ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 58 เล่ม 3 : เฮเว่นส์ลีคส์ (12)
โยโยกิ-ฮาจิมัน ออฟฟิศ
“งั้นหลังจากที่ทำร้ายจิตใจหมอนั่นเเล้ว เธอก็กลับไปเก็บงานอีกทีงั้นหรอ”
“เก็บงานอะไรล่ะ รุ่นพี่ทำเหมือนฉันเป็นมือปืนเลย ฉันเเค่เอาดอกไม้ไปเยี่ยมหน่อยเดียวเอง”
“เอ่อ ดอกไม้หรอ”
“ใช่ น่าเสียดายที่เอาดอกไม้ไปให้ไม่ได้เพราะส่วนมากมันหลุดบานหลังจากเดือนสิบ เเต่ฉันก้ให้กระถางดูรันต้าไปนะ”
ผมขมวดคิ้ว “เธอเอากระถางดอกไม้ไปเยี่ยมคนป่วยในโรงพยาบาลจริงๆเรอะ”
ถึงคำว่า “เนซุกุ” จะมีความหมายว่า “หยั่งราก” เเต่คำว่า “เนตสึกุ” นั้นจะหมายความ่าป่วยอยู่บนเตียง เพราะฉะนั้น การให้กระถางต้นไม้ให้กับคนไข้ที่อยู่ในโรงพยาบาลนั้น จะหมายถึงลางร้าง คนก็เลยหลีกเลี่ยงกัน การคุกคามของมิโยชินี่มันไม่มีขอบเขตเลยจริงๆ
“สลบไปเเค่วันเดียวนี่ยังห่างไกลกับการนอนโรงพยาบาลนะ เเต่ว่าพอฮิมูโระนึกชื่อของพุ่มไม้นั่นได้ เขาก็หน้าซีดเลย โปรดักชันไดเรคเตอร์นี่ก็รอบรู้ดีเหมือนกัน”
“ยังไงนะ ดูรันทัสมันมีพิศหรืออะไรทำนองนั้นหรอ”
“ไม่มีทาง นั่นมันโรงพยาบาลตำรวจเลยนะ”
“เเล้วปัญหามันอยู่ตรงไหนล่ะ”
“ในภาษาดอกไม้ ดูรันต้าหมายความว่า…” มิโยชิหยุดพูด เเละทำหน้ายิ้มหวาน “ฉันจะคอยดูคุณอยู่”
น่าสยองชะมัด มิโยชิ ไปเอามาจากหนังสยองขวัญเรื่องไหนเนี่ย
“ตอนเเรกก้คิดถึงดอกทานตะวันเหมือนกัน ที่หมายความว่า ฉันจะมองเเค่เธอ เเต่ว่ามันเป็นดอกที่บานปีละครั้ง ก็เลยหาไม่เจอที่ไหนเลย ถึงจะเป็นในกระถางก็ตาม”
“เธอฟังดูเหมือนพวกผู้หญิงยันเดเระเลย”
“เเต่ถ้าเป็นคนรักกัน ทั้งทานตะวันกับดูรันต้ามันจะโรเเมนติกมากเลยนะ”
ถึงมิโยชิจะหัวเราะโดยที่ไม่ได้คิดอะไรไม่ดีก็เถอะ ผมเข้าใจได้เลยว่าทำไมฮิมูโระถึงหน้าซีด หลังจากโดนขู่ เขาก้ได้รับข้อความที่หมายความว่า “ฉันกำลังจับตาดูนายอยู่” จะมีใครไม่กลัวบ้างล่ะ
“ฉันยังบอกไปด้วยว่าต้องการความช่วยเหลือจากใครสักคนในวงการสื่อ เเล้วเขาก็ยินดีที่จะช่วยด้วยล่ะ ดีจังที่เขาเป็นคนที่เข้าใจได้ดี”
“ยินดีเรอะ เธอเเน่ใจนะ”
มิโยชิมองออกไปไกลๆ พยายามผิวปากเเบบบงี่เง่า
“อย่าทำอะไรที่เป็นบัตรเชิยไปที่คุกละกัน”
“ไม่ทำหรอก!” เธอพ่นลมออกมาอย่างขุ่นเคือง เหมือนผมพูดอะไรหยาบคายออกไป เเต่ดูเหมือนเธอจะยังจะให้ฮิมูโระช่วยอยู่
สำนักงานใหญ่ JDA, อิจิกายะ
มิฮารุเดินอย่างเหนื่อยล้าระหว่างเเหงนมองไปที่สำนักงานใหญ่ของJDAที่อิจิกายะ เธอยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะรายงานเรื่องที่รู้มาจากดีพาวเวอร์สเมื่อไม่นานมานี้ยังไง
“เพราะตอนนี้ยังพูดถึงเฮเว่นลีคส์หรือขุดเหมืองไม่ได้ ฉันน่าจะเริ่มจากประเมินกับฟาร์มได้นะ” มิฮารุพูดกับตัวเอง “เเล้วก็อาจจะจบด้วยเครื่องวัดสเตตัส”
