าคิดไปคนเดียวเชียวนะ เดี๋ยวฉันจะไปด้วย”
“ขอบคุณมากเลย บางทีรุ่นพี่ก็เท่ดีนะ”
“เเล้วจะพยายาม”
มิโยชิดื่มชาที่เหลือ ผมไม่ค่อยเห้นเธอดื่มชาบ่อยเท่าไรนัก… เดี่ยวสิ นั่นมัน
“คงไม่ใช่ชาที่ฉันเก็บไว้สำหรับโอกาสพิเศาหรอกนะ ใช่ไหม”
“รสนิยมเครื่องดื่มของรุ่นพี่ไม่เลวเลย เเต่ชามันเก็บไว้ได้ไม่นานนะ”
ถึงชาญี่ปุ่นจะดูเเห้งๆก็เถอะ เเต่มันประกอบไปด้วยน้ำสามเปอร์เซ็น พอเปิดเเล้วมันจะรสขาติดีที่สุดได้เเค่สองสัปดาห์เท่านั้น เรื่องนี้เป็นความรู้ทั่วไป เเม้จะยังไม่เปิด เเต่ก็ควรจะดื่มให้หมดภายในสามเดือน
“เป็นชาเเรกที่ดีที่สุดของฤดูนี้เลย อย่างน้อยก้ต้องดื่มก่อนหน้าร้อน” มิโยชิพูด
“เออ รู้เเล้วๆ”
“ก็นะ เก็บชาสำหรับโอกาสสำคัญๆเอาไว้เเล้วก็ไม่มีโอกาสดื่มเนี่ย ฟังดูสมกับเป็นรุ่นพี่ดีจัง”
“ฉันก็เป็นคนขี้อายเเบบนั้นเเหละ ชงให้ฉันเเก้วนึงด้วยสิ”
“ได้เลย” ระหว่างที่ต้มน้ำร้อน มิโยชิก้ทำหน้าน่าหมันไส้ “กับผู้หญิง รุ่นพี่ก็ขี้อายเหมือนกันนะ รู้ไหม”
สนใจเรื่องตัวเองไปเหอะน่า
“อ้อ พูดถึงเรื่องที่เราคุยกันตอนวันศุกร์”
“ว่าไง”
“ฉันเจอข้อมุลที่ใช้ระบบตัวตนในกราฟของรุ่นพี่เเล้วนะ”
“จริงดิ”
หรือก็คือ โปรเเกรมนั่นที่ดูเหมือนจะไม่ส่งผลลัพธ์อะไรกลับมาเลยเพราะการคำนวนที่มากเกินไป ตอนนี้มันกลับทำงานของมันเเล้วงั้นหรอ
มิโยชิพยักหน้า “เราอาจจะระบุตัวตนได้ก็ได้”
“ยอดไปเลยนะ”
“เเต่ทว่าในอีกเเง่นึง..”