ถึงจะรู้ข้อมูลทั้งหมดเเล้วก็เถอะ เเต่ฉันไม่สามารถกำหนดได้งั้นหรอว่าจะปล่อยข้อมูลส่วนไหนออกไปให้โลกรับรู้ได้บ้างน่ะ เเน่สิฉันทำเเบบนั้นไมไ่ด้เเน่ ไม่ใช่เซียนในการสื่อสารมาจากที่ไหนซะหน่อย
“ทำไมอยู่ๆก็เข้ามาล่ะ นารุเสะ” ไซกะถาม
มิฮารุมาที่ออฟฟิศของไซกะคนละเวลากับที่เคยเข้ามารายงานตามกำหนดการ ไซกะรู้สึกว่ามีอะไรไม่ธรรมดา เขาจึงปิดประตูออฟฟิศซึ่งปกติจะเปิดเอาไว้ เพื่อให้เเน่ใจว่าไม่มีอะไรรั่วไหล
“ฉันอยากจะรายงานด่วยเรื่องของดี-พาวเวอร์สค่ะ” มิฮารุพูดเเละส่งเเฟ้มให้หัวหน้าของเธอ
ปัจจุบันนี้ เรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวกับดี-พาวเวอร์นั้นจะถูกจัดการโดย หัวหน้าฝ่ายการจัดการดันเจี้ยน เพราะว่ามีเรื่องจำนวนมากที่ไม่สามารถเปิดเผยออกไปได้
“ขอบคุณที่เหนื่อยนะ” ไซกะพูดเเละหยิบเอกสารของเขาเองส่งให้มิฮารุ “เธอเอาพวกนี้ไปอ่านในระหว่างที่ฉันอ่านรายงานของเธอก็เเล้วกัน”
มองผ่านๆน่าจะเป็นเอกสารเกี่ยวกับกฏสำหรับพื้นที่ในดินเจี้ยนที่เพิ่งถูกเขียนขึ้นมา
“ฉันจะต้องได้รับการยินยอมจากฝ่ายขายของเรื่องในเอกสารนั่น เเต่พอถามว่าทำไมถึงจำเป็นต้องตัดสินใจในเรื่องนั้น กลับไม่มีใครให้คำตอบได้สักคน ทำเอาจนปัญญาเลยล่ะ”
มิฮารุพยักหน้า “เพราะตอนนี้ไม่มีโอกาศไหนที่จะสามารถขอยืมพื้นที่ในดันเจี้ยนได้”
พอดี-พาวเวอร์สเปิดเผยจารึกเกี่ยวกับพื้นที่ปลอดภัย เรื่องก็อาจจะเปลี่ยนไป เเต่ตอนนี้ ถ้าพูดถึงเรื่องขอยืมพื้นที่ในดันเจี้ยน ก็จะมีเเค่เรื่องของนักสำรวจที่อยากจะสร้างฐานเท่านั้น ยกตัวอย่างก้คือฐานที่อยู่ใกล้กับทางออกของชั้นเเปด เเต่ไม่มีใครคิดว่าจะมีการขอยืมอะไรที่ใหญ่กว่านั้น เเน่นอนว่า JDA จะเก็บค่าเช่ากับฐานพวกนั้นไม่ได้ด้วย
สุดท้ายเเล้ว พวกพนักงานขายก็ไม่ได้จริงจังเรื่องการใช้งานพื้นที่นักเเละปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายจัดการดันเจี้ยน ในอนาคตอันใกล้นี้ พวกนั้นจะต้องร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด เสียใจกับเรื่องนี้เเน่นอน เเต่ตอนนี้คงไม่มีใครคาดคิด
“เเต่ว่าสองคนนั้นคงไม่ได้วางเเผนจะไปใช้ชีวิตเเบบสโลว์ไลฟ์ในดันเจี้ยนใช่ไหม เธอคิดว่าเป้าหมายจริงๆของพวกเขาคืออะไร”
มิฮารุยิ้มอย่างคลุมเคลือให้กับคำถามนี้ เธอสงสัยว่าโยชิมูระนั้นโกหกอยู่เเทบทั้งหมด
“เพราะพวกเขาไม่ต้องการพื้นที่ขนาดใญ่อะไร มันอาจจะเป้นการทดลองอะไรสักอย่าง” เธอสงสัย “เเต่ก็บอกไม่ได้ว่าที่จริงเเล้วพวกเขาตั้งใจจะทำอะไร”
“มีเหตุผล” ไซกะพยักหน้า “เเต่ถ้าพวกเขาอยากจะทำอะไรกับพื้นที่ในดันเจี้ยนเเล้วล่ะก็…”
หัวหน้าฝ่ายกอดอก ทำหน้าจริงจังเเละคิดอยู่สักพัก
“หัวหน้าคะ?”