“ว่าไงล่ะ”
“ก็ถ้าอิงจากเป้าหมายเดิมของเราที่ต้องการจะป้องกันการถูกวัด ที่จริงก้ไม่จำเป็นที่จะต้องระบุตัวตนนี่นา”
ก็จริง การตั้งค่าสเตตัสของคนใดคนนึงให้เป็นค่าที่ถูกกำหนดไว้เเล้วนั้นจำเป็นจะต้องมีข้อมูลส่วนตัว ทว่า ตัวเครื่องนั้นต้องการรู้เเค่ใครที่ไม่อยากจะถูกวัด
“ใครที่ไม่อยากจะถูกวัดก็เเค่พกเครื่องที่ส่งสัญญาณหนึ่งๆออกไป หลังจากนั้นเราก็ให้เครื่องวัดจับสัญญาณนั่นเเละส่งผลลัพธ์กลับไปที่เซิฟเวอร์ เเค่นี้ก็ได้เเล้ว”
“ใช่ เเค่นั้นเอง”
“เเบบนั้นเราก็ใส่ฟังชั่นหลายๆอย่างเข้าไปได้ด้วย ไม่ใช่เเค่เเจมเมอร์”
มิโยชิพูดถูก เเต่ถ้าเราอยากจะสร้างเเจมเมอร์นี้ เราต้องคิดเรื่องอื่นด้วยไม่ใช่เเค่เรื่องความปลอดภัย อย่างเช่น ตอนที่ผู้ผลิตรายอื่นๆสร้างเครื่องวัดสเตตัส เเจมเมอร์ของเราก็จะใช้งานไม่ได้ผล คิดๆเเล้วเราจะต้องพกเครื่องเเจมเมอร์ของเเต่ละผู้ผลิตไปด้วย คงจะเป็นไปไมไ่ด้
“ฟังดูเหมือนประวัติของระบบจ่ายเงินทางอิเล็คทรอนิกส์เลยนะ”
“รุ่นหมายความว่ายังไง”
“ถ้าเครื่องวัดสเตตัสเเบบทั่วไปเริ่มมีการวางขายในตลาด เราก็ต้องมีเเจมเมอร์หลายเเบบสำหรับเเต่ละผู้ผลิต ฉันกำลังคิดว่ามันจะลำบากเเค่ไหน”
“ฉันว่าเหมือนตอนสร้างเครื่องเล่น mp3 มากกว่าระบบจ่ายเงินอิเล็คทรอนิกส์ซะอีก”
“ยังไงล่ะ”
“เครื่องเล่นที่ไม่สนใจเรื่องการป้องกันลิขสิทธิ์นั้นเป็นที่นิยมมาก ทำให้เครื่องที่มีลิขสิทธิืนั้นสู้ไม่ได้”
“เเสดงว่าผู้ผลิตที่ไม่สนใจเครื่องเเจมเมอร์ก็จะครองตลาดงั้นหรอ”
“เเถมพอไม่ต้องเพิ่มอะไรเข้าไป มันก้จะถูกลงด้วย”
“เเหงะ พวกโลภมากนั่น”
มิโยชิใช้น้ำร้อนที่เย็นลงเเล้วในการชงชา เธอวางกาลงบนเตา โพลี่เพนอลในชานั้นจะละลายในอุณหภูมิราว 60องศาเซลเซียส เเต่ทว่ากรดอมิโนจะละลายราวๆ 50 องศา เพราะฉะนั้นการคงไว้ซึ่งน้ำที่มีอุณหภูมิน้อยกว่า 60 องศานิดหน่อยจะทำให้ได้ชาที่รสชาติดีที่สุด นักชงชาฝีมือดีจะสามารถทำเเบบนี้ได้โดยอาศัยสัญชาติญาณ เเต่พวกเราคนปกติต้องพึ่งพลังวิทยาศาสตร์ในการทำตามผู้เชี่ยวชาญ น่าเสียดายว่าวิธีนี้มันจะไม่สวยงามเท่าไรนัก
“ยังไงก้เหอะ มันอีกนานกว่าผู้ผลิตคนอื่นจะทำเครื่องวัดของตัวเองมาได้ เเต่ที่สำคัญกว่านั้นน่ะสิ..”
“ว่า”
“ฉันไม่ได้บอกเรื่องนี้กับนารุเสะนะ เเต่เรามีปัญหาใหญ่กว่านั้นเเหละ”
“ปัญหาใหญ่หรอ ไคำนี้ไม่ค่อยได้ยินออกจากปากเธอเลยนะ”
“เครื่องนี้สามารถเเยกคนที่มีดี-การ์ดกับคนที่ไม่มีได้ด้วยน่ะสิ”
“เเยกยังไง”
“ถ้าไม่มีดี-การ์ด ค่าจะเป็นศูนย์ตลอดเลย”
“เเล้วมันเป็นปัญหาตรงไหน”
“ก้มันจะเเบ่งมนุษย์ออกเป็นสองกลุ่มไง”
ความขัดเเย้งกันระหว่างหมุษย์กลุ่มใหม่กับมนุษย์กลุ่มเก่านั้นเป็นพล็อตทั่วไปในนิยายดรามาไซไฟ ปกติเเล้วมนุษย์แบบใหม่จะมีพลังมากกว่า เเต่จะมีจำนวนน้อยเเละเป็นเหยื่อถูกกดขี่ข่มเหง
“ตอนเกิดมา ทุกคนจะเป็นมนุษย์เเบบเก่า เเละทุกคนก้จะสามารุเป็นมนุษย์เเบบใหม่ได้ด้วยการมีดี-การ์ด ฉันไม่เห้นว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นตรงไหน”
“รุ่นพี่ คนเราสามารถฆ่ากันตายได้เพราะมีคนกินเนื้อนะ ถ้าคนรู้กันไปทั่วว่าเราจะมีพลังมากขึ้นเพราะสเตตัสมากขึ้นนะ คนก็จะเถียงกันว่าการพัฒนานี้เป็นสิ่งที่ผิดหรือถูก ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
พอทรายเม็ดสุดท้ายหยดลงจากนาฬิกาทราย มิโยชิก็เทชาจากกาใส่ถ้วยที่อุ่นเตรียมเอาไว้ ของเหลวสีเขียวสวยส่องประากยอยู่ที่ก้นถ้วยสีขาว
“เเถมมนุษย์ใหม่ไม่สามารถกลับเป็นมนุษย์เก่าได้ด้วย จากพื้นฐานความเชื่อทางศาสนา ถ้าศัตรูปฏิเสธที่จะเปลี่ยน-”
“พวกเขาจะต้องถูกกำจัด เธอกำลังจะบอกเเบบนี้หรอ”
“ประวัติศาสตร์มันเต็มไปด้วยเรื่องราวเเบบนี้นี่นา”
เธอต้องคิดมากไปเองเเน่นอน ผมคิด เเต่มนุษย์นั้นชอบเเนวคิด “ความเป็นธรรมชาติ” ยิ่งเป้นคนญี่ปุ่นด้วยเเล้ว เเน่นอนว่าสเตตัสนั้นจะมีผลกับกีฬา การลงดันเจี้ยนอาจจะถูกมองเหมือนการโด๊ปยา คนที่มีเเละไม่มีดี-การ์ดอาจจะถูกเเบ่งออกเป็นสองหมวด หรืออาจจะมีอะไรอีกเเบบนึงโปล่ขึ้นมาเลยก้ได้ เพราะตอนนี้สเตตัสนั้นยังไม่ได้ถูกวัดเป็นตัวเลข การลงดันเจี้ยนเลยถูกมองว่าเป็นการฝึกเเบบเข้มข้นเท่านั้น เเต่ผมก็คาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต
“ถ้าเธอห่วงเรื่องนี้ ก็อย่าเเสดงค่าที่เป็น 0 ซะสิ”
“มันทำไม่ได้ไง” มิโยชิตอบ
“ทำไมล่ะ”
“เพราะตอนใช้เครื่องเเล้วก็กราฟพวกนั้น ฉันดึงค่าอะไรออกมาไม่ได้เลยถ้าคนๆนั้นไม่มีดี-การ์ด”
“อืม เป็นปัญหาจริงๆนะ” ผมนึกคำพูดไม่ออก เลยตอบส่งๆไป “เเต่อย่างน้อยก้ไม่ต้องห่วงเรื่องมีคนมาตะโกนว่า “พลังมากกว่าเก้าหมื่นงั้นเรอะ” พลังของเเกยังไม่ถึงเก้าด้วยซำ้ ไอกากเอ๊ย!”