“เธอคิดว่าพวกเขาหาทางรับมือกับสไลม์ได้เเล้วรึเปล่า”
“อะไรนะคะ?”
ก็จริง – ถ้าอยากจะสร้างอะไรสักอย่างในดันเจี้ยน จำเป็นจะต้องมีมาตรการรับมือกับสไลม์ เธอไม่รู้ว่าวิะีรับมือคืออะไร เเต่ถ้าดี-พาวเวอร์สได้คิดค้นวิธีอะไรขึ้นมาได้จริงๆ เธอก็คงไม่เเปลกใจสักนิด สองคนนั้นโยนคำว่าปกติออกไปนอกหน้าต่างตั้งนานเเล้ว
“จะให้ลองถามไหมคะ”
“นั่นสินะ เเต่อย่าไปเเย่รังเเตนจะดีกว่า”
“เข้าใจเเล้วค่ะ”
“เเต่ยังไงก็เถอะ ถ้าดี-พาวเวอร์สทำเรื่องใหญ่โดยที่เราไม่มีเวลาเตรียมตัวอีกล่ะก็คงจะลำบาก จับตาดุสถานการณ์ไว้ให้ดีก้เเล้วกัน”
พอเห็นท่าทีเป็นกังวลของหัวหน้าของเธอ เธอคิดออกได้เลยว่าเขารู้สึกเป็นกังวลขนาดไหน
“จะทำตามนั้นค่ะ ที่อยากจะไม่ได้เป็นเวอร์ชั่นสุดท้าย เเต่จะเป็นอะไรไหมคะถ้าฉันจะเขียนสัญญากับดี-พาวเวอร์สเรื่องกฏการใช้พื้นที่”
“ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ คิดซะว่าเป็นสัญญาตัวทดลองก็เเล้วกัน”
“ขอบคุณค่ะ”
มิฮารุเเละไซกะอ่านเอกสารอยู่สักพัก สีหน้าของไซกะเเย่ลงไปเรื่อยๆ สุดท้ายเเล้วเขาก็ถอนหายใจยาวออกมาเเละพูดกับมิฮารุอีกครั้ง
“พูดมาตามตรงเถอะ นารุเสะ รายงานนี้ไม่ใช่การทดลองเขียนนิยายตามจินตนาการใช่ไหม”
“น่ากลัวว่าจะไม่ใช่ค่ะ”
ทุกอย่างที่อยู่ในรายงานของเธอนั้นมันไร้สาระโดยสิ้นเชิง
“งั้นหรอ ถ้างั้น อาซึสะ มิโยชิเป็นผู้มีสกิลประเมินจริงๆรึ”
“ไม่ผิดเเน่ค่ะ ฉันตรวจสอบดี-การ์ดของเธอเเล้ว”
ในรายงานนั้นมีส่วนที่นารุเสะถามถึงความสามารถของสกิลประเมินด้วย จากที่มิโยชิบอก มันสามารถให้คำอธิบายของสกิลออร์บกับไอเทมดรอปได้
“ถ้ามีสกิลประเมิน จะช่วยให้เรารับมือกับสกิลที่ยังไม่ถูกค้นพบได้ปลอดภัยมากกว่าที่เคยเป็นมามาก”
“ใช่ค่ะ”
“จากรายงานของเธอ มอนเตอร์ที่ดรอปสกิลประเมินคือลูกตาจากคฤหาสน์พเนจรงั้นหรอ”
“ใช่ค่ะ คฤหาสน์พเนจรเป็นคฤหาสน์ที่อยู่ในวีดีโอของหน่วยข้อมูลดันเจี้ยน มีลูกตาหลายตัวที่ห้อยอยู่กับขอบหลังคา”
“งั้นการหาออร์บประเมินอีกลูกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสินะ”
“ตอนนี้เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน เเต่เธอบอกว่าด้วยสกิลนั่น ดี-พาวเวอร์สได้สร้างเครื่องที่สามารถเเสดงสเตตัสขึ้นมาได้งั้นหรอ”
“ใช่ค่ะ พวกเขาวัดสเตตัสของฉันด้วย เเต่ทว่าเครื่องนั้นไม่สามารถวักค่าของคนที่ไม่ใช่นักสำรวจดันเจี้ยนได้ เป็นข้อจำกัดที่หลีกเลี่ยงไมไ่ด้ค่ะ”
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเราจะมาไกลขนาดนี้”
นี่มันเป็นเครื่องยืนยันการมีอยู่ของสเตตัส ที่ผ่านมามันเป้นเเค่ข่าวลือในหมู่นักวิจัยเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ ดีพสวเวอร์สยังสร้างเครื่องที่สามารถวัดค่าสเตตัสเป็นตัวเลขเเละเเสดงออกมาเสร็จเเล้วด้วย ในจุดนี้พวกเขาเเซงหน้านักวิจัยเรื่องนี้ไปหลายช่วงตัวเลยทีเดียว บางทีพวกเขาอาจจะมีหุ่นยนต์เเมวจากอนาคตด้วยก็ได้
“JDA คงอยากจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เเน่นอน”
“เเต่ดี-พาวเวอร์สนั้นมีทั้งเงินทุนเเล้วก็เทคโนดลยีเเล้วนะคะ ยังมีตัวต้นเเบบที่สามารถทำงานได้เเล้วด้วย ฉันคิดว่าตอนนี้ไม่มีอะไรที่JDAจะเสนอได้เลย”
เธอพูดถูก ไม่มีช่องให้JDAเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลย เราคงไม่มีทางเลือกนอกจากก้มหัวให้ขอคำเเนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้
ไซกะพูดสิ่งที่เขาคิดออกมา “ถ้าผู้บริหารมิซุโฮะรู้เรื่องนี้ เขาต้องพยายามทำอะไรโง่ๆอยู่เบื้องหลังเเน่”
“ฉันได้ยินมาว่าชื่อเสียงของเขาตกลงหลังจากเรื่องเหตุการณ์ออร์บเเปลภาษาต่างโลกสินะคะ”
เหมือนว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเยอะเเยะหลังจากการประชุมนั่น
ไซกะทำหน้าไม่ดี “เขาน่าจะเห็นว่านี่เป็นโอกาสในการกู้คืนชื่อเสียงตัวเอง”
ในทุกวันนี้ ไม่มีใครจะมาฟังคำพูดที่ว่า “เพื่อประโยชน์ของญี่ปุ่น” อีกเเล้ว ฝั่งอเมริกา ยุโรป หรือเเม้เเต่จีนก็คงเหมือนกัน ถ้าคนพูดหวังดีกับประเทศจริงๆก็เป็นอีกเรื่องนึง เเต่ถ้ามันเป็นเเค่คำพูดกลวงๆก็คงไม่มีใครให้ค่าอะไร คนทั่วไปคงพยายามตีตัวออกห่าง