“ก้ว่างั้น” มิโยชิหัวเราะ
โตเกียวมิดทาว์น
“โค้ช!” ไซโต้ร้อง “มีซานต้าถูกเเขวนอยู่เต็มไปหมดเลย”
ของตกเเต่งรูปซานต้าหลายอันนั้นถูกห้อยมาจากโครงเหล็กที่ดูคล้ายต้นคริสมาสต์ พอเห็นเเบบนั้น ไซโต้ก็เริ่มพ่นลมจากจมูกฟึ่ดฟัดด้วยความตื่นเต้น
“ถูกเเขวนหรอ ฟังดูเหมือนกำลังถูกประหารหมู่เลย”
“ฉันก็รู้สึกประมาณนั้นเเหละ”
“ถ้าเป็นเทรุเทรุ โบซุถูกเเขวนจากต้นไม้เเทน น่าจะน่ากลัวนิดหน่อย” มิโยชิเสริม
“เเต่ซานตามันน่ารักนะ” มิตซึรุกิพูด
พวกเราสี่คนกำลังเดินชมไฟตามทางที่โตเกียวมิดทาว์น ถ้าจะอธิบายว่าการมาเที่ยวครั้งนี้เกิดขึ้นมาได้ยังไงก็คงเรื่องยาว เเต่สรุปๆเเล้วคือ มิตสึรุกิกับไซโต้มาที่ออฟฟิศของเราประมาณหลังบ่ายสามโมงเย็น เพราะเราจองร้านอาหารไว้ตอนหกโมงครึ่ง เลยทำให้เราเหลือเวลาว่างสามชั่วโมง ที่จริงในตกนิดหน่อยจนมาถึงเมื่อกี๊ เเต่พอซาเเล้วมิโยชิก็เสนอให้มาเดินเล่นที่นี่
“ไปมิดทาว์นตอนช่วงคริสมาสหรอ คร่าตัวตัยชัดๆ”
“มันใกล้กับร้านอาหารที่จองไว้นี่นา มันน่าจะสนุกดี เเถมฝนเพิ่งตก คนไม่เยอะหรอกน่า เเถมฉันได้ยินว่าจะมีกิจกรรมด้วยนะ”
“ได้ยินจากใคร”
เมื่อวันก่อน มิโยชิไปซื้อของขวัญใช้อาช่าจากร้านเพชรพลอย ตอนนั้นเธอได้ใบปลิวจากพนักงงาน เกี่ยวกับกิจกรรมที่มีการคอเเลปกัน
“พวกคนที่ทำงานด้านเพชรพลอยนี่ขยันกันน่าดูเลยนะ”
มิโยชิพยักหน้า “เหมือนเส้นสายจะสำคัญมากๆในวงการนี้เลย”
พอมาตรวจสอบดู กิจกรรมดอเเลปนี้ดูเหมือนจะเป็นกิจกรรมคริสมาสต์ พอฝนหยุดตก มิโยชิเลยหยิบเรื่องนี้มาเป็นการฆ่าเวลา “ก้น่า เเวะไปดูหน่อยก่มีอะไรเสียหาย” พวกเราทั้งสี่คนคิด เเต่สุดท้ายก็โดนหลอกจนได้
“ที่นี่คนเยอะชะมัดเลย เเถมเเสงไฟพวกนี้ก้ทำให้ฉันไม่สบายด้วย”
“เเปลกชะมัด จากที่ได้ยินมา ที่นี่น่าจะคนเริ่มเเน่นอนตอนหกโมงนี่ ก่อนพระอาทิตย์ตกน่าจะไม่เป็นอะไร”
“น่าจะจริงถึงเเค่ก่อนวันที่สี่สิบไม่ใช่หรอ” ไซโต้ถาม
มิโยชิดูตกใจ “ทำไมล่ะ”