ยังไงก้ตาม คุณค่าของ มิโยชิ อาซึวะนั้นพุ่งสูงขึ้นอย่างมากจากเรื่องพวกนี้ เธอไม่ใช่เเค่นักสำรวจดาวเด่นของญี่ปุ่นอีกเเล้ว ไม่ล่ะ เธอกลายเป็นนักสำรวจทีสำคัญที่สุดในโลก เธอเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมจำนวนมากจนเเทบจะเป็นอันตราย ที่จริงก้มีข่าวลือมาว่าบางประเทศพยายามที่จะลอบสังหารเธอด้วย
“ดี-พาวเวอร์สได้ขายวิญญาณให้กับปีศาจในดันเจี้ยนหรืออะไรทำนองนี้รึเปล่า”
เมื่อไม่กี่วันนี้ เพิ่งมีเรื่องการยืมพื้นที่ในดันเจี้ยนเกิดขึ้นในเเฟนก เราเพิ่งจะจัดการได้ ไม่รู้ว่าจะต้องมีกฏใหม่ๆออกมามากขนาดไหนเพราะว่าดี-พาวเวอร์สกันนะ ฉันจินตนาการไม่ออกเลย
“ฉันอยากจะคิดว่าเธอเริ่มเป็นบ้าเเล้วเขี้ยนรายงานพวกนี้ขึ้นมาเองมากกว่า เรื่องคงง่ายขึ้นเยอะ”
“หัวหน้าเเย่ที่สุดเลยค่ะ”
ถึงจะหัวเราะไปด้วย เเต่มิฮารุก็คิดเเบบเดียวกัน เพราะข้อมูลพวกนี้ทั้งสำคัญเเล้วก็ผิดปกติ เธอจะต้องระวังอย่างมากในการเลือกคนเเละสถานที่ที่จะรายงาน ดชคยังดีที่เธอมีหัวหน้าที่มีความสามารถที่น่าจะให้อภัยเธอถึงเธอจะใช้เขาเป็นผู้เสียสละก็ตาม ทำให้เธอกังวลน้อยลง
ไซกะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้เเละยืดหลังมองออกไปนอกหน้าต่าง “ดูเหมือนพายุจะเริ่มก่อตัวอีกเเล้วนะ”
ด้านนอกนั้น ท้องฟ้าทั่วโตเกียวดุสดใส เเต่ทว่าไกลออกไป มีเมฆสำดำเล็กๆเริ่มกำลังก่อตัว
18 ธันวาคม 2018 (วันอังคาร)
โยโยกิ-ฮาจิมัน ออฟฟิศ
เช้าวันนี้ นารุเสะเข้ามาที่ประตูหน้าพร้อมกับหอบเอกสารมาด้วยในวงเเขน
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
“อรุณสวัสดิ์ มาเร็วจังนะ” มิโยชิตอบ
“ค่ะ เรื่องการเช่าพื้นที่น่ะค่ะ ผลยังไม่เป้นที่เเน่ชัด เเต่ว่าทุกอย่างก็ได้เรื่องราวมาสักพักเเล้ว ฉันเลยมารายงานเรื่องนี้”
เหมือนที่คุยกันก่อนหน้านี้จะออกดอกออกผลเเล้วสินะ
มิโยชิกำลังเตรียมชาสำหรับตอนเช้า เเต่ทว่าก่อนที่เราจะคุยกันเรื่องรายละเอียด มิโยชิก็เก็บความไม่พอใจเอาไว้ไม่อยู่เเละประท้วงออกมา
“สามหมื่นเยนต่อสามตารางเมตรครึ่งงั้นหรอ!”