“ที่เราเจออยู่ตอนนี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์เเล้วนี่” ผมตอบ
“ก้นะ สนุกไปกับคนจำนวนมากก็เป็นส่วนหนึ่งของคริสมาสต์ในโตเกียวนี่เเหละ”
ใช่ รู้สึกเหมือนเป็นฉลองการถูกตรึงกางเขนมากว่าฉลองการเกิดซะอีก
พอเราตามฝูงชนไป อยู่ดีๆไฟก็ดับลง หลังจากนั้นไม่นาน ก้มีไฟสีฟ้าสว่างขึ้นไปด้วยลาน ทำให้ทุกคนรอบๆอุทานด้วยความยินดี
“เเสงสีฟ้าสว่างไปทั่วพื้น” ผมพูดกับตัวเอง “ทำเอานึกถึง เดอะโพลาโนพลาซ่า เลย”
มิตสึรุกิที่ยืนอยู่ข้างผมน่าจะได้ยิน ระหว่างที่เธอมองไปที่งานเเสดงเเสงไฟ เธอก็ฮัมเพลงจาก เดอะโนพลาโนเเบบละครเวทีไปด้วย “ในเรื่องนั้น เเสงเล็กๆจากดอกโคลเวอร์สีขาวสว่างไปทั่วพื้น เเละกลิ่นมันก็กระจายไปทั่วในอากาศ ใช่ไหมล่ะ” เธอพูด
“ใช่ ใช่เลย”
การเเสดงไฟที่พลาซ่านั้นเริ่มฉูดฉาดขึ้นเรื่อยๆ มีเเสงไฟพุ่งไปมาในกากาศเหมือนดาวตก
“เเต่ว่านะรุ่นพี่ เดอะโพลาโนพลาซามันเกี่ยวกับงานเทศกาลหน้าร้อนไม่ใช่หรอ” มิโยชิถาม
ผมส่ายหัว “จะสนใจรายละเอียดไปทำไมถ้าเราสามรถฮัมเพลงอย่างมีความสุขไปพร้อมกับเเสงโคลเวอร์สีขาวท่ามกลางกลุ่มดาวกาเลกซี่”
“ก็ไม่รู้สินะว่าจะร้องเพลงอย่างมีความสุขกลางเเจ้งในหน้าหนาวได้ไหม” มิโยชิบ่น “จะว่าไป มีใครรู้ไหมว่าในเดอะโพลาโนพลาซ่า หนวดเเมวมันหมายถึงอะไร”
มีหลายคำที่เป็นปริศนาโผล่มาในเเบบละครเวที หนึ่งในนั้นก็คือคำภาษษาอังกฤษว่า “เเคทส์ วิสคเกอร์”
“เป็นเพลงจาก เบนสันออเครสตา จากชิคาโก ครูที่โรงละครบอกฉันมาน่ะ” ไซโต้ตอบ
“ว้าว เธอเรียนจากโรงละครด้วยหรอ” ผมถาม
“คะ-โค้ชกำลังดูถูกฉันอยู่หรอ นักเเสดงหน้าใหม่คนไหนจะไม่เคยไปเรียนจากโรงละครล่ะ”
ก็สมเหตุสมผลล่ะนะ ผมคิดเเต่ก็เปลี่ยนเรื่องทันที “จะว่าไป มิยาซาวะ เคนจิใช้ภาษาที่เข้าใจยากเยอะเลยนี่ ฉันยังไม่รู้เลยว่าปัญหาของคันยา ไฮยูคืออะไร”
“ไม่อยู่ในสารานุกรรมของมิยาซาวะเคนจิหรอ”
“น่าจะมีนะ เเต่หนังสือนั้น เล่มใหญ่ขนาดมากกว่าหนึ่งพันหน้าเชียว อยากได้เเบบอีบุคส์จริงๆ”