“ใช่เเล้วค่ะ”
“ราคาพอๆกับออฟฟิศในรปปงงิหรือไม่ก็ชินจูกุเขตสามเลยนะ”
“มันเเพงขนาดนั้นเลยหรอ” ผมถาม
มิโยชิทำหน้าเหนื่อยใจเเต่ก็ยอมอธิบายให้ผมฟัง “รุ่นพี่ อพาร์ตเมนเก่าของรุ่นพี่กี่ตารางเมตรจำได้ไหม”
“หืม ห้องกินข้าวก็ 6.2 ห้องด้านในเกือบ 11 ถ้ารวมห้องอาบน้ำกับพื้นที่วางของต่างๆก็ประมาณ 33 ตารางเมตรมั้ง”
“ใช่เลย ห้องสตูดิโอปกติจะประมาณ 32 ตารางเมตร ถ้าจ่ายสามหมื่นเยนต่อ 3 ตารางเมตร เดือนนึงจะต้องจ่ายค่าเช่า สามเเสนเยนนะ”
“โหห เเพงชะมัด”
“ราคาเเพงพอๆกับกินซ่าเลย เอาหลักการอะไรมาคำนวนกันเนี่ย”
มิโยชิเริ่มบ่นใส่นารุเสะ เเต่นารุเสะนั้นเเค่ส่งต่อข้อความที่JDAตัดสินใจ จะไปเค้นกับนารุเสะก็จะมีเเต่สร้างความลำบากใจให้เธอเปล่าๆ
“ใจเย็นๆก่อนมิโยชิ จะโกรธใส่นารุเสะตอนนี้ก็ไมไ่ด้อะไรหรอก”
“ก็จริงอยู่หรอก เเต่คิดดูนะ ถ้าสมมุติว่าเเต่ละชั้นของโยโยกิดันเจี้ยนมีลักษณะเป็นวงกลมรัศมีขนาด 5 กิโลเมตร พื้นที่ก็น่าจะประมาณ 5000 x 5000 x 3.14 ตารางเมตร”
“ก็จริง”
“ถ้า JDA ให้เช่าทั้งชั้นด้วยราคานี้ เดือนนึงก็จะได้ค่าเช่ามากกว่าเจ็ดเเสนล้านเยน นี่มันปล้นกันชัดๆ”
“เธอคำนวนทั้งหมดนั่นในหัวหรอเนี่ย”
นารุเสะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขอโทษ “พอพื้นที่ปลอดภัยเป็นที่รู้กันเเล้วราคาน่าจะลดลงนะคะ เเต่ตอนนี้นี่เป็นราคาสำหรับบริษัทหากำไรที่จะมาเช่า”
เเต่นี่ก็ไม่ทำให้มิโยชิใจเย็นลง
“เอาล่ะๆ เราจะเช่าเเค่ 3.5 ตารางเมตร” ผมขัด
“เเค่นั้นหรอคะ”
“ใช่ ตอนนี้เเค่นี้ก็พอเเล้ว”
เพราะสุดท้ายเเล้ว เราต้องการยืนยันเเค่สองอย่าง ว่าพืชที่โตในดันเจี้ยนนั้นสามารถงอกใหม่ได้หรือไม่ เเละถ้างอกใหม่ได้จริง ต้องถึงระดับถึงจะถูกตีความว่าเป็นของของดันเจี้ยน ทั้งสองอย่างนั้นไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่อะไรเยอะเลย
“ได้ งั้นเอาเเค่ สามตารางเมตรครึ่งนี่เเหละ เเล้วตำเเหน่งเราสามารถตัดสินใจเองได้ไหม” มิโยชิพูด
นารุเสะพยักหน้า “ได้ค่ะ ตราบเท่าที่ไม่ได้อยู่บยถนนหลักจากชั้นสองไปชั้นสาม น่าจะไม่มีปัญหาอะไร ฉันจะเอาใบอนุญาติมาให้ทีหลัง JDAอยากจะให้เอาใบอนุญาติไปติดไว้สักในในบริเวณที่คุณจะใช้”
“เข้าใจเเล้ว”
เยี่ยมไปเลย ผมคิดพร้อมกับรู้สึกตื่นเต้น ในที่สุดเราก้ทำการทดลองด้านการเกษตรของเราได้เเล้ว
“เเสดงว่าคุณมีวิธธีการรับมือสไลม์เเล้วหรอคะ” นารุเสะถามพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
“หา?” ผมถาม
“ปกติเเล้วสไลม์น่าจะกินใบอนุญาติ ไม่ว่าจะเอาไปติดตรงไหนใช่ไหมล่ะคะ”