มีเเสงไฟสว่างวาบเข้ามาในสายตา พอโชว์เเสงไฟอันยิ่งใหญ่จบลงเเล้ว เเสงก็ค่อยๆดับลง หลังจากนั้นเเสงไฟสีฟ้าก็ค่อยๆสว่างขึ้นเต็มลานอีกครั้ง การเเสดงน่าจะกำลังจะจบเเล้วล่ะ
พอผมมองไปข้างๆ ก็เจอว่ามิตสึรุกิกำลังมองผมอยู่
“มีอะไรหรอ”
“โยชิมูระ” เธอกระซิบ “คุณทำอะไรสักอย่างเมื่อวันก่อนใช่ไหมคะ”
“หา”
ไม่ต้องนึกผมก็รู้ว่าเธอพูดถึงเรื่องที่ผมเอาSPเธอไปเเบ่งลงค่าสเตตัส มิตสึรุกิยังไม่เลิกจ้องผม เเต่พอกิจกรรมจบลง เธอก็หันกลับไปทางลานกว้างเเละกระซิบอีกครั้งว่า “ฉันจะถือว่าเป็นของขวัญคริสมาสต์ก็เเล้วกัน ขอบคุณนะคะ”
“โอ้อ เอ่อ อืมม”
ระหว่างที่ผมไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ พวกเราก็เดินต่อไปตามทางที่กระเเสของคนพาเราไป
“มิโยชิ มิโยชิ เราจะไปทานข้าวเย็นกันที่ไหนนะ” ไซโต้ถาม
“วันนี้คือที่มิตะเเหละ”
ผมมองไปที่ เดอะริทซ์-คาลตัน “มิตะหรอ จากที่รู้จักเธอ ฉันเดาว่าเป้นที่ อาซัวสี่สิบห้าซะอีก”
อาซัวสี่สิบห้าเป็นภัตตาคารหรูของ เดอะริตซ์-คาลตัน
“ใช่เลย มันจะเป็นจุดหมายที่วิเศษมาก ในช่วงเวลานี้ของวัน, แสงสุดท้ายที่ละลายเข้าไปในความมืดมิด, และภาพของเมืองค่อยๆ ปรากฏออกมาอย่างมีชีวิตชีวาจากแสงของมันเอง ลองจินตนาการถึงการที่ได้สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ, เมื่อมีสเต็กที่ปรุงแต่งอย่างประณีตจากเชฟมิยาซากิ ถูกวางตรงหน้าในบรรยากาศอันหรูหรานี้ รสชาติและบรรยากาศนั้นจะเข้ากันอย่างสมบูรณ์แบบจนไม่อาจหาคำใดมาอธิบายได้”
เเต่มิโยชิก้ทำไหล่ตกเละทำหน้าเศร้า ผมคิดไปเองรึเปล่าว่าช่วงนี้เธอทำตัวโอเวอร์บ่อยๆ
“เเต่ว่านะรุ่นพี่ อาซัวสี่สิบห้าช่วงคริสมาสมีเเต่คู่รักอยู่เต็มไปหมด นอกเหนือจากคู่รักเเล้วไม่มีใครสามารถผ่านประตูไปได้หรอก เพราะได้รับความเสียหายทางจิตใจกันหมด”
ถ้าเราต้องถูกห้อมล้อมด้วยคู่รักหวานเเหววจากที่นั่งในร้านล่ะก็ ผมคงอ้วกเป็นน้ำตาลเเหง ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเราจะดูเเปลกขนาดไหน
ระหว่างที่ทำท่าทางเเปลกๆ มิโยชิก้มองขึ้นไปที่โรงเเรมเเละพูดเหมือนเธอกำลังอยู่บนเวที “อย่างน้อยในวันนี้ พวกเราสี่คนก็เหมือนกับอดัมกับอีฟที่ถูกไล่ออกจากสรวงสวรรค์ เราจะมองขึ้นไปยังเทวทูตถือดาบไฟที่เฝ้าอยู่หน้าประตู “พวกเจ้าไม่มีใครสามารถผ่านไปได้” เทวทูตนั้นพูด บังคับให้พวกเราจับมือกันเละหอบสังขารลงจากชั้น 45”
“ไม่เอาน่า อย่างน้อยก้ให้เราใช้ลิฟได้เถอะ”
มิตสึรุกิกับไซโต้หัวเราะคิกคักระหว่างที่ฟังพวกเราคุยกัน
“เเล้ว ทูตสวรรค์นั่นที่จริงไม่ได้ถือดาบไฟ เเต่ถือป้ายว่าร้านเต็มเเล้ว ใช่ไหมล่ะ”
“ใช่เลย! จองก็ไมไ่ด้ ไม่มีใครยกเลิกด้วย ทำไมทุกคนมีเงินเหลือกินเหลือใช้ขนาดนั้นล่ะ ฟองสบู่เเตกไปตอนยี่สิบปีที่เเล้วไม่ใช่หรอ”
ไซโต้เเทรกตัวเข้ามาระหว่างมิโยชิกับผม เเล้วเกี่ยวเเขนเราทั้งคู่ “งั้นเราจะไปกินข้าวกันที่โกลเด้นฮิลงั้นหรอ”
โกลเด้นฮิลเป็นร้านอาหารที่เปิดมายาวนานในมิตะ เเล้วเชฟที่นั่นก็เป็นเเถวหน้าของวงการอาหารฝรั่งเศสในญี่ปุ่น
เเต่ว่ามิโยชิตอบกลับด้วยการส่ายนิ้ว “ฟังนะ ไม่ว่าจะดูกี่ร้านตอนคริสมาสต์ พวกเขาจะมีเมนูตามเทศกาลที่ใช้วัตถุดิบเเละอาหารไม่ต่างจากเวลาทั่วไป เเต่จะขึ้นราคาไป 1.5 เท่ามากกว่าปกติ!”
สำหรับเชฟอาหารฝรั่งเศสเเล้ว คำพูดเมื่อกี๊ทำให้ทะเลาะกันได้เลย เเต่มันคือความจริง
“เพราะงั้น เราเลยจะไปกินอาหารญี่ปุ่นกัน วันนี้เราจะไปที่ ฮารุคาวะ เจ้าของร้านเป้นชายที่ชื่อ โมโตยามะ มีรอยยิ้มที่วิเศษมาก ในช่วงเวลานี้ปลามังกรจะละลายในปาก เเล้วก้ข้าวปูทาคิโคมิจะอร่อยเป็นพิเศษ” มิโยชิหยุดพูดเเละเลียริมฝีปาก “ปลามังกรที่เรากินที่ไนโตะกับไอช่าก็อร่อยมาก เเต่ตอนนั้นยังไม่ถึงฤดูของมันดีเลย”
ไซโต้หันกลับมาหามิตสึรุกิที่กำลังเดินอยู่ข้างหลังพวกเราก้าวนึงเเล้วเริ่มล้อเธอ “ว้าว ฮารุน่ะชอบปูมากเลยรู้ไหม เธอชวนฉันไปกินปูมัตสึบะด้วย ตอนนั้นไม่ยอมออกจากโรงเเรมเลย เเถมไม่พูดอะไรสักคำ”
“หน่ะ-นั่นมันเป็นความผิดพลากสมัยยังเด็กหรอก!”