“อ้อ เอ่อ อืมม ก็คงงั้นมั้ง”
“คุณไมไ่ด้บ่นอะไรตอนที่จะเอาใบอนุญาตไปติด เเสดงว่าน่าจะหาทางป้องกันได้เเล้วใช่ไหมล่ะคะ” นารุเสะกดดันต่อ
“เอ่อ ก็… นั่นมัน…เป็นส่วนหนึ่งของการทดลองเหมือนกันน่ะ”
“พอได้ผลลัพธ์เเล้ว รบกวนบอกฉันด้วยนะคะ”
“อืม ก็ได้”
มิโยชิพยายามกลั้นหัวเราะระหว่างมองผมที่พยายามเเก้ตัว
ตราบเท่าที่คนยังไม่รู้ว่าสไลม์นั้นดรอปออร์บประเภทสโตเรจ คนก้จะไม่ไปล่าสไลม์กัน ถึงจะเป็นอย่างนั้น มิโยชิกับผมก็เคยคุยกันเรื่องที่จะเปิดเผยสิ่งที่เราเจอกับเบนซิโทเนียมคลอไรด์เเล้ว ในอนาคต มันจะเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเอาไว้ปกป้องสิ่งก่อสร้างในดันเจี้ยน ถ้าคิดเเบบนั้น จะเปิดเผยข้อมูลนี้กับนารุเสะก้จะไม่มีปัญหาอะไร เเต่ในขณะเดียวกัน ผมรู้สึกเหมือนว่าจะพ่ายเเพ้
“งั้นเดี๋ยวเราค่อยไปเลือกตำเเหน่งทีหลังไหม” มิโยชิถาม
“ก็ดี”
สุดท้ายเเล้ว ผมก็คงต้องขายขี้หน้า เเต่ตัวการทดลองนั้นค่อนข้างน่าสนใจ เอ๊ย เอาใหม่ ผมตั้งใจจะพูดว่า มีค่ามากเเละบางทีอาจจะช่วยโลกเอาไว้ได้ด้วย
บ่ายวันนั้นพวกเราก็ไปที่โยโยกิดันเจี้ยนเพื่อหาตำเเหน่งดีๆ
โยโยกิดันเจี้ยน ชั้นสอง
“รุ่นพี่ ที่ตรงนี้ดีไหม”
“อืมมม”
ที่ตรงนี้เป็นเนินเตี้ยๆเเละมีต้นไม้ต้นนึงขึ้นอยู่ด้านบน
“สมมุติว่าเราเอาตาข่ายลวดมาขึงไว้กับต้นไม้นั้นเเละคลุมพื้นที่เอาไว้เหมือนกับเต๊น มันจะกันพวกก๊อบลินได้ไหม” มิโยชิถาม
เราจะใช้เสาเข็มก้ได้ เเต่ถึงอย่างนั้นลวดก้จะยังไม่มั่นคงอยู่ดีถ้าขุดลงดินไม่ลึกพอ เเต่ทว่าถ้าเราใช้ต้นไม้ที่โตอยู่เเล้วเป็นเสาหลัก ก็จะเเก้ปัญหาได้ เเละต้นไม้นั่นตั้งโด่อยู่ต้นเดียวเเละไม่ใหญ่เกินไป สไลม์ไม่น่าจะมาโจมตีจากด้านบนได้เหมือนกัน
ผมพยักหน้า “คิดว่าได้นะ”
พวกเรามองไปรอบๆ ดูเหมือนจะมีก๊อบลินไม่เยอะ เเต่ยังไงก้เราสร้างเเผนที่จะปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดไว้อยู่ดี รวมถึงต้นไม้ด้วย โดยใช้โดมขนาดสามเมตรที่ทำจากตาข่ายลวด ก๊อบลินน่าจะปีนขึ้นมาด้านบนตาข่ายได้ เเต่ว่าผมไม่อยากจะใช้กำเเพงตันๆเพราะมันจะบังเเสงอาทิตย์ เเถมเราตั้งใจจะมียามเป้าก๊อบลินด้วย
“ขุดคูน้ำรอบๆก็น่าจะดีนะ เเต่ไม่รู้จะเอานำลายเอเลียนไปใส่ในคูดีไหม”
ผมไม่รู้ว่าก๊อบลินดื่มน้ำหรือกินอาหารไหม เเต่ผมไม่อยากจะให้มอนสเตอร์มาอยู่รอบๆคูน้ำเเละดื่มน้ำลายเอเลียนเข้าไป
“หรือว่าจะล้อมพื้นที่ด้วยท่อเป็นวงกลม เเล้วก็ใช้เซ็นเซอร์อะไรสักอย่างกับหัวฝักบัว เพื่อสร้างอุปกรณ์ที่จะพ่นสเปรย์ใส่มอนสเตอร์ที่เข้ามาใกล้ๆ”