“จะว่าไป ยังไม่เคยถามเธอเลยว่าได้เล่นเป็นบทอะไร” ผมถามไซโต้
“ในหนังน่ะหรอ เอ่อ ก็มันเริ่มจากโรงเเรมในฮ่องกง เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักต้มตุ๋นสามคน ฉันเป็นหนึ่งในนั้น เเล้วก็เป็นตัวละครหลัก เเต่ตัวเนื้อเรื่องฉันบอกละเอียดไม่ได้”
พวกเขาน่าจะอยากเก็บบทไว้เป็นความลับจนกว่าจะออกฉาย
“เล่นเป็นนักต้มตุ๋นหรอ เหมาะกับเธอมากเลย” ผมถาม
“หมายความว่ายังไง ฉันเป็นเด็กสาวใสซื่อเเล้วก็จริงใจนะ”
นี่เเหละ ที่ผมกำลังพูดถึงอยู่เนี่ย
ผมยื่นกล่องเล็กๆให้ไซโต้ที่ยังคล้องเเขนผมกับมิโยชิอยู่ “เอ้านี่ ยินดีด้วยนะ”
“เอ่อ อะไรหรอ เป็นของขวัญที่ฉันได้บทหลักหรอ”
ผมพยักหน้า “ใช่ เเล้วก็หมายความว่าฉันเป็นคนที่ทำตามสัญญาไง”
“โห คืออะไรกันนะ ขอเปิดเลยได้ไหม”
“ก็ได้นะ เเต่อยากจะเดินไปเปิดไปหรอ”
“ก็ไม่น่าจะมีใครสนใจนะ”
หลังจากที่ค่อยๆเเกะกระดาษห่อออกอย่างระมัดระวัง ไซโต้ก็เปิดฝากล่องออกมีเสียงเเป๊ก
“ว้าว…”
ในกล่องนั้นบรรจุด้วยต่างหูประดับด้วยหินสีม่วงคู่นึง เเน่นอนว่าผมให้เเหวนเธอไมไ่ด้ เเล้วสร้อยคอก็ใหญ่ไปด้วย ผมก็เลยเลือกทางปลอดภัยด้วยการให้ของขวัญเเบบเดียวกับมิตสึรุกิ
“จากที่ได้ยินมา หินนี่สามารถเปลี่ยนสีได้จากชนิดของมันเเล้วก็จากนางฟ้าที่มันส่องเเสงไปโดน ตรงจุดนี้ทำให้ฉันนึกถึงเธอล่ะมั่ง”
“หืม มันคืออเล็คซานไดรท์หรอ”
“ก็ใช่ ฟังดูเหมือนห้องสมุดเเห่งอเล็คซานเดรียใช่ไหมล่ะ”
ทำไมเธอถึงตัวเเข็งไปล่ะ
มิโยชิถอนหายใจเเล้วอธิบายให้ผมฟัง “รุ่นพี่…รู้ไหมว่าในภาษาหิน อเล็คซานไดรท์หมายความว่ายังไง”
ภาษาหินหรอ มันคืออะไรกันฟร่ะ เเค่ภาษาดอกไม้ผมยังไม่รู้ คิดว่าผมจะเข้าใจภาษาหินเรอะ
“เอ่อ.. ไม่ละ”
“อเล็คซานไดรท์หมายความว่า “ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่””
“อะไรซ่อนอยู่นะ”
ใครมันเป็นคนคิดความหมายไร้สาระพวกนี้ขึ้นเนี่ย
“เอ่อ โอเค ฉันเข้าใจสถานการณ์เเล้ว” ไซโต้พูด “ต่างหุพวกนี้ดูหรูหราสุดๆ ขอบคุณมากๆเลยนะโค้ช!”
“อะ-อืมม พยายามต่อไปล่ะ”
ระหว่างที่กำลังถือกลองของขวัญอยู่ ไซโต้ก้พลกตัวไปอยู่ข้างมิตสึรุกิเเละกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูเธอ “โล่งอกไปเลยใช่ไหมล่ะ ฮารุ”
“หา โล่งอก ฉันไม่รู้ว่าเธอพูดถึงอะไร…”
หลังจากนั้นพวกเราทั้งสี่คนก็ขึ้นเเท็กซี่ จากถนนไอเกนฮิกาชิ เราเลี้ยวขวาที่สี่เเยกอิกูระ-คาตามาจิ หลังจากที่เข้าถนนอะซุบุเเล้วก็เลี้ยวซ้ายที่สะพานซันโนฮาชิ ตะเกียงหินของฮารุคาวะก้จะปรากฏให้เห็นทันที
ปลามังกรนั้นครีมมี่มากจนละลายในปาก เเล้วปลาฮิมิหางเหลืองก้มีไขมันกำลังพอดี อร่อยทั้งคู้ เเต่ดูเหมือนอาหารที่มิตสึรุกิชอบมากที่สุดคือโครอกเกะครีมปูเอจิเซ็น