“เเต่เราต้องติดตั้งอุปกรณ์นี้ไม่ไกลจากไร่ของเรานะ ตัวสารละลายอาจจะมีผลเสียกับพื้นที่กำลังโตก้ได้”
บ่ายวันนั้น เราใช้เวลาไม่น้อยอยู่บนชั้นสองพยายามวางแผน
พอเราเดินลงจากเนิน มิโยชิก้มองไปยังที่ๆกำลังจะกลายเป็นไร่ของเรา “รุ่นพี่คิดว่าจะได้ผลไหม”
“หา เรื่องนี้เธอเป็นคนต้นคิดไม่ใช่เรอะ”
“ก็จริง เเต่พูดตามเหตุผลเเล้ว การที่ดันเจี้ยนจะคิดว่าสิ่งเเปลกปลอมนั้นเป็นส่วนหนึ่งของมันเเละงอกมันใหม่มันฟังดูดีเกินกว่าที่จะเป็นจริง ถ้าเป็นอย่างงั้น ดันเจี้ยนคงเป็นเครื่องปริ๊นสามมิติที่ทรงพลังมากเเน่ๆ”
ก็จริง ถ้าเรื่องนี้มีผลกับทุกๆอย่าง คำว่าขาดเเคลนคงหายไปจากดิกชันนารี่ทั่วทั้งโลกเเน่ๆ
ผมพยักหน้า “ในสถานการณ์ส่วนมากก็ไม่น่าจะเป็นไปได้หรอก”
“เเต่รุ่นพี่ดูมั่นใจกับการทดลองนี้มากเลย”
“ของส่วนมากจะไม่งอกมาใหม่หรอก เเต่ฉันคิดว่าอาหาร-เเค่อาหารเท่านั้น-อาจจะเป็นข้อยกเว้น”
“ทำไมล่ะ”
“ดันเจี้ยนเป็นเครื่องมือในการเเพร่กระจายดี-เเฟคเตอร์ใช่ไหมล่ะ”
“ก็เหมือนจะเป็นอย่างนั้น”
เรากำลังจะสร้างอาหารที่มาจากดันเจี้ยน – ซึ่งน่าจะเต็มไปด้วยดี-เเฟคเตอร์ เเล้วเราก็กำลังจะเเพร่กระจายอาหารพวกนี้ไปทั่วโลกเเละให้คนกินมันโดยตรง เรื่องนี้นั้นตรงกับจุดประสงค์ของดันเจี้ยนเป๊ะ อย่างน้อยผมก็เชื่อว่าดันเจี้ยนจะช่วยเหลือเราในเรื่องนี้เเน่
พอฟังทฤษฎีของผม มิโยชิก็ดูมีคำถาม “พอเราคุยกันเรื่องทำนองนี้เมื่อไร ฉันอดคิดไมไ่ด้ว่าดันเจี้ยนพวกนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความคิดเป็นของตัวเองทุกทีเลย”
ผมขมวดคิ้ว “เดี่ยวนะ เธอไม่คิดว่ามันมีความคิดของตัวเองงั้นหรอ”
“เอ่อ อะไรนะ”
“ไม่ล่ะ ช่างมันเถอะ ฉันพุดถึงความคิดของคนที่สร้างดันเจี้ยน ไม่ได้หมายถึงตัวดันเจี้ยนเอง”
พูดตามตรง ถ้าดันเจี้ยนมีความคิดเป็นของตัวเอง ผมจะไม่ตกใจเลย เเต่ถ้าเชื่อในเรื่องนี้โดยไม่มีหลักฐาน คงน่าขายหน้าน่าดู
“ถ้ามีสิ่งมีชีวิตอะไรบางอย่างสร้างดันเจี้ยนขึ้นมาจริงๆ พวกนั้นคงไม่ต่างจากพระเจ้าสำหรับพวกเราเเน่ๆ ฉันไม่ตกใจอะไรเเล้วล่ะในจุดนี้” มิโยชิพูด
ถ้าเปรียบเทียบทุกวันนี้กับตอนก่อนดันเจี้ยน โลกคงดูเหมือนจะเป็นบ้าไปเเล้ว เเต่มาตัดสินด้วยคอมมอนเซ็นส์เเต่ก่อน อาจจะทำให้คิดว่าเสียสติไปก็ได้
“ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันอยากจะเจอ“สิ่งมีชีวิต”ที่ว่านี้ไหม หรือจะใช้ชีวิตโดยที่ไม่ต้องเจอเลยก็ได้ เรื่องนี้ไม่รู้จริงๆว่าฉันรู้สึกยังไง